กินแล้วไม่ขยับ เสี่ยง 4 ปัญหาโรคทางเดินอาหาร
การทำงานนอกจากจะสร้างความเครียดแล้ว การที่ไม่ค่อยได้ขยับร่างกาย และ บริโภคอาหารเหมือนเดิม บางครั้งยังไม่ถูกหลักโภชนาการ จึงสามารถส่งผลโดยตรงกับระบบทางเดินอาหาร ก่อเกิดเป็นภาวะผิดปกติในรูปแบบต่างๆ ได้ ทั้งโรคลำไส้แปรปรวน อาหารไม่ย่อย ภาวะท้องผูก ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี อาจกลายเป็นโรคร้ายแรงอย่างมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่ ได้ในที่สุด
4 โรคทางเดินอาหารที่อาจเกิดขึ้น เมื่อกินแล้วไม่ขยับร่างกาย
1.อาหารไม่ย่อย (Dyspepsia)
คือ ภาวะความไม่สบายที่เกิดบริเวณหน้าอก หรือ ใต้ลิ้นปี่ ความรู้สึกอิ่มแน่นเกินไป เกิดขึ้นในระหว่าง และ หลังการกินอาหาร อาจมีเพียงอาการเดียวหรือหลายอาการร่วมได้ เช่น ท้องอืด แน่นท้อง มีลมในท้อง สามารถเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว หรือ เกิดได้ทุกวัน
สาเหตุของอาการอาหารไม่ย่อย ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการดำเนินชีวิต ได้แก่ การกินอาหารมากเกินไป กินอาหารเร็วเกินไป โดยเฉพาะอาหารรสจัดไขมันสูง ดื่มแอลกอฮอล์ กินช็อกโกแลต ดื่มชา กาแฟ น้ำอัดลมมากเกินไป การสูบบุหรี่ รวมไปถึงความวิตกกังวล ความเครียด ด้วยเช่นกัน
การรักษาอาการอาหารไม่ย่อย เบื้องต้นสามารถบรรเทาอาการ โดยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินอาหารและการดำเนินชีวิต
1.หลีกเลี่ยงอาหารรสจัดและไขมันสูง แบ่งอาหารออกเป็นมื้อเล็กๆ 5-6 มื้อต่อวัน
2.ลดปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์และคาเฟอีน
3.หลีกเลี่ยงปัญหาที่ทำให้วิตกกังวลหรือเครียดจัด
4.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
5.พบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัย กินยา เช่น ยาลดกรด อาจทำการตรวจเลือด อุจจาระ เพิ่มเติมได้ หากแพทย์สงสัยว่าภาวะอาหารไม่ย่อยนั้นอาจเกิดจากโรคอื่น เช่น แผลในกระเพาะอาหาร อาจทำการส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบน รวมถึงตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจ เพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการนี้
2.โรคลำไส้แปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome: IBS)
เป็นภาวะการทำงานของลำไส้ผิดปกติ ทำให้เกิดอาการท้องอืด มีแก๊ส ปวดท้อง ร่วมกับการขับถ่ายผิดปกติ เช่น ท้องผูก ท้องเสีย ท้องผูกสลับกับท้องเสีย อีกทั้งยังเป็นโรคเรื้อรังที่พบได้บ่อย
ปัจจุบันยังไม่สามารถหาสาเหตุของการเกิดโรคลำไส้แปรปรวนได้ชัดเจน แต่พบว่าเพศหญิงมีแนวโน้มเป็นโรคลำไส้แปรปรวนมากกว่าเพศชายถึง 2 เท่า รวมถึงผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เช่น มีอายุต่ำกว่า 45 ปี มีประวัติครอบครัวเป็นโรคลำไส้แปรปรวน และ ผู้ที่มีความเครียดสะสม มีความวิตกกังวลสูง
การรักษาผู้ป่วยโรคลำไส้แปรปรวน ส่วนใหญ่จะมีอาการแสดงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อาการเหล่านี้หายได้จากการ
1.ปรับเปลี่ยนการกินอาหาร โดยเพิ่มปริมาณกากใยอาหาร เพื่อช่วยระบบย่อยอาหารให้ทำงานดีขึ้น
2.จัดการความเครียด ลดความวิตกกังวลและความเครียดลง หางานอดิเรกที่ชื่นชอบทำ ฝึกการทำสมาธิ กำหนดลมหายใจ
3.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
4.ในขณะที่ผู้ป่วยบางรายที่มีอาการรุนแรงอาจต้องรักษาด้วยการใช้ยา หากมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในเวลากลางคืน ร่วมกับมีเลือดออกทางทวารหนัก รวมถึงมีน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรรีบพบแพทย์เฉพาะทางทันที
3.ท้องผูก (Constipation)
เป็นภาวะที่พบได้บ่อยถึงประมาณร้อยละ 10 ของประชากรทั่วไป อาการท้องผูกมีลักษณะที่แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล บางคนอาจหมายถึงการที่ต้องใช้แรงและเวลานานเพื่อเบ่งถ่ายอุจจาระ บางคนอาจหมายถึงความถี่ของการถ่ายอุจจาระ หรือ การถ่ายอุจจาระนาน ๆ ครั้ง บางคนอาจหมายถึงความรู้สึกเหมือนยังถ่ายไม่สุดเมื่อถ่ายเสร็จแล้ว บางคนอาจหมายถึง การมีอาการปวดท้อง ท้องอืดร่วมกับอาการท้องผูกด้วย
สาเหตุของอาการท้องผูก แบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ แบบปฐมภูมิ ที่มักเกิดจากสรีรวิทยาของการขับถ่ายที่เปลี่ยนไป แบบทุติยภูมิ ที่มีสาเหตุจากปัจจัยบางอย่าง เช่น ยาหรืออาหารเสริมบางชนิด โรคทางต่อมไร้ท่อ โรคทางระบบทางเดินอาหาร
การรักษาภาวะท้องผูก สามารถทำได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
1.ดื่มน้ำมาก ๆ
2.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
3.การใช้ยาระบาย
4.หากผู้ป่วยละเลยการรักษา หรือ ไม่ตอบสนองต่อการรักษา อาจเกิดจากการเบ่งถ่ายที่ผิดวิธี มีภาวะ Dyssynergia ซึ่งแพทย์จะวินิจฉัยด้วยเครื่องมือตรวจวัดการทำงานของกล้ามเนื้อส่วนปลายของลำไส้ใหญ่และหูรูดทวารหนัก (Anorectal manometry) การรักษาที่ได้ผลต่อภาวะนี้ คือ การฝึกกล้ามเนื้อที่ใช้ในการเบ่งถ่ายให้ทำงานถูกต้อง ฝึกกล้ามเนื้อที่ใช้ในการเบ่งถ่ายให้ทำงานถูกวิธี ด้วยเครื่องมือที่แสดงการทำงานของกล้ามเนื้อที่ควบคุมการขับถ่าย ให้ผลดีในระยะยาว
4.มะเร็งลำไส้ใหญ่ (Colorectal cancer)
เป็นโรคที่เกิดจากเซลล์ในลำไส้ใหญ่มีการเปลี่ยนแปลง เกิดการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนจนควบคุมไม่ได้ และ ไม่ได้รับการรักษา จนทำให้เกิดโรคมะเร็งที่ลำไส้ใหญ่ส่วนปลายของระบบทางเดินอาหาร ในประเทศไทยพบเป็นอันดับ 3 ของโรคมะเร็งทุกชนิด พบมากในผู้ที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป หากเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ มักพบอาการท้องอืด ท้องเสียสลับกับท้องผูก มีเลือดปนมาในอุจจาระ อ่อนเพลีย น้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ ปวดเบ่งบริเวณทวารหนักคล้ายปวดอุจจาระตลอดเวลา อาจคลำได้ก้อนในช่องท้อง
สาเหตุการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ยังไม่เป็นที่แน่ชัดเช่นเดียวกับโรคมะเร็งชนิดอื่น แต่มีปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่
1.ผู้ป่วยที่มีประวัติพบเนื้องอก (Polyps) ในลำไส้ มีภาวะลำไส้อักเสบเรื้อรัง
2.ผู้ป่วยที่มีการกินอาหารที่มีไขมันสูง โดยเฉพาะเนื้อแดงที่ผ่านการปรุงด้วยความร้อนสูง
3.การใช้น้ำมันทอดซ้ำ ๆ
4.การกินอาหารประเภทปิ้ง/ย่าง อาหารหมักดองเป็นประจำ รวมถึงสารเคมีจากผักที่ล้างไม่สะอาด ทำให้ร่างกายได้รับสารพิษและมีการตกค้างที่บริเวณลำไส้
5.จากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม
การป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่
1.ทำได้โดยการเข้ารับการคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ตั้งแต่อายุ 50 ปี ในคนปกติ และ 40 ปี ขึ้นไป สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยง หรือ มีบุคคลในครอบครัวมีประวัติเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่
2.การเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ ครบ 5 หมู่ กินผักและผลไม้มากขึ้น ลดปริมาณการกินเนื้อแดง
3.ดื่มน้ำมาก ๆ
4.พักผ่อนให้พอเพียง
5.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
6.งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

















