หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Team Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน ราคาทองคำ กินอะไรดี
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

ตรอกรักปั๋นใจ๋ ตอนที่ 11

โพสท์โดย Takflim ตากฟิล์ม

ตอนที่ 11
เช้าวันใหม่ข่าวการจมน้ำหายไปของนายหมงกับสายบัวลือสะพัดไปทั่วชุมชนตรอกบ้านจีน
หลังจากที่ทุกคนต่างช่วยกันตามหาแต่ไม่พบคนทั้งสองแต่อย่างใด ส่วนซ่อนกลิ่นและนกยูงปลอดภัย
ไม่เป็นอันตราย โดยซ่อนกลิ่นได้รับการช่วยเหลือจากนายส่วนผู้เป็นชายคนรัก และนกยูงได้รับ
การช่วยเหลือจากนายช่วงผู้เป็นพี่ชาย สำหรับครอบครัวของนายหมงยุ่งวุ่นวายมาตั้งแต่วันเกิดเหตุ
จนถึงเช้าวันนี้ โดยเฉพาะนายซ้งกับนางบุญเรืองมีความวิตกกังวลกระวนกระวายใจอย่างไม่เป็นสุข
ด้วยหัวอกของคนเป็นพ่อเป็นแม่ย่อมร้อนอกร้อนใจจนแทบไม่เป็นอันกินอันนอน กับความห่วงใย
ในตัวลูกชายสุดรักสุดสวาท สุดท้ายอดรนทนไม่ไหว เพราะถูกนางบุญเรืองผู้เป็นภรรยาบังคับให้ประกาศ
ตามหานายหมงพร้อมมีรางวัลให้อย่างสมน้ำสมเนื้อ จึงต้องป่าวประกาศไปทั่วชุมชมตรอกบ้านจีนว่า
“ผู้ใดได้ตัวนายหมงกลับมา ไม่ว่าจะยังมีชีวิตอยู่หรือเป็นศพแล้วก็ตาม จะตบรางวัลให้อย่างงาม
ด้วยเงินจำนวนห้าสิบบาท” ซึ่งในสมัยนั้น (ปีพุทธศักราช 2454) นับว่ามากโขเลยทีเดียว กล่าวคือ ในอดีตกาลที่ผ่านมาก่อนพุทธศตวรรษที่ 6 จะใช้ลูกปัด อัญมณี เปลือกหอย เมล็ดพืช
เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนกัน ต่อมาสมัยสุโขทัย ราวพุทธศตวรรษที่ 19 ได้มีการนำโลหะเงินมาใช้เป็นเงินตรา เรียกว่า “เงินพดด้วง” ซึ่งเงินตราคือวัตถุที่ใช้ในการแลก ขาย ซื้อ เปลี่ยน เป็นตัวแทน
การวัดมูลค่าของสินค้าที่แลกเปลี่ยนกันกับราชอาณาจักรในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา คือ กรุงศรีอยุธยา
ตลอดจนทางทะเล ได้แก่ จีน อินเดีย ยุโรป และกลุ่มชนทางตอนเหนือของไทย ได้แก่ ล้านช้าง
ยูนนาน น่านเจ้า และไปไกลถึงเปอร์เซีย อาหรับ โดยใช้ต่อเนื่องกันมาสมัยกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี
จนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น รวมเป็นเวลากว่า 600 ปี ซึ่งทำขึ้นจากแท่งโลหะเงิน โดยทุบปลาย
ขางอเข้าหากันเป็นปลายแหลม มีรูขนาดใหญ่ระหว่างขา ลักษณะเป็นก้อนกลมคล้ายตัวด้วง
ทำให้ชาวต่างประเทศเรียกเงินพดด้วงนี้ว่า “เงินลูกปืน (BULLET MONEY หรือ BULLET COIN)”
เงินพดด้วงในแต่ละสมัยมักจะตอกประทับตราประจำแผ่นดินและตราประจำรัชกาลลงไป ดังนี้
1. สมัยสุโขทัย มีตราประทับเพื่อแสดงถึงแหล่งผลิตตั้งแต่ 1 ตรา ไปจนถึง 7 ตรา ได้แก่
ช้าง ราชสีห์ กระต่าย หอยสังข์ บัว ธรรมจักร และราชวัตร นอกจากนี้ยังมีการนำดีบุก ตะกั่ว สังกะสี
มาหลอมให้มีลักษณะคล้ายเงินพดด้วงแต่มีขนาดใหญ่กว่าและเรียกแตกต่างกันไป เช่น เงินพดด้วงชิน
เงินคุบ เงินชุบหรือเงินคุก อีกทั้งยังมีการใช้เบี้ยเป็นเงินปลีกสำหรับแลกเปลี่ยนสินค้าราคาต่ำด้วย
2. สมัยกรุงศรีอยุธยา มีตราประทับเพียง 2 ตรา โดยตราที่ประทับอยู่ด้านบนคือตราจักร
ซึ่งเป็นตราประจำแผ่นดิน ส่วนด้านหน้าเป็นตราประจำรัชกาลลักษณะต่างๆ เช่น ตราพุ่มข้าวบิณฑ์
ตราพระมหานครินทร์ ตราช่อดอกไม้ ตราช่ออุทุมพร ตราราชวัตร ตราช้าง และตราสังข์ เป็นต้น
3. สมัยกรุงธนบุรี ยังคงใช้เงินพดด้วงของสมัยกรุงศรีอยุธยาอยู่ระยะหนึ่ง ต่อมาได้ผลิต
เงินพดด้วงประจำรัชกาลออกใช้ แต่มีลักษณะเช่นเดียวกับเงินพดด้วงสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย
โดยประทับตราพระแสงจักรเป็นตราประจำแผ่นดิน ส่วนตราประจำรัชกาลใช้ตราตรีศูลและตราทวิวุธ
4. สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2325 ยังคงใช้เงินพดด้วงแต่มีการเปลี่ยนแปลง
ตราประจำรัชกาลเท่านั้น โดย
1) สมัยรัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ให้ประทับตราพระแสงจักร
เป็นตราประจำแผ่นดิน และประทับตราบัวอุณาโลมเป็นตราประจำรัชกาล โดยมีขนาดและราคาต่างๆ
เช่น ตำลึง บาท กึ่งบาท สลึง เฟื้อง เป็นต้น
2) สมัยรัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ให้ประทับตราพระแสงจักร
เป็นตราประจำแผ่นดิน และประทับตราครุฑเป็นตราประจำรัชกาล เนื่องจากพระนามเดิมของ
พระองค์คือ ฉิม หมายถึงฉิมพลี ซึ่งเป็นวิมานของพญาครุฑ
3) สมัยรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้ประทับตราพระแสงจักร
เป็นตราประจำแผ่นดิน และประทับตราปราสาทเป็นตราประจำรัชกาล เนื่องจากพระนามเดิมของ
พระองค์คือ ทับ หมายถึงที่ประทับของพระมหากษัตริย์ หรือเรียกว่า ปราสาท นอกจากนี้ยังมีการ
ผลิตเงินพดด้วงเพื่อเป็นที่ระลึกในโอกาสสำคัญต่างๆ เช่น เงินพดด้วงตราครุฑเสี้ยว ตราเฉลว
ตราดอกไม้ และตราใบมะตูม เป็นต้น
4) สมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้ประทับตราพระแสงจักร
เป็นตราประจำแผ่นดิน และประทับตรามงกุฎเป็นตราประจำรัชกาล เนื่องจากพระนามเดิมของ
พระองค์คือ เจ้าฟ้ามงกุฎ และด้วยเป็นยุคได้ทำการค้ากับต่างประเทศแล้วขยายตัวอย่างรวดเร็ว
ทำให้ชาวต่างประเทศต้องนำเงินเหรียญมาแลกกับเงินพดด้วงเพื่อใช้จ่ายซื้อขายสินค้าจากราษฎร
จึงประสบปัญหาการผลิตเงินพดด้วงไม่ทันต่อความต้องการ ส่งผลเกิดความไม่สะดวกและการค้า
เสียผลประโยชน์อย่างมาก จึงแก้ไขโดยเปลี่ยนรูปเงินตราจากใช้เงินพดด้วงเป็นเงินเหรียญแบบ
กลมแบน พร้อมกับผลิตเงินกระดาษ เรียกว่า “หมาย” โดยใช้วิธีการพิมพ์บนกระดาษอย่างง่ายๆ
ออกมาใช้ควบคู่กัน แต่ไม่เป็นที่นิยมใช้กันสักเท่าไหร่ ซึ่งถือว่าเป็นจุดกำเนิดของธนบัตรไทย
ต่อมาในปีพุทธศักราช 2400 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้คณะทูตไทย
ไปเจริญสัมพันธไมตรีกับสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร หลังจากนั้นสมเด็จ
พระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักรได้จัดส่งเครื่องผลิตเหรียญกษาปณ์ขนาดเล็กถวาย
เป็นราชบรรณาการ และโปรดเกล้าฯ ให้จัดทำเหรียญกษาปณ์ขึ้นครั้งแรก เรียกว่า “เหรียญบรรณาการ”
แต่ผลิตได้เป็นจำนวนน้อยจึงยกเลิกไป ต่อมาได้เครื่องผลิตเหรียญกษาปณ์แรงดันไอน้ำมาใหม่
จากบริษัท เทเลอร์ เข้ามาปลายปีพุทธศักราช 2401 จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างโรงงานผลิตเหรียญกษาปณ์
ขึ้นที่หน้าพระคลังมหาสมบัติ ในพระบรมมหาราชวัง พระราชทานนามว่า “โรงกระสาปน์สิทธิการ”
ซึ่งเหรียญกษาปณ์ชุดแรกที่ผลิตจากเครื่องนี้มีลักษณะคล้ายกับชุดเหรียญบรรณาการ และถือว่ามีการใช้
เหรียญกษาปณ์แบบสากลนิยมขึ้นเป็นครั้งแรก สำหรับเงินพดด้วงก็ยังมีใช้อยู่แต่ไม่มีการผลิตเพิ่มเติม
5) สมัยรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในระยะแรกผลิตเหรียญ
ดีบุกโสฬส โดยด้านหน้าเป็นตราพระเกี้ยว หรือเรียกว่า ตราพระจุลมงกุฎ ส่วนด้านหลังเป็นรูปช้าง
ในวงจักรซึ่งเป็นตราประจำรัชกาล ต่อมาในปีพุทธศักราช 2418 ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างโรงกษาปณ์
แห่งใหม่ขึ้น พร้อมทั้งติดตั้งเครื่องจักรใหม่ที่มีกำลังผลิตและประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม โดยได้เริ่มผลิตเหรียญกษาปณ์เป็นครั้งแรกที่มีการนำพระบรมรูปของพระมหากษัตริย์ไทย (สมัยรัชกาลที่ 5
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ประทับลงบนเหรียญกษาปณ์ตามแบบสากลนิยม
ส่วนด้านหลังเป็นตราอาร์มซึ่งเป็นตราประจำแผ่นดิน และได้ถือปฏิบัติมาจนถึงรัชกาลปัจจุบัน
อีกทั้งโปรดเกล้าฯ ให้ผลิตเงินพดด้วงเพื่อเป็นที่ระลึก ได้แก่ เงินพดด้วงตราพระเกี้ยว เงินพดด้วง
เถาตราจุลมงกุฎ-ช่อรำเพย นอกจากนี้ตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2441 ได้โปรดเกล้าฯ ให้ปรับเปลี่ยน
หน่วยเงินตราของไทยที่ใช้อยู่ในขณะนั้นจากหน่วยเรียกตามน้ำหนัก ได้แก่ ทศ พิศ พัดดึงส์ ชั่ง
ตำลึง บาท สลึง เฟื้อง ไพ ซีก เสี้ยว อัฐ และโสฬส ซึ่งเป็นระบบที่ยากต่อการคำนวณและการจัด
ทำบัญชี จึงนำระบบทศนิยมตามแบบสากลมาใช้เป็นหน่วยเงินตราของไทย ได้แก่ บาท และสตางค์
คือ 100 สตางค์ เป็น 1 บาท และใช้มาจนถึงทุกวันนี้ อีกทั้งให้ผลิตเหรียญทองขาวและเหรียญ
ทองแดง เป็นเหรียญแบนมีรูตรงกลางขึ้นใช้ 3 ราคา คือ 10 สตางค์ 5 สตางค์ และ 1 สตางค์
เรียกว่า “สตางค์รู” และหลังจากมีการนำธนบัตรออกใช้แล้ว จึงโปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงพระคลัง
มหาสมบัติได้ประกาศยกเลิกการใช้เงินพดด้วงทุกชนิดราคา เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม พุทธศักราช 2447
ต่อมาโปรดเกล้าฯ ให้โรงกษาปณ์ปารีส ผลิตเหรียญกษาปณ์ตราพระบรมรูปซึ่งเป็นตราประจำรัชกาล
ส่วนด้านหลังเป็นตราไอราพตซึ่งเป็นตราประจำแผ่นดิน เพื่อนำมาใช้หมุนเวียนแทนรุ่นเก่า
แต่ยังไม่ทันออกใช้พระองค์ได้เสด็จสวรรคตเสียก่อน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
(สมัยรัชกาลที่ 6) จึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานเป็นที่ระลึกในงานพระเมรุพระบรมศพพระบาท
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งต่อมาเหรียญกษาปณ์ดังกล่าวได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
เรียกว่า “เหรียญหนวด”
6) สมัยรัชกาลที่ 6-8 เป็นช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ อันเป็นผลมาจากสงครามโลกครั้งที่ 1
และสงครามโลกครั้งที่ 2 นอกจากนี้ยังเป็นช่วงของการเปลี่ยนแปลงการปกครองครั้งสำคัญของประเทศไทยด้วย โดยมีการผลิตเหรียญกษาปณ์ออกใช้แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบมากนัก
และมีราคาไม่สูง ได้แก่ 1 บาท 50 สตางค์ 25 สตางค์ 10 สตางค์ 5 สตางค์ และ 1 สตางค์ กล่าวคือ
1. สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในช่วงต้นรัชกาลยังใช้เหรียญกษาปณ์
ที่ผลิตสมัยรัชกาลที่ 5 ต่อมาปีพุทธศักราช 2456 จึงโปรดเกล้าฯ ให้กรมกระสาปน์สิทธิการผลิต
เหรียญกษาปณ์ชนิดเงินราคา 1 บาท โดยด้านหน้าเป็นพระบรมรูปซึ่งเป็นตราประจำรัชกาล
ส่วนด้านหลังเป็นตราไอราพตซึ่งเป็นตราประจำแผ่นดินออกใช้หมุนเวียน
2. สมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ผลิตเหรียญกษาปณ์ชนิดเงิน
ราคา 50 สตางค์ และ 25 สตางค์ โดยด้านหน้าเป็นพระบรมรูปซึ่งเป็นตราประจำรัชกาล ส่วนด้านหลัง
เป็นตราช้างทรงเครื่องซึ่งเป็นตราประจำแผ่นดินออกใช้หมุนเวียน
3. สมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล โปรดเกล้าฯ ให้ผลิตเหรียญกษาปณ์
ชนิดเงินราคา 50 สตางค์ 25 สตางค์ 10 สตางค์ และ 5 สตางค์ โดยมี 2 รุ่น ออกใช้หมุนเวียน คือ
1) รุ่นแรก ด้านหน้าเป็นพระบรมรูปขณะทรงพระเยาว์ซึ่งเป็นตราประจำรัชกาล
ส่วนด้านหลังเป็นตราพระครุฑพ่าห์ซึ่งเป็นตราประจำแผ่นดิน
2) รุ่นที่สอง ด้านหน้าเป็นพระบรมรูปเมื่อครั้งเจริญพระชนมพรรษาซึ่งเป็นตรา
ประจำรัชกาล ส่วนด้านหลังเป็นตราพระครุฑพ่าห์ซึ่งเป็นตราประจำแผ่นดิน
7) สมัยรัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุยเดช โดย
1. ในปีพุทธศักราช 2493 ได้มีการผลิตเหรียญกษาปณ์ออกใช้หมุนเวียนรุ่นแรก เป็นเหรียญ
อะลูมิเนียมบรอนซ์หรือทองแดง ชนิดเงินราคา 5 สตางค์ 10 สตางค์ 25 สตางค์ และ 50 สตางค์
โดยด้านหน้าเป็นพระบรมรูปซึ่งเป็นตราประจำรัชกาล ส่วนด้านหลังเป็นตราแผ่นดินของไทย
ซึ่งเป็นตราประจำแผ่นดิน
2. ในปีพุทธศักราช 2529 ได้มีการปรับเปลี่ยนการผลิตเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนครั้งใหญ่
ทุกชนิดราคา (ส่วนผสม ขนาด และรูปแบบ) รวมทั้งได้กำหนดให้มีการผลิตเหรียญกษาปณ์ออกใช้
หมุนเวียน ชนิดเงินราคา 10 บาท และ 10 สตางค์ ขึ้นเป็นครั้งแรก ทำให้เหรียญกษาปณ์ออกใช้
หมุนเวียน จำนวน 8 ชนิดเงินราคา ได้แก่ 10 บาท 5 บาท 1 บาท 50 สตางค์ 25 สตางค์ 10 สตางค์
5 สตางค์ และ 1 สตางค์
3. ในปีพุทธศักราช 2548 ได้มีการผลิตเหรียญกษาปณ์ออกใช้หมุนเวียน โดยเพิ่มชนิดเงินราคา
2 บาท ทำให้เหรียญกษาปณ์ออกใช้หมุนเวียนในปัจจุบัน จำนวน 9 ชนิดเงินราคา ได้แก่ 10 บาท
5 บาท 2 บาท 1 บาท 50 สตางค์ 25 สตางค์ 10 สตางค์ 5 สตางค์ และ 1 สตางค์ แต่ชนิดเงินราคา
1 สตางค์ 5 สตางค์ และ 10 สตางค์ ไม่ได้นำออกมาใช้หมุนเวียนในชีวิตประจำวัน หากแต่ใช้ใน
ระบบบัญชีเท่านั้น
นอกจากนี้ยังมีการจัดทำเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก เพื่อบันทึกเหตุการณ์สำคัญๆ อันเกี่ยวกับสถาบัน
ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และหน่วยงานต่างๆ โดยผลิตเหรียญกษาปณ์ทั้งประเภทธรรมดา
และขัดเงา เช่น
1) ในปีพุทธศักราช 2504 ได้มีการผลิตเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกเสด็จนิวัตพระนคร
2) ในปีพุทธศักราช 2525 ได้มีการผลิตเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกเนื่องในโอกาสสมโภช
กรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี และเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกเนื่องในวโรกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ เจริญพระชนมายุ 50 พรรษา เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ.2525
3) ในปีพุทธศักราช 2535 ได้มีการผลิตเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติสมเด็จ
พระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในมหามงคลเฉลิมพระชนมายุ 5 รอบ ในวันที่ 12
สิงหาคม พ.ศ.2535
4) ในปีพุทธศักราช 2549 ได้มีการผลิตเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติพระบาท
สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี
“มาแล้ว….มาแล้ว….ท่านพ่อเลี้ยงหมงกลับมาแล้ว” เด็กชายจุกแหกปากตะโกนดังลั่นไปทั่วชุมชน
ตรอกบ้านจีน เมื่อเห็นนายหมงเดินมาอย่างอิดโรยและเหน็ดเหนื่อย โดยประคองสายบัวที่อยู่ข้างกาย
ในสภาพอิดโรยและเหน็ดเหนื่อยเช่นกัน หัวอกของคนเป็นแม่เมื่อได้ยินว่าลูกชายสุดรักสุดสวาท
กลับมาแล้ว ทำให้หัวใจพองโตเต้นโครมครามแทบไม่เป็นจังหวะ หยาดน้ำตาแห่งความดีใจหลั่งไหลพรั่งพรู
เมื่อเห็นผู้เป็นลูกชายเดินก้าวเข้ามาในบ้าน เธอโผเข้าไปกอดลูกชายไว้แน่นพร้อมน้ำตาที่ยังไหลพราก
“โถ! อาหมงลูกแม่” นางบุญเรืองสวมกอดแน่น เพราะความดีใจที่ได้ลูกชายกลับมาสู่อ้อมกอดอีกครั้ง
“ผมกลับมาแล้วครับแม่” นายหมงโอบกอดมารดาด้วยความดีใจเช่นกัน นายซ้งเดินเข้าไปตบเบาๆ
ที่หัวไหล่อย่างต้องการปลอบโยน แล้วเอ่ยถามเมื่อเหลือบไปเห็นสายบัวยืนอยู่ข้างๆ กายลูกชายว่า
“อ้าว! แล้วทำไมลื้อถึงมากับหนูสายบัว ลูกสาวนายโปรยล่ะอาหมง” สายบัวรีบยกมือขึ้นไหว้
นายซ้งกับนางบุญเรืองอย่างนอบน้อมถ่อมตน พลางสบสายตากับชายคนรักเพื่อขอความมั่นใจ
จนนายหมงต้องตอบคำถามผู้เป็นบิดาว่า
“เรื่องมันยาวครับเตี่ย” แล้วประคองสายบัวเข้าไปนั่งบนแหย่งไม้สักตัวใหญ่ เพื่อเล่าเรื่องราว
เหตุการณ์ทั้งหมดอย่างละเอียดให้บุพการีฟัง โดยมีป้าทองจีบแม่บ้านประจำบ้านเป็นพยานปากสำคัญ เมื่อฟังจนจบอย่างเข้าใจ นายซ้งกล่าวด้วยอารมณ์โมโหโกรธสุดขีดว่า
“ซี้ซั้วจริงๆ มันทำแบบนี้ใช้ไม่ได้ พูดจาโกหกหลอกลวงให้ร้ายเจ้านาย ขืนปล่อยเอาไว้จะเป็นอันตราย
ต่อบริษัทของเรา เหมือนชาวนากับงูเห่าเลี้ยงอสรพิษไว้ในบ้าน….อันตราย….อันตรายที่สุด”
นายหมงพยักหน้ารับอย่างเห็นดีเห็นงามไปด้วย แล้วถามความคิดเห็นของผู้เป็นบิดาว่า
“แล้วเราจะทำยังไงกันดีล่ะครับเตี่ย”
“ไล่มันออก แล้วจับมันเข้าตะรางเสียให้เข็ดหลาบ จะได้ไม่เป็นเยี่ยงอย่างให้กับคนอื่น” นายซ้งสีหน้า
เคร่งเครียด จนทุกคนที่ยืนอยู่รายล้อมรอบกายไม่กล้าสบสายตากับผู้เป็นใหญ่ในบ้าน แม้แต่นางบุญเรือง
ผู้เป็นภรรยาก็เข้าหน้าไม่ติดเช่นกัน เพราะนิสัยของนายซ้งเป็นคนเด็ดเดี่ยว พูดคำไหนก็ต้องเป็นคำนั้น
กล้าคิด กล้าทำ กล้าตัดสินใจ ใครมาดีก็ดีด้วย ใครมาร้ายก็ร้ายตอบ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับ
เหตุและผลด้วยเสมอ ซึ่งพฤติกรรมของบิดาทั้งหมดนี้ ได้ถูกซึมซับโดยที่นายหมงไม่รู้ตัว แต่นายหมง
ยังเคลือบแคลงใจในคำกล่าวของบิดาจึงถามย้ำไปอีกว่า
“เอาอย่างนั้นเลยเหรอเตี่ย”
“เออสิวะ จะเก็บเอาไว้ทำไมล่ะ นิ้วไหนที่มันเน่าก็ให้ตัดทิ้งไป” น้ำเสียงที่หนักแน่นแสดงให้รู้ว่า
คำตัดสินของนายซ้งผู้เป็นใหญ่ในบ้าน ถือว่าเป็นข้อสรุปอย่างเอกฉันท์ เมื่อทุกอย่างได้ข้อยุติ
นางบุญเรืองเอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า
“เอาล่ะ ไหนๆ อาหมงกับหนูสายบัวกลับมาอย่างปลอดภัยก็ดีแล้ว อย่าพึ่งไปคิดเครียดแค้นพยาบาท
อะไรกันเลย แม่ว่าอาหมงไปส่งหนูสายบัวที่บ้านก่อนดีกว่า แล้วจะได้กลับมากินข้าวกินปลาและพักผ่อน”
“ครับแม่” นายหมงรับคำมารดาแล้วเดินผละออกไป พร้อมกับสายบัวที่กราบลาผู้ใหญ่ทั้งสอง
อย่างนอบน้อมถ่อมตนอีกครั้ง เมื่อนายหมงกับสายบัวเดินจากไป นางบุญเรืองคิดตามหลังคนทั้งสองว่า
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นถึงความรักอันแสนงดงาม และรักแท้อันบริสุทธิ์ของลูกชาย
สุดรักสุดสวาท ที่มีให้กับสายบัวผู้หญิงที่เป็นคนรัก ไม่นึกไม่ฝันเลยว่า เขาจะยอมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อช่วยเหลือชีวิตคนรักได้ถึงเพียงนี้ แม้ชีวิตของตนเองก็ยอมอย่างไม่นึกกลัวถึงภยันอันตราย
ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ความคิดของนางบุญเรืองได้มาถึงจุดเปลี่ยน เพราะเริ่มเข้าใจใน
ความรักอันแสนงดงาม และรักแท้ด้วยใจบริสุทธิ์ของคนทั้งสอง พร้อมยังเห็นใจและนึกสงสาร
สายบัวขึ้นมาจับใจ ที่มักจะถูกเพื่อนอย่างนกยูงคอยรังแก กลั้นแกล้ง และคิดปองร้ายอยู่เสมอ
ความนึกคิดในใจอยากได้สายบัวมาเป็นลูกสะใภ้เหมือนกัน แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะ เพราะครอบครัว
แซ่ปันได้ตกลงปลงใจเลือกกิมลั้งมาเป็นลูกสะใภ้ ตามเหตุผลที่ได้เจรจากันไว้ในวันตรุษจีนที่ผ่านมา
นายหมงเดินประกบสายบัวมาจนถึงตลาดสดชุมชนตรอกบ้านจีน โดยมีซ่อนกลิ่นเดินตามมาติดๆ
ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนรัก เพราะตั้งแต่วันเกิดเหตุจนได้มาพบเจอกันเช้าวันนี้ ซ่อนกลิ่นแทบไม่
เป็นอันกินอันนอน ร้องห่มร้องไห้โศกเศร้าเสียใจที่เพื่อนรักจมน้ำหายไปต่อหน้าต่อตา ซึ่งผิดกับ
นกยูงที่แสดงอาการดีอกดีใจหัวเราะระรื่นอย่างมีความสุขจนสังเกตได้ เมื่อนกยูงเห็นคนทั้งสาม
เดินผ่านตลาดสดชุมชนตรอกบ้านจีน จึงรีบวิ่งตามแล้วร้องเรียกเสียงออดอ้อนว่า
“พี่หมง….พี่หมงจ๋า คอยนกยูงด้วย” คนทั้งสามไม่หยุดเดินทำเป็นหูทวนลม เมื่อเรียกแล้วไม่หยุดนกยูงจึงวิ่งเข้าไปขวางทางเดินข้างหน้า แล้วเกาะแขนนายหมงไว้แน่นก่อนว่า
“นกยูงเรียกพี่หมงตั้งนาน ทำไมพี่หมงไม่คอยนกยูงละจ๊ะ หรือว่าอีพวกนี้ห้ามไว้ไม่ให้คอยนกยูง”
ว่าพลางแสยะยิ้มเย้ยหยันให้เพื่อนรักทั้งสอง พร้อมมองด้วยสายตาดูถูกดูแคลง นายหมงมองหน้าหล่อนอย่างอเนจอนาถใจ พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ยาวๆ แล้วว่า
“อย่าไปว่าคนอื่นเค้าเลยน้องนกยูง มันอยู่ที่ตัวพี่เองต่างหาก แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้น้องนกยูงปล่อยแขน
ของพี่ออกก่อนจะดีกว่ามั้ย” กล่าวจบ พร้อมแกะมือของนกยูงที่เกาะแขนตนเองไว้แน่นอยู่นั้นจนหลุด
ออกมาได้ด้วยความโล่งอก นกยูงหน้าเง้าหน้างอเป็นจวักแสดงอาการไม่ค่อยจะพอใจในพฤติกรรม
ของชายที่หล่อนหมายปอง ยิ่งเห็นเขาปกป้องและพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจกัน ทำให้แววตาของหล่อนฉายแววอิจฉาริษยาออกมาอย่างเห็นได้ชัด และเพิ่มความจงเกียดจงชังเพื่อนรักทั้งสองอย่างเหลือล้น โดยเฉพาะสายบัวที่หล่อนหมายหัวเอาไว้คนแรก เสียงกรีดร้องของนกยูงดังลั่นไปทั่ว
ตลาดสดชุมชนตรอกบ้านจีน ตามด้วยคำสบถด่าทอมากมาย จนผู้คนที่ได้ยินต่างส่ายหัวรับไม่ได้
“กรี๊ด!....กรี๊ด!”
“ ไม่ยอม นกยูงไม่ยอม เป็นเพราะมันคนเดียว อีนังสายบัว อีเพื่อนทรยศ อี….”
นกยูงไม่ได้ด่าว่าแต่เพียงอย่างเดียว หล่อนเดินตรงเข้าไปประชิดตัวสายบัว ที่ยืนอยู่ข้างๆ กายนายหมง
หมายจะเข้าไปทำร้ายร่างกาย แต่ทันใดนั้นเสียงร้องห้ามของนายหมงดังขึ้นว่า
“หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะน้องนกยูง อย่าเข้ามาใกล้ตัวน้องสายบัวเป็นอันขาด ถ้าคราวนี้ยังไม่เชื่อฟังกัน
เห็นทีคงต้องเป็นเรื่องแน่” นกยูงยืนหยุดนิ่ง พร้อมลดฝ่ามือที่เงื้ออยู่ลงด้วยความจำใจอย่างไม่
สบอารมณ์นัก แววตาที่จ้องมองมาที่นายหมงเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นและพยาบาท หล่อนหรี่ตา
มองชายที่หมายปองอย่างเย้ยหยันก่อนว่า
“โอ๊ย! นี่มันจะมากไปแล้วนะ ทำไมถึงต้องปกป้องเอาอกเอาใจจนออกนอกหน้ากันถึงเพียงนี้ หา! พี่หมง”
“อ้าว ก็น้องสายบัวเป็นคนรักของพี่ พี่ก็ต้องปกป้องคุ้มครอง และจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาทำร้าย
คนรักของพี่ได้อีกต่อไปเป็นอันขาด เพราะเหตุการณ์เลวร้ายที่ผ่านมา ถือเป็นบทเรียนที่ต้องจดจำ
และสอนให้เป็นคติเตือนใจ ว่าอย่าไว้ใจทางอย่าวางใจคน แม้จะเป็นคนใกล้ชิดก็ตาม ฉะนั้นพี่คิดว่า
น้องนกยูงคงจะเข้าใจ และเชื่อฟังในคำพูดของพี่นะ”
“พี่หมงพูดแบบนี้มันหมายความว่ายังไง” นกยูงเสแสร้งแกล้งถาม เพื่อกลบเกลื่อนความผิดของตนเอง
“แกก็รู้อยู่แก่ใจของแกเองแล้วนี่นกยูง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด จนทุกคนแทบจะเอาชีวิตไม่รอดมันเป็นเพราะฝีมือของแก” น้ำเสียงซ่อนกลิ่นขุ่นมัวนึกเจ็บแค้นในใจ เมื่อรู้ความจริงว่าเหตุการณ์
ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นแผนการอันชั่วร้ายของนกยูง
“อะไร ฉันทำอะไร ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยซักหน่อย” นกยูงพูดแก้ตัว จนลิ้นพันกันจ้าละหวั่นฟังแทบไม่ได้ศัพท์
“แกเลิกโกหกตอแหลเสียทีเถอะนกยูง ทุกคนเค้ารู้ความจริงกันหมดแล้ว”
“บ้า….บ้ากันไปใหญ่แล้ว แกพูดเรื่องอะไร ฉันไม่เห็นจะรู้เรื่องอะไรเลย” นกยูงยังปฏิเสธเสียงแข็งทำเป็นเมินเฉยไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาว
“ไม่เป็นไรหรอกน้องนกยูง ถ้าน้องนกยูงยังปากแข็ง ไม่ยอมรับความจริงก็ไม่เป็นไร พี่คิดว่าเรื่องนี้
คงเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อไป และพี่ว่าป่านนี้คงไปจับตัวนายช่วงมาแล้วกระมัง”
“กรี๊ด!....กรี๊ด!”
“ทำไม….ทำไมพี่หมงถึงทำกับนกยูงยังงี้” นกยูงกรีดร้องเสียงดังลั่น จนทุกคนในวงสนทนาต่างแสบแก้วหูไปตามๆ กัน นกยูงเข้าไปทุบตีตามเนื้อตัวนายหมงอย่างบ้าคลั่ง พลางต่อว่าต่อขานว่า
“พี่หมงใจร้าย พี่หมงใจดำ”
“หยุด….หยุดได้แล้ว พี่ไปทำอะไรให้น้องนกยูงเจ็บช้ำน้ำใจ ทำไมไม่ลองคิดทบทวนดูบ้างว่า
เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดนั้น มันเกิดจากใคร แล้วใครเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด”
นายหมงตวาดใส่หน้าเสียงดัง เพื่อต้องการให้นกยูงได้สติ แต่ไม่เป็นผลสำเร็จแต่อย่างใด ยิ่งกลับทำให้เพิ่มอารมณ์โกรธมากขึ้น เนื่องจากมีความไร้เหตุผลเป็นที่ตั้ง นกยูงเกรี้ยวกราดใส่อย่างลืมตัว พร้อมเสียงสะอื้นไห้ว่า
“ยังจะมีน่ามาพูดอีกเหรอ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาทั้งหมด ก็เป็นเพราะพี่หมงคนเดียว พี่หมงเป็นคน
ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นแบบนี้”
“พี่เคยพูดกับน้องนกยูงกี่ครั้งกี่หนแล้วว่า พี่รักน้องนกยูงเป็นได้แค่เพียงพี่ชายกับน้องสาวเท่านั้น
มิได้คิดรักไปเป็นอย่างอื่น แม้จะให้พี่พูดอีกซักกี่ร้อยครั้งกี่พันครั้งก็ตาม พี่ก็ยังขอยืนยันเหมือนเดิม” นายหมงยังยึดมั่นคำกล่าวเหมือนเดิมอย่างหนักแน่น นกยูงเงียบงันไปครู่ใหญ่ไม่อาจเอ่ยคำพูดใดๆ
ออกมาได้ในทันที เพราะรู้ว่าไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงความคิด และความรู้สึกของนายหมงได้
จึงตัดสินใจเอ่ยในสิ่งที่อยู่ในใจ ถึงแม้จะมีอะไรที่มากกว่านั้นแอบแฝงอยู่
“แต่….นกยูงรักพี่หมง ต้องการพี่หมง อยากปรนนิบัติรับใช้พี่หมง”
“แน่ใจในคำพูดที่พูดออกมารึเปล่า ความจริงมันคืออะไรกันแน่ ขอให้พูดความจริงออกมา”
“พี่หมง!” นกยูงอุทานอ้าปากค้าง เพราะคำกล่าวที่ได้ยินเหมือนเหล็กแหลมทิ่มแทงตรงกลางหัวใจอย่างจัง หยาดน้ำตาแห่งความโศกเศร้าอาดูรไหลพร่างพรู ไม่ต่างจากทำนบแตกด้วยความเจ็บแค้นที่สุ่มอยู่ในใจ
คำกล่าวของนายหมงครั้งนี้ได้เพิ่มแรงแค้น และผูกแรงอาฆาตพยาบาทให้กับนกยูงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
จนสุดท้ายนายหมงจึงตัดสินใจพูดตัดบท เพราะไม่ต้องการให้เรื่องราวยืดเยื้อออกไปมากกว่านี้ว่า
“ฟังนะน้องนกยูง ต่อไปนี้ถ้ายังไม่เลิกตอแยพี่กับน้องสายบัว และน้องซ่อนกลิ่น เห็นทีคราวนี้เราก็คงจะไม่ญาติดีกันเป็นแน่ ขอให้ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างไป ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวอะไรกันอีกต่อไป ตายไปก็ไม่ต้องมาเผาผีกัน พี่คิดว่าน้องนกยูงคงจะเข้าใจนะ” เมื่อนายหมงกล่าวจบก็สะกิดแขนสายบัว
และซ่อนกลิ่นให้เดินตาม แล้วคนทั้งสามก็ก้าวเดินออกไปจากจุดนั้นพร้อมกัน โดยปล่อยให้นกยูง
ยืนทำหน้ามึนๆ งงๆ อยู่พักหนึ่ง เพราะทำอะไรไม่ถูก จนได้ยินเสียงกรีดร้องดังลั่นราวกับคนเสียสติ
โดยไม่สนใจผู้ใดที่ยังเดินขวักไขว่ไปมาในชุมชนตรอกบ้านจีน และเมื่อได้สติสัมปชัญญะกลับคืนมา
จึงรู้ว่าแผนการที่วางเอาไว้ โดยการเข้าไปเป็นคุณนายของนายหมงเพื่อหวังในทรัพย์สมบัติที่มีอยู่
ตลอดจนต้องการเอาธุรกิจการทำไม้และโรงเลื่อยไม้ทั้งหมด ที่คิดว่าเป็นของเตี่ยตนเองกลับคืนมานั้น
ได้พังลงอย่างไม่เป็นท่า เห็นทีจะต้องคิดวางแผนใหม่ เพื่อหาหนทางเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัว
ตระกูลแซ่ปันให้ได้ และหนทางที่คิดว่าน่าจะเป็นไปได้อีกวิธีหนึ่งคือ ยอมเป็นเมียน้อยพ่อเลี้ยงดม
ผู้เป็นพี่ชายของนายหมง ที่ดูแลธุรกิจการทำไม้และโรงเลื่อยไม้ที่จังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดลำปาง เพราะที่ผ่านมาหล่อนเคยพบเจอพ่อเลี้ยงดมหลายครั้งขณะกลับมาเยี่ยมบ้าน ทำให้มีโอกาสแอบ
ส่งสายตาเย้ายวนเล่นหูเล่นตาให้อย่างมีเลศนัย ซึ่งพ่อเลี้ยงดมก็มิได้ปฏิเสธเช่นกัน แต่ยังหาโอกาสพบเจอกันยังไม่ได้เท่านั้นเอง นกยูงคิดว่าแผนการยอมเป็นเมียน้อยพ่อเลี้ยงดมเป็นอีกวิธีหนึ่งที่น่าจะเป็นผลสำเร็จอย่างแน่นอน หล่อนเชิดหน้ายิ้มอย่างเย่อหยิ่งจองหองด้วยความมั่นใจ
พลางบ่นงึมงำอยู่ในลำคอว่า
“ถึงแม้ว่าหนทางมันจะลำบากยากเย็นแสนเข็ญสักเพียงใด แต่กูก็จะเข้าไปเป็นคนในตระกูลแซ่ปันให้ได้
และกูขอสาบานว่า จะจองเวรจองกรรมกับพวกมึงทุกๆ คน โดยเฉพาะอีสายบัว ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติหน้า”

เนื้อหาโดย: Takflim ตากฟิล์ม
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
Takflim ตากฟิล์ม's profile


โพสท์โดย: Takflim ตากฟิล์ม
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
พบเครื่องบิน "โบอิ้ง 737" ที่หายไป 13 ปี ถูกจอดทิ้งกลางสนามบินพืชที่มีพิษร้ายแรงเทียบเท่าพิษงูเห่า10 อันดับเมืองที่มีมลพิษสูงสุดกรุงเทพฯชาว เกษตรกร เขมร กดดันไทยเปิดด่าน ควบรถไถเหยียบนาข้าวทิ้ง ราคาตกต่ำสุดขีดสภาทนายความ แจงเหตุลบชื่อ ‘ทนายคนดัง’ ออกจากทะเบียนทนายกองกำลังพิเศษ BHQ ทรยศฮุนเซน แอบไปซบ อก สมรังสีชาวนาเขมรยกมือไหว้วอนคนไทย “เปิดด่านช่วยด้วย” หลังราคาข้าวทรุดหนัก สวนทางคำพูดในอดีตที่เคยดูแคลนไทยปมปริศนาการจากไป! พ่อแม่ 'ณัฐวุฒิ ปงลังกา' อายัดศพ หลังทราบผลชันสูตรแคปซูลกาลเวลา 1,700 ปี การค้นพบหลุมศพโรมันที่ "สมบูรณ์แบบ" ในฮังการี'ฮุนเซน' ควันออกหู หลังลาวฉวยโอกาสขายของตัดหน้า แย่งสัมปทานจีนแบงก์เขมรปิด ฮุน โต! เผ่นหนี ลูกค้าถอนเงินไม่ได้‘ดร.ธรณ์’ แนะนำ ถ้าจะย้ายที่อยู่ จังหวัดไหนเหมาะที่สุด ที่ไม่มีมลพิษของฝุ่นและภัยพิบัติทางธรรมชาติ
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
ปมปริศนาการจากไป! พ่อแม่ 'ณัฐวุฒิ ปงลังกา' อายัดศพ หลังทราบผลชันสูตรกองกำลังพิเศษ BHQ ทรยศฮุนเซน แอบไปซบ อก สมรังสี"ตระกูลฮุน" ถึงคราวอวสาน! คนในชิ่งหนีปิดฮุยวัน-ปชช.หมดตัวเงินในบัญชีถอนไม่ได้เหนือความเชื่อ! "ซูเปอร์ฟูลมูน" เรื่องที่เราอาจไม่เคยรู้...“ย้อนวันวานอาหารจานละ 2-3 บาท กินอิ่มทั้งบ้านด้วยเงินไม่กี่บาท ราคาน่ารักที่วันนี้หาไม่ได้แล้ว”ทำไมต้องหย่ากัน หลังถูกคดีความ? เหตุผลที่ฟังดูดราม่า…แต่จริงกว่าที่คิด
กระทู้อื่นๆในบอร์ด นิยาย เมืองตาก
นิยาย เรื่อง พิภพบิตุรงค์ตรอกรักปั๋นใจ๋ ตอนที่ 12ตรอกรักปั๋นใจ ตอนที่ 10
ตั้งกระทู้ใหม่