รีวิวหนังสือ Zero Reset Magic ศิลปะแห่งการรีเซตใจ
เรื่องของความวุ่นวายทางจิตใจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ หากมันยังค้างคาใจให้อึดอัดรำคาญอยู่ในจิตใจเบื้องลึกนานวันเข้าคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ เราจึงต้องคอยรีเซตใจของตัวเองด้วย
Kenji นามแฝงนักเขียนชื่อดังที่คนญี่ปุ่นให้ความสนใจจะมาบอกลเล่าถึงเรื่องราวของการ Zero reset ทางจิตใจและเราสามารถหยิบไปประยุกต์ใช้และคอยย้ำเตือนตัวเองว่าเราเองก็มีความสุข ความสงบแบบนี้เหมือนคนอื่นได้เหมือนกัน
ความรู้ความประทับใจในมุมมองของครีเอเตอร์
1.ที่คิดกว่าง่าย จะรู้สึกเบาสบาย จิตใต้สำนึกจึงพาความเบาสบายมาให้ ส่วนคนที่คิดว่ายาก จะรู้สึกหนักอึ้ง จิตใต้สำนึกจึงนำพาความเป็นจริงที่หนักอึ้งมาให้ตามคำเรียกร้อง
2.ช่วงเวลาก่อนนอนถือเป็นช่วงเวลาที่จิตสำนึกซึ่งทำงานเต็มที่ขณะตื่นกับจิตใต้สำนึกทำงานเต็มที่ขณะหลับจะได้มาปฏิสัมพันธ์กัน โดยเฉพาะเวลากึ่งหลับกึ่งตื่นถือเป็นเวลาแห่งการส่งข้อมูลให้จิตใต้สำนึก หากส่งข้อมูลดีๆแล้วผล็อยหลับไป ความฝันที่จะทำจินตภาพจะซึมซับเข้าไปในจิตใต้สำนึกและทำให้มันมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
3.บางครั้งทั้งที่ตั้งใจสร้างจินตภาพก่อนนอนแล้วแท้ๆ แต่ทำไมยังไม่สมหวังสักที นั่นเป็นเพราะหากไม่ได้คิดบวกในชีวิตประจำวัน ความรู้สึกโดยรวมก็จะอยู่ในภาวะไม่พอใจ ดังนั้น ต่อให้ตั้งใจคิดบวกในช่วงเวลาที่กำหนดแค่ไหน ความรู้สึกโดยรวมก็จะเป็นลบและไม่อาจส่งความปรารถนาไปถึงจิตใต้สำนึกได้
4.เวลาที่พลังงานอยู่ในโซนบวก เราจะมุ่งความสนใจไปยังสิ่งที่ทำให้ตัวเองรู้สึกดี พลังงานจึงหลั่งไหลไปทิศทางของอนาคตในอุดมคติ ทำให้ประสบความสำเร็จตามที่ฝันและเป้าหมายได้ต่อเนื่อง
5.เวลาที่อยู่ในโซนลบ เราจะยึดติดกับการเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงในปัจจุบันที่ตัวเราในอดีตสร้างขึ้นจนพลังงานหลั่งไหลไปในทิศทางอดีต ทำให้ล้มเหลวอย่างต่อเนื่องและตกอยู่ในวงจรอุบาทว์จนไม่อยากเดินหน้าสู่อนาคตได้
6.ตัวเราในปัจจุบันคือตัวเราในอดีตสร้างขึ้น ดังนั้น ต่อให้ตีอกชกหัวว่าไม่ชอบตัวเองในตอนนี้แค่ไหน เราก็กลับไปเปลี่ยนสิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้นในอดีตไม่ได้ การยึดติดว่าอยากเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงในปัจจุบันจึงเป็นการเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์
7.เมื่อวางคิดหนักอึ้งว่า"ต้องทำ" แล้วหันความสนใจไปยังเรื่องที่ชอบหรือทำให้รู้สึกดี พลังงานของเราจะค่อยๆฟื้นขึ้นมา และอารมณ์ความรู้สึกจะค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ
8.เมื่อ Reset พลังงานกลับสู่จุดเป็นศูนย์ ค่าเริ่มต้นของอารมณ์ความรู้สึกของเราจะกลายเป็นความสบายใจ ส่งผลให้จิตสำนึกกับจิตใต้สำนึกทำงานสอดประสานกัน ชีวิตจึงเปลี่ยนไปแบบพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ
9.การพยายามเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงแบบเอาเป็นเอาตาย ทำให้เกิดความรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา ยิ่งคิดว่า"ต้องทำ"มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งฝืนพยายามจนติดเป็นนิสัย
10.แทนที่จะเอาแต่สนใจว่าตัวเองขาดอะไร หันมาสนใจในสิ่งที่เรามีจะดีกว่า อย่ามัวแต่สำนึกผิดกับอดีต หันมาใช้ชีวิตตอนนี้จะดีกว่า การรู้สึกดีนี่แหละที่เป็นวิธีเปลี่ยนรูปแบบชีวิตของเราแบบถึงรากถึงโคน
11.สิ่งที่เราเชื่อและเรารู้สึกจะกลายเป็นจริง มนุษย์มีพลังงานในการมีความสุขอยู่ในตัวอยู่แล้วทุกคน การเปลี่ยนแปลงความจริงไม่ได้ทำด้วยการใช้พลังงานไปกับการต่อสู้ดิ้นรน แต่เป็นการใช้พลังงานไปกับปัจจุบันเพื่อให้ตัวเองมีความสุข วิธีเดียวที่จะช่วยให้เรารับมือกับจิตใต้สำนึกก็คือ การซื่อสัตย์กับตัวเอง
12.พลังงานที่จุดเป็นศูนย์ คือระดับพลังงานดั้งเดิมของมนุษย์ มันเป็นจุดที่เรารู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่าเหมือนตอนเป็นเด็ก หากเราสามารถพาพลังงานที่ลดต่ำลงเพราะเหนื่อยกับงานหรือความสัมพันธ์กับคนอื่นให้คืนกลับมาสู่จุดเป็นศูนย์ได้ ทุกอย่างจะเริ่มดีขึ้นโดยอัตโนมัติ
13.หากเจอเรื่องแย่ๆในที่ทำงาน ให้ Reset คิดว่าเรื่องมันแล้วไปแล้ว เดี๋ยวไปดื่มกาแฟที่ชอบดีกว่า หากถูกหัวหน้าพูดไม่ดีใส่ ก็ให้ Reset ด้วยการคิดว่าเรื่องมันแล้วไปแล้ว กลับบ้านเมื่อไหร่ ไปอ่านหนังสือหรือดูหนังที่ชอบดีกว่า หากเปลี่ยนทัศนคติมาคิดแบบนี้ได้เมื่อไหร่ เราจะไม่เสียพลังงานกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง และจะรู้สึกสดชื่นทีละนิด (ครีเอเตอร์ยังทำไม่ได้ในข้อนี้)
14.จิตใจกับร่างกายจะทำงานควบคู่กันไป เวลาที่อารมณ์ความรู้สึกปั่นป่วน การหายใจจึงพลอยปั่นป่วนไปด้วย เมื่อรู้สึกเครียด เราจะหายใจตื้นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ผลคือ Oxygen ในเลือดไม่เพียงพอและส่งผลกระทบต่อสมองกับระบบประสาทในที่สุด เมื่อสูดหายใจเข้าช้าๆ Oxygen จะหมุนเวียนไปทั่วร่างกาย ซึ่งนอกจากจะทำให้สมองปลอดโปร่งแล้ว ยังส่งผลต่อระบบประสาท Parasympathetic ทำให้เรารู้สึกสงบและลดความตึงเครียดลง
15.การจัดบ้าน คือการเก็บกวาดสิ่งที่ไม่ต้องการและเอาอดีตทิ้งไป พูดอีกอย่างก็คือเป็นการตัดสินใจว่าจะอยู่กับปัจจุบันและจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเอง เมื่อความรู้สึกนี้ส่งต่อไปยังจิตใต้สำนึก ความเป็นจริงจะค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย
16.คำพูดกับความรู้สึกตอนนี้เป็นแบบไหน อนาคตก็จะเป็นแบบนั้น ยิ่งพวกคำพูดติดปากหรือการนินทาว่าร้ายคนอื่นยิ่งต้องระวัง ถ้าเป็นไปได้อย่าพูดเลยจะดีกว่า
17.เมื่อเราจดจ่ออยู่กับเรื่องแย่ๆ ความรู้สึกแย่ๆในอดีตจะพลุ่งพล่านขึ้นมาเมื่อเป็นแบบนั้นก็จะยิ่งดึงดูดเรื่องแย่ๆเข้ามาในชีวิต แถมงานก็จะเอนเอียงไปอยู่โซนลบ เปรียบไปแล้วก็เหมือนเราจงใจผลักตัวเองลงไปสู่หุบเหวแห่งความสิ้นหวัง
18.หากห้ามตัวเองไม่ได้จริงๆก็ให้แก้ไขด้วยการเติมประโยคที่จะทำให้ความหมายโดยรวมเบาลงแทน เช่น เวลาคิดว่า"หมอนั่นน่าโมโหชะมัด" ก็ให้ต่อด้วย "แต่ก็ฮาดี" จำไว้ว่าต้องพยายามไม่ใช้คำพูดดึงดูดสิ่งแย่ๆเข้ามา หากเผลอใช้ก็ต้องแก้ให้เบาลงด้วยประโยคที่ทำให้ความหมายโดยรวมเป็นเชิงบวกมากขึ้น
19.ถ้าเราได้ยินคำว่า "ใช้ชีวิตอย่างสบายๆ" แล้วรู้สึกต่อต้านว่ามันดูขี้เกียจ มันดูไม่จริงจัง ก็แสดงว่าเรายังมีความเครียดและมีความเชื่อฝังหัวว่า"ต้องพยายามมากกว่านี้" ไม่ว่าจะเป็นกีฬาหรือศิลปะก็ตาม เราจะแสดงศักยภาพได้มากที่สุดก็ต่อเมื่อรู้สึกผ่อนคลายและจิตใจสงบนิ่ง หากประหม่าหรือคิดฟุ้งซ่านก็จะยิ่งทำผลงานได้ไม่ดี
20.จริงอยู่ว่าการบ่นช่วยให้เรารู้สึกสบายใจขึ้น แต่หลังจากนั้นไม่นานเราจะรู้สึกแย่กับตัวเองที่พูดจาไม่ดี ส่งผลให้พลังงานถูกเผาผลาญไป ไม่มีอะไรเปล่าประโยชน์เท่ากับการใช้เวลาไปกับสิ่งที่ตัวเองไม่ต้องการอีกแล้ว
21.ความรู้สึกดีเกิดจากการมุ่งความสนใจไปยังสิ่งที่ตัวเองต้องการ ดังนั้น ถ้าเราตระหนักว่าตัวเองกำลังใช้เวลาไปกับสิ่งที่ไม่ต้องการอยู่ก็หันไปสนใจสิ่งที่ตัวเองชอบหรือสิ่งที่ต้องการแทน เมื่อเราทำแบบนี้จนเป็นนิสัย พลังงานก็จะเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ



