หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Team Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน ราคาทองคำ กินอะไรดี
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

พระพุทธไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาราชาตถาคตเจ้า

โพสท์โดย แสงแห่งโชคชะตา

"ดวงอาทิตย์ กับ ดวงจันทร์ มิอาจไม่ส่องแสง เขาพระสุเมรุอันเป็นราชาแห่งขุนเขา 

อาจจะสั่นไหว
แต่พระธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ย่อมไม่มีวันเปลี่ยนแปลง"

พระพุทธไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตเจ้า 藥師琉璃光如來 หรือ พระพุทธเจ้าหมอ (มหาแพทยราชาพุทธเจ้า ) คำว่า ไภษัชยคุรุ 藥師 แปลว่า พระผู้เป็นบรมคุรุแห่งโอสถรักษาโรค และปกติมักจะวาดภาพพระองค์เป็นสีน้ำเงิน เพราะ ในตำนานของพระองค์มักมีคำกล่าวขานกันว่า

. ทรงเป็นไวฑูรยประภาตถาคต 琉璃光如來 หรือ พระตถาคตเจ้า 如來 ผู้มีแสงรัศมีสีน้ำเงิน ดุจรัตนไวฑูรย์ ซึ่งให้ความรู้สึกของความเย็นสบายดับความเร่าร้อนของโลก เรามักเห็นภาพอยู่ในรูปปางนั่งสมาธิ บนพระเพลามีบาตร ซึ่งทรงถือไว้ด้วยพระหัตถ์ซ้าย ในขณะที่พระหัตถ์ขวาทรงแตะที่พื้นดิน​ ในบาตรของพระองค์บรรจุไว้ด้วยสรรพยาต่างๆ รักษาโรคได้ทุกอย่าง เป็นทิพยโอสถ ชื่อว่า “อคทะ”

.การบูชาพระองค์จะช่วยในการเยียวยาความป่วยไข้ทั้งหลายได้ ทั้งความป่วยไข้ภายนอกที่เกิดจากโรคภัยต่างๆ อุบัติเหตุ คุณไสย และ ความป่วยไข้ภายในจากอวิชชา และกิเลสต่างๆ ส่วนพระหัตถ์ขวาทรงแตะที่พื้นดิน แสดงถึงความหนักแน่นมั่นคงของพระมหาปณิธาน ที่จะช่วยเยียวยาสรรพทุกข์และกิเลสทั้งมวล

.การลงมาสัมผัสพื้นของพระหัตถ์ขาว หมายถึง ถ้าเราต้องการจะเยียวยาสรรพทุกข์ และ กิเลสทั้งมวล เราต้องลงมาสัมผัสกับผู้คน กับ​โลกจริงๆไม่อาจจะปล่อยให้เป็นเพียงความนึกฝันล่องลอยในอากาศได้

.ดังนั้นในทัศนคติของมหายาน​ การปฏิบัติธรรมไม่ใช่การหนีโลก​ เข้าป่าไปเป็นฤาษีชีไพร​ แต่คือ​ การจาริกออกไป​เพื่อประโยชน์ของชาวโลก​ ถ้าเราเป็นผู้เยี่ยวยาความทุกข์ของสรรพสัตว์​ เราต้องเข้าหาพวกเขาเหล่านั้น​ รับฟังอย่างลึกซึ้ง​ เสมือนความทุกข์นั้นเป็นของเราด้วย​ เราถึงจะสามารถเยียวยาความป่วยไข้ของคนเหล่านั้นได้​

. เปรียบเหมือนหมอต้องลงไปคลุกคลีกับคนไข้​ จึงจะสามารถวิเคราะห์อาการป่วย​ รู้สมมุติฐานของโรค​ และ​เจียดยารักษาได้​ เช่นนั้นแหละ​ การรับฟัง และโอบกอดความทุกข์ของผู้อื่น​ จะทำให้เราสามารถเจียดยา​ คือ​ พระธรรมได้ถูกต้อง​ พุทธศาสนาในมุมนี้จึงเป็น​ "พุทธศาสนาเพื่อการรับใช้สังคม"

.สำหรับ พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตเจ้า 藥師琉璃光如來 นึ้นั้น​ ในบรรดาประเทศที่นับถือพุทธมหายาน เช่น จีน ธิเบต เกาหลี ญี่ปุ่น นั้นพระองค์ มักถูกกล่างถึงมาช้านาน โดยเฉพาะในพิธีกรรมของฝ่ายพุทธมหายาน จึงมักมีการอัญเชิญนามของพระองค์มาสาธยาย โดยเฉพาะในงานมงคลต่างๆ เช่น งานวันเกิด ต่ออายุเสริมชะตา

.ส่วนคนไทยรู้จักพระพุทธเจ้าองค์นี้บ้างแล้วในชื่อพระกริ่ง ความจริงพระองค์เป็นที่รู้จักในบริเวณนี้อยู่แล้วมาช้านาน เพราะบริเวณนี้เคยเป็นแหล่งรุ่งเรืองของพุทธมหายานมาก่อน

.เสถียรโกเศศ - นาคประทีป กล่าวไว้ว่า หนังสือของท่าน "ลัทธิของเพื่อน" ว่า " ในพงศาวดารเขมรกล่าวว่า พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ (พ.ศ. ๑๗๒๔ ~ ๑๗๔๔ ) กษัตริย์ขอมเพียงพระองค์เดียวที่ทรงหันมานับถือพุทธมหายาน ทรงให้สร้างโรงพยาบาลทั่วไปในอาณาจักร เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า 藥師如來 เพื่อประโยชน์แก่คนเจ็บป่วย ไม่เลือกชั้นวรรณะ โรงพยาบาลเหล่านี้เรียกว่า อโรคยาศาล (มีจํานวน ๑,๒๖๐ แห่งทั่วพระราชอาณาจักร)"

. ศิลาจารึกอโรคยาศาล บันทึกไว้ว่า" พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ กล่าวว่า โรคที่เบียดเบียนร่างกายของประชาชนนั้น กลับกลายเป็นโรคทางใจ ถึงแม้ว่าทุกข์นั้นจะใช่เป็นของตนเอง แต่ความทุกข์ของราษฎรเปรียบเหมือนทุกข์ของผู้ปกครอง (พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗) "

.ส่วนในจารึกปราสาทตาพรหม โศลกที่ ๑๑๗ ได้กล่าวว่า "พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ทรงสถาปนาโรงพยาบาลขึ้น ๑๐๒ แห่ง ในแต่ละจังหวัดพร้อมทั้งรูปเคารพ (พระไภษัชยคุรุ และ อื่นๆ ) ๗๙๘ องค์ไว้ ณ. ที่นั้นด้วย"

ในวรรณกรรมมหายาน มีพระสูตรที่เกี่ยวข้องกับพระองค์อยู่ ๒ พระสูตร คือ

๑. ไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตสูตร
เล่มนี้แปลสู่จีนพากษ์ โดยพระตรีปิฎกธราจารย์เฮี้ยนจั๋ง (พระถังซำจั้ง) ในปี พ.ศ. ๑๑๙๓.

๒. ไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาสัปตพุทธปูรวปณิธานวิเศษสูตร เล่มนี้ พระมหาสมณะงี้เจ่ง สมัยราชวงศ์ถัง แปลสู่จีนพากษ์ ในปี พ.ศ. ๑๒๕๐.

.ทั้ง ๒ พระสูตร มีเนื้อหาใกล้เคียงกัน ต่างแต่ว่าในพระสูตรหลังบรรยายถึง พุทธเกษตรของพระพุทธเจ้าองค์อื่นด้วย จำนวน ๗ พระองค์ อันประกอบไปด้วย

๑. พระพุทธสุนามยศศิริราชาตถาคตเจ้า
๒. พระพุทธรัตนจันทรปรัชญา ประภาศัพทศวรราชาตถาคตเจ้า
๓. พระพุทธสุวรรณรัตนประภามัญชุจริยาสิทธิตถาคตเจ้า
๔. พระพุทธอโศกาวิชยศิริตถาคตเจ้า
๕. พระพุทธธรรมสาครครชิตศัพทตถาคตเจ้า
๖. พระพุทธธรรมสาครชยะ ปรัชญาอภิญญากรีฑาตถาคตเจ้า
๗. พระพุทธไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตเจ้า

.พร้อมทั้งพระมหาปณิธานของพระพุทธเจ้าทั้ง ๗ พระองค์

ใน "ไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาสัปตพุทธปูรวปณิธานวิเศษสูตร" บรรยายโลกธาตุทั้ง ๗ นั้นว่า อยู่ไกลออกไปจากโลกของเรา ประดุจดังการนำเอาเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคามาเรียงต่อๆ กันไปเป็นระยะห่าง ในที่นี้เราจะเน้นถึงเฉพาะ โลกธาตุแห่งพระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตเจ้า 藥師琉璃光如來 พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๗ นี้เท่านั้น แต่ไม่ได้หมายความว่า พระไภษัชยคุรุ 藥師 สำคัญกว่าพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ อีก ๖ พระองค์แต่อย่างใด

.พระสูตรบรรยายความมั่งคั่ง ร่ำรวย สมบรูณ์สุขแห่งพุทธเกษตรเหล่านั้น แต่ในที่นี้เราจะเน้นที่พุทธเกษตรของ พระพุทธไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตเจ้า 藥師琉璃光如來 คือ "ศุทธิไวฑูรย์โลกธาตุ" บางพระสูตรอาจแปลว่า “ปูรณจันทรโลกธาตุ” ซึ่งอยู่ห่างจากโลกธาตุของเราไปทางทิศะตะวันออก ผ่านโลกธาตุต่างๆ ไปมากมายเท่ากับจำนวนเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา จำนวนถึง ๑๐ สายรวมกัน

.สังเกตว่า ศุทธิไวฑูรยโลกธาตุ อยู่ทางทิศตะวันออก ซึ่งเป็นทิศที่ดวงอาทิตย์ขึ้น สื่อว่า การเริ่มชีวิตใหม่ การรู้แจ้งประดุจดวงอาทิตย์ที่รุ่งโรจน์เปล่งแสงยามรุ่งอรุณทางบูรพาทิศ

ณ. ศุทธิไวฑูรยโลกธาตุ มีความวิจิตรอลังการ เหมือนกับแดนสุขาวดีของ "พระอมิตาภพุทธเจ้า 阿彌陀佛" ทุกประการ โดยไม่ผิดเพี้ยนแตกต่างกันเลย พื้นแผ่นดินแห่งพุทธเกษตรแห่งนั้นเป็นทองคำ ราบเรียบเสมอกัน มีสายลมหอมหวานดุจสุคนธ์ทิพย์พัดผ่าน ประดับประดาไปด้วยรัตนพฤกษ์ มีสระโบกขรณี และ เงิน ทอง ไข่มุข แก้วมณีชนิดต่างๆ ปราศจากอบายภูมิ

.ดุจดังพระอมิตาภพุทธเจ้า แห่งสุขาวดีทางทิศตะวัน 極樂世界。阿彌陀佛 พระองค์มีพระเอกอัครมหาสาวกผู้ช่วย ๒ พระองค์เช่นกัน คือ
พระสูรยประภามหาโพธิสัตตว์ 日光遍照菩薩
พระจันทรประภามหาโพธิสัตตว์ 月光遍照菩薩

ซึ่งเป็นบุคลาธิษฐานของมหาปัญญา และ มหากรุณา ปัญญาส่องสว่างด้วยแสงอันแรงกล้าดุจดวงอาทิตย์ ส่วนดวงจันทร์ให้ความสงบนิ่งอ่อนละมุนเหมือน มหากรุณา

.ตามคติพุทธมหายาน การว่ายเวียนในสังสารวัฏนั้นถือเป็นโรคาพาธที่ร้ายแรงกว่าโรคทางกาย และความเจ็บป่วยของเราแต่ละคนนี้ ล้วนมีสมุฏฐานปัจจัยมาจาก วิกัลปะสัญญา และ อาสวะกิเลส

. มหายานมองแบบอายุรเวทตะวันออกโบราณ ที่มองว่า กาย กับ จิต ไม่ใช่เป็นคนละส่วน เพราะ กาย และ จิต ติดกันแน่นมานานแสนนาน เมื่อใจทุกข์ กายก็จะทุกข์ด้วย ถ้าใจสุขกายก็จะสุข ยกตัวอย่างคนที่มีความเครียดมาก ก็มีแนวโน้มที่จะมีสุขภาพไม่สู้ดีนัก เช่น อาจจะป่วยเป็นโรคที่นับเนื่อง มาจากความเครียด เช่น ความดันสูง โรคหัวใจ ซึ่งทำให้ร่างกายอ่อนแอ และเปิดโอกาสให้โรคอื่นเข้ามาแทรก

.อย่างไรก็ตาม​ หามองผ่านมุมของสุญญตา เนื่องจากโดยความจริงแล้ว ก็ไม่มีสภาวะที่ยืนยงใด ๆ ดังนั้น ไม่มีใครเป็นผู้เสวยทุกข์จากความเจ็บป่วย หรือ ไม่มีผู้เจ็บป่วยเลยมาตั้งแต่ต้น เพราะอาศัยการประชุมแห่งมหาภูตรูป ๔ จึงมีบัญญัติเรียกว่า สรีระ

. แต่มหาภูตรูป ๔ นี้ ปราศจากผู้เป็นเจ้าของ หรือ ตัวตน มีธรรมชาติที่แท้เป็นเป็นอนัตตา เพราะเราเชื่อว่ามีตัวฉัน จึงมีความเจ็บป่วยของฉัน บังเกิดขึ้นตามมา ถ้าความเข้าใจผิดเรื่องฉันดับไป ก็จะไม่ความป่วยไข้ของฉัน สรีระนี้เป็นแต่สภาวธรรมมาประชุมกัน

. ดังนั้นจึงมีแต่สภาวธรรมเท่านั้น ที่เกิดขึ้น สภาวธรรมเท่านั้นที่ดับไป ความเจ็บป่วยก็สักแต่ว่า เป็นเพียงอาการปรากฏของสภาวธรรมมาประชุมกันเท่านั้น ไม่ใช่ของใคร เมื่อเข้าใจเช่นนี้ก็ละความป่วยไข้ของโรคแห่งอหังการความยึดถือว่า “ตัวฉัน” ละมมังการ ความยึดถือว่า “ของของฉัน” ได้ นั้นคือการหายขาดจากโรคร้ายในทัศนะมหายาน

.ส่วนคติความรุ่งเรืองแห่งพุทธเกษตรของ พระพุทธไภษัชยคุรุฯ 藥師琉璃光如來 นั้นเล่า ก็สะท้อนร่องรอยของความปรารถนาของมนุษย์ ที่แสวงหาโลกที่ซึ่งตนสามารถใช้ชีวิตที่สูงส่งและดีงามไดั พระสูตรสะท้อนความคิด ความห่วงใยที่มีต่อโลก ต่อเพื่อนมนุษย์ เช่น โรคภัยไข้เจ็บ ความไม่มั่นคงของชีวิต เศรษฐกิจ สังคม ปัญหาการแบ่งแยกเอารัดเอาเปรียบกัน ความตกต่ำของศีลธรรม ผ่านพระมหาปณิธานของพระองค์ ที่มุ่งมั่นจะเป็นผู้เยียวยาความป่วยไข้ของโลก

"ไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาสัปตพุทธปูรวปณิธานวิเศษสูตร" กล่าวว่า “การจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้นแสนยาก แต่เมื่อเกิดมาแล้วได้เลื่อมใสในพระรัตนตรัยนั้นยากยิ่งกว่า แต่การได้พบพระตถาคตเจ้า 如來 นี้ยังยากยิ่งกว่า จึงหวังว่าท่านสาธุชนทุกท่าน จะเลือกเฟ้นเอาประโยชน์อย่างสุดกำลัง”

.คำว่า "ประโยชน์อย่างสุดกำลัง" ในที่นี้ก็คือ การเอาพระมหาปณิธานของพระตถาคตเจ้า 如來 เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตนั้นเอง คือ แบบอย่างในการดำเนินชีวิตเพื่อประโยชน์สุขของผู้อื่น นัยยะคือ เราควรมีปณิธานที่จะเรียนรู้ธรรม ศึกษาธรรม แต่ไม่ใช่แค่เพื่อเยียวยาตนเองเท่านั้น แต่เพื่อให้เราสามารถเป็นแสงสว่างให้แก่ผู้อื่นที่มืดบอดได้ด้วย

พระพุทธไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตเจ้า藥師琉璃光如來 ทรงมีพระมหาปณิธาน ๑๒ ประการดังนี้

๑. หากเราจักตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ก็ขอให้วรกายแห่งเรามีรัศมีสว่างไปในโลกธาตุทั้งปวงไม่มีขอบเขต ฉายแสงประภาสอันประมาณมิได้ ส่องสว่างไปโดยไร้ขอบเขต ดุจรัศมีของรัตนไวฑูรย์ ปราศจากมลทิน
และความหมองเศร้า

( อธิบายเพิ่มเติมเราจะเห็นว่า คติตรงนี้สะท้อนความคิดเรื่องแสงแห่งธรรม ซึ่งเยียวยาความป่วยไข้จากโรคอวิชชาของโลกทั้งปวง กายในที่นี้ก็คือ "ธรรมกาย" แสงแห่งธรรมของพระองค์นั้นเอง ที่สามารถส่องสว่างไปในโลกธาตุทั้งปวงไม่มีขอบเขต ทะลุผ่านม่านหมอกมายาภาพทั้งปวง และนำความสว่างไสวมาสู่หัวใจของผู้คน )

.พระพุทธไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคเจ้า 藥師琉璃光如來 ทรงประกอบไปด้วย
ทวัตติงสะมหาบุรุษลักษณะ ๓๒ ประการ อสีตยานุพยัญชนะลักษณะ ๘๐ ประการ
เป็นอลังการแห่งกาย ทรงมีพระมหาปณิธานว่า "จะยังให้สรรพสัตว์ทั้งปวงเสมอเหมือนเราโดยมิแตกต่าง"

( อธิบายเพิ่มเติม​ คำว่า​ "จะยังให้สรรพสัตว์ทั้งปวงเสมอเหมือนเราโดยมิแตกต่าง" หมายความว่า จะทรงพยายามช่วยให้สรรพสัตว์บรรลุโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า ผู้มีคุณสมบัติไม่ต่างจากพระองค์ )

๒. จะช่วยให้สรรพสัตว์ตื่นจากความโง่เขลา กล่าวคือ สรรพสัตว์ผู้ดำเนินเที่ยวไปในความมืดมนอันธการ

.หากในอนาคตเราจักตรัสรู้แล้วไซร้ ขอให้สรรพสัตว์เหล่านั้นเมื่อได้ยลประภาสแห่งเราตถาคต (คือแสงแห่งธรรมแห่งเรา) ความโง่เขลาที่ปิดบังอยู่ จักถูกเปิดออก

๓. จะช่วยให้สรรพสัตว์ถึงพร้อมด้วยของใช้ทั้งปวง
(อธิบายเพิ่มเติม พระพุทธไภษัชยคุรุตถาคตเจ้า 藥師如來 คือ โพธิจิต​ หรือ​ จิตแห่งรัก และโพธิจิตก็คือแก้วสมความปรารถนา ความคิดเรื่องโพธิจิตถือได้ว่าเป็นหัวใจของมหายาน ซึ่งประกอบด้วยความคิดสำคัญๆ คือการมุ่งมั่นที่จะตรัสรู้ การกระทำตนให้เป็นประโยชน์แก่โลก และการลงมือปฏิบัติจริง โดยไม่สั่นคลอนความตั้งใจ คือจะช่วยให้สรรพสัตว์ถึงพร้อมด้วยของใช้ทั้งปวง ซึ่งจำเป็นสำหรับความหลุดพ้น คำว่า​ "ของใช้ทั้งปวง" ในที่นี้ หมายถึงปัจจัยทั้งมวลที่ช่วยให้บุคคลข้ามห้วงสังสาระ อันข้ามได้ยากนั้นเอง

.มนุษย์มีความทุกข์ มีความวุ่นวาย มีปัญหาความขัดแย้ง เอารัดเอาเปรียบกันก็เพราะความเห็นแก่ตัว มหายานจึงเสนอความคิดที่ค่อนข้างจะตรงข้ามกับจิตสำนึกตามธรรมชาติของเรา คือ ให้เราเห็นประโยชน์ของผู้อื่นเหนือตนเอง หรืออย่างน้อยก็ต้องไม่ใช้ชีวิตไปบนหนทางที่เบียดเบียนผู้อื่น ทั้งทางกาย วาจา ใจ ถ้าความเห็นแก่ตัวนำมาซึ่งปัญหา การเห็นแก่ผู้อื่น ก็คือทางแก้ปัญหา คือที่มาของความสุขที่แท้

.กวีกล่าวว่า "เมื่อบุคคลบ่มเพาะโพธิจิตขึ้นมาได้นั้น ก็ประดุจว่า เขาได้รับแก้วมณีสารพัดนึกมาไว้ในมือ แก้วมณีอันมีค่าซึ่งสามารถบันดาลความสุขทุกอย่างให้แก่ผู้ครอบครอง" เพราะความสุขที่แท้จะมีขึ้นได้ท่าม
กลางความรักเท่านั้น ความรักให้พลังในการเยียวยาความป่วยไข้ของจิตใจ นำพาความหมายมาสู่การมีชีวิต เมื่อชีวิตมีความรัก มีเมตตาจิต ก็เสมือนมีแก้วสารพัดนึกมาครอบครอง

๔. จะช่วยให้สรรพสัตว์หันมานับถือมหายานธรรม มุ่งสู่ความเป็นพระพุทธเจ้า

(อธิบายเพิ่มเติม​ พระพุทธไภษัชยคุรุตถาคตเจ้า 藥師如來 ทรงเป็นยอดคุรุ คือ พระองค์จะสร้าง "คุรุพุทธเจ้า" ไม่ใช่พุทธสาวก พระองค์จะโยนคนทั้งหลายให้ไปพบ "พุทธภาวะ" ที่มีอยู่ในตัวของเขาเอง​ คือ​ ปัญญา และกรุณา นี่คือ ครูที่แท้จริง​ คุรุแท้ต้องสร้างคุรุ​ และ​ตราไว้ว่า ครูที่แท้จริงไม่ได้ให้ปัญญากับเรา แสงสว่างกับเรา แต่จะเขาเราให้ไปพบแสงสว่างที่มีอยู่แล้วในตัวเราเอง​ ​ ช่างน่าอัศจรรย์

๕. จะช่วยให้สรรพสัตว์มีศีลบริสุทธิ์

(อธิบายเพิ่มเติม​ ศีลหรือสภาวะอันเป็นปกติของชีวิต คือ รากฐานของชีวิตอันอุดม ศีลไม่ใช่ขื่อคาพันธนาการ แต่คือ ข้อปฏิบัติบ่มเพาะสติ (ปราศจากสติ​ และ​ ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งหรือปัญญา​ ศีลก็ไม่สามารถดำรงอยู่ได้​ )​ และ​เพื่อปกป้องอิสรภาพของจิตใจของเราเอง รวมทั้งศีลยังเป็นการแสดงออกซึ่งความรักความเข้าใจต่อผู้อื่นด้วย เพราะเห็นความจริงว่าทุกชีวิตล้วนปรารถนาความสุข ไม่ต้องการความทุกข์ ดังนั้นการละเมิด เช่น การทำร้ายกัน การเอาเปรียบ การใช้วาจาที่ทำร้าย หลอกลวงกันย่อมเกิดไม่ได้
นี่คือศีล

๖. จะช่วยให้สรรพสัตว์มีกายสมบูรณ์ ในพระมหาปณิธานข้อนี้มีว่า "เมื่อเราตถาคตมาอุบัติยังโลก และบรรลุพระโพธิญาณแล้ว หากสรรพสัตว์มีอินทรีย์ทั้งปวงมิสมบูรณ์ ร่างกายอัปลักษณ์ เนตรบอด โสตหนวก โอษฐ์ใบ้ นิ้วมือเท้างอหงิก หลังค่อมโก่งงอ เป็นโรคกุษฐัง สติวิปลาสมิสมประดี มีโรคทุกข์นานารุมเร้าเสียดแทงอยู่ หากได้สดับนามของเรา และสรรเสริญระลึกถึงด้วยที่สุดแห่งใจ จักบรรลุศุภลักษณะที่งดงาม สรรพโรคามลายสิ้น"

(อธิบายเพิ่มเติม​ คตินี้ก็คือ​ ปกติเราจะรู้สึกขาดพร่องตลอดเวลาในสังสาระ​ เราก็เลยแสวงหานั่นนี่มาเติมเต็มความรู้สึกพร่อง​ นี่ไม่ใช่แค่ความร่ำรวย​ ชื่อเสียง​ เกียรติยศเท่านั้น​ แค่เรารู้สึกพร่อมแม้กระทั้งในระดับจิตวิญญาน ในคำสอนทางจิตวิญญาณ​ เราอยากได้นิพพานไม่เอาสังสาระ​ ซึ่งลึกๆ มันก็คือกลลวงเพื่อที่จะหลอกตัวเอง​ หรือ​ ตอกย้ำความมีตัวตนอยู่ของเรา​ (ซึ่งไม่ได้มีอยู่จริง)​ จิตสำนึกเราจึงแกว่งจากนี่ไปนั่น​ อยากได้นั่น​ ไม่อยากได้นี่​ เราถึงไม่เคยมีความสุข​
ดังนั้นเราก็เลยไม่ต่างจากคนพิการ​ เรายังไม่เป็นมนุษย์ที่สมบรูณ์ หรือมนุษย์ที่แท้จริงอย่างที่เราควรเป็น​)

.คำว่า​ "นามแห่งเรา" ในที่นี้คือ รสของอมตะธรรม แห่งสุญญตา หากจิตตั้งมั่นอยู่ในสุญญตา ก็จะพบกายสมบรูณ์ ก็คือ ค้นพบกายแท้ หรือ ธรรมกายในหัวใจของเรานั้นเอง ค้นพบธรรมแท้ พุทธกายแท้ในตัวเอง และ สรรพโรคามลายสิ้น เราจะพบว่าสิ่งทั้งปวงล้วนสมบูรณ์นั้นเรามีอยู่แล้ว และนิพพานก็มีอยู่แล้วท่ามกลางสังสาระ เหมือนดังร่างกายอัปลักษณ์นั้น เป็นแค่เงาสะท้อนของ ร่างกายที่แท้จริงที่อินทรีย์ทั้งปวงมิสมบูรณ์​ เมื่อเราหยุดอยากได้อยากมีอยากครอบครอง​ เราดับสิ้นซึ้งตัญหาทั้งมวลด้วยพระธรรม​ เราย่อมพบอิสรภาพทางจิตวิญญาณ​ เราจะไม่รู้สึกพร่องอีกต่อไป​​ และ​ เราก็จะเป็นมนุษย์ที่แท้จริง​ และ​สมบรูณ์​

๗. จะช่วยให้สรรพสัตว์พ้นจากความยากจน

(อธิบายเพิ่มเติม​ดังนี้ คำว่า "ความยากจน" ในที่นี้คือ​ ความยากจนในหัวใจ เราเป็นพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว แต่เราไม่รู้ เราจึงเหมือนคนยากจน เหมือนวณิพก และเราก็เที่ยววิ่งวุ่นไปนั้นนี่ นี่นู้น เพื่อจะหาอะไรสักอย่างมาเติมเต็มความรู้สึกขาดไม่สมบรูณ์ แต่ถ้าเรารู้ว่าเรานั้นเป็นเศรษฐีอยู่แล้ว เพียงแค่หลับฝันไปว่าเป็นวณิพก เพราะอวิชชาเท่านั้น เมื่อเราพบว่าเราเป็นเศรษฐี เราก็จะพ้นจากความยากจน แรงปรารถนาที่ผูกมัดที่สร้างความหงุดหงิดไม่พอใจในตัวเองของเราได้
เราจะพบความมั่งคั่งขุมทรัพย์ในตัวเอง

๘. จะช่วยให้สตรีได้เป็นบุรุษตามปรารถนา​ ไร้นามสตรีเพศ

(อธิบาย​เพิ่มเติมดังนี้​ "ช่วยให้สตรีได้เป็นบุรุษตามปรารถนา" หมายถึงที่นั้น จะไม่มีการแบ่งแยกหญิงชายอีกต่อไป ซึ่งเป็นการสวนกระแสของสังคมอินเดีย​ ในยุคที่พระสูตรถูกรจนาขึ้นมาอย่างชัดเจน ซึ่งผู้หญิงมีชีวิตไม่ต่างจากทาสของสามี และแม่สามี)

.นอกจากนี้คำว่า​ "ไร้นามของสตรีเพศ" ยังหมายถึง ความเป็นหนึ่ง เหนือทวิภาวะ หรือมีธรรมชาติเป็นความว่างหรือสุญญตา เพราะความเป็นชายเกิดจากความเป็นหญิง เมื่อปราศจากความเป็นหญิง หรือไร้นามของสตรีเพศ ก็ไม่มีบุรุษอีกต่อไป โลกธาตุนี้จึงเป็นสัญลักษณ์ของความเท่าเทียม​ และ​ไม่แบ่งแยก กล่าวคือ​ พุทธ - โพธิสัตตว์ ย่อมขึ้นอยู่เหนืออคติทางเพศ

๙. จะช่วยให้สรรพสัตว์พ้นจากอุบายของมาร

(อธิบายเพิ่มเติม​ "มาร" ในที่นี้ คือ อวิชชา/กิเลส/ความคิดปรุงแต่งนั้นเอง ซึ่งเป็นรากเหง้าของชรามรณะ ความทุกข์ (ตามหลักปฏิจจสมุปบาท)​

๑๐. ช่วยให้สรรพสัตว์พ้นจากโทษทัณฑ์ทางอาญา

(อธิบายเพิ่มเติม​ คำว่า​ "โทษทัณฑ์ทางอาญา" คือ ตัญหา อุปทาน ที่ผูกมัดจิตของสรรพสัตว์อยู่ ดุจดังต้องโทษทัณฑ์ทางอาญา หรือกำลังจะขึ้นลานประหารตลอดเวลา

๑๑. จะช่วยให้สรรพสัตว์พ้นจากการทำชั่วเพื่อเลี้ยงชีพ

(อธิบายเพิ่มเติม​ คือ​ ตั้งอยู่ในการมีสัมมาอาชีวะนั้นเอง คือ​ เราจะไม่ประกอบอาชีพที่เบียดเบียนโลก​ และ​ผู้อื่น​ นอกจากนี้ยังรวมถึงการมีชีวิตพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์ด้วย​ มนุษย์จะเป็นอย่างไรก็ขึ้นกับการงานที่เขาทำ หากเขาใช้ชีวิตด้วยความตื่นรู้ในการทำงาน​ การทำงานของเขาก็จะ​เป็น​ สัมมาอาชีวะ​ เป็นมรรคไปสู่ความรู้แจ้งได้

๑๒. ช่วยให้สรรพสัตว์พบกับความสมบูรณ์ทั้งสิ้น ได้รับอาภรณ์ที่ดีเลิศ เครื่องประดับรัตนะ เครื่องดนตรี ของหอม ดอกไม้นานาชนิดอย่างบริบูรณ์ ไกลจากทุกข์เศร้าหมองทั้งปวง

( อธิบายเพิ่มเติม คำว่า" อาภรณ์ที่ดีเลิศ เครื่องประดับรัตนะ เครื่องดนตรี ของหอม ดอกไม้นานาชนิดอย่างบริบูรณ์ " ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา รวมทั้ง บารมี ๖ นั้นเอง ในที่นี้ก็คือ จะช่วยให้สรรพสัตว์พบกับความสมบูรณ์ของศีล สมาธิ ปัญญา รวมทั้ง บารมี ๖ ซึ่งเป็นเครื่องช่วยให้ไกลจากทุกข์เศร้าหมองทั้งปวง)

เห็นว่าแก่นแท้ของพระมหาปณิธาน ๑๒ ประการ ก็คือ มหากรุณานั้นเอง บุคคลผู้ตั้งมั่นในมหากรุณา มีจิตมั่นคงแน่วแน่เพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์อันไม่มีประมาณ และไม่มีวันเลิกล้มความคิดนั้น บุญกุศลอันยิ่งใหญ่ของเขาย่อมดุจดังท้องฟ้า และแม้ว่าเขาจะยังถูกจองจำอยู่ในสังสารวัฏ แต่เขาก็ได้กลายเป็นบุตร และธิดาของพระพุทธเจ้า เขาจึงคู่ควรกับการบูชาจากมนุษย์และเทวดา มหากรุณาคือ หัวใจของโพธิสัตตวจรรยา

ใน "วิมลเกียรตินิรเทศสูตร"
ท่านวิมลกีรติอุบาสกโพธิสัตตว์ กล่าวว่า “

เพราะเหตุที่สรรพสัตว์เจ็บป่วย ข้าพเจ้าจึงต้องเจ็บป่วย ถ้าหากสรรพสัตว์พ้นจากความเจ็บป่วย ความเจ็บป่วยของข้าพเจ้าก็ย่อมดับสูญไปเอง ข้อนั้นเพราะเหตุดังฤๅ ? เพราะว่าพระโพธิสัตตว์ย่อมอาศัยสรรพสัตว์เป็นที่ตั้ง จึงมาสู่ความวนเวียนแห่งชาติมรณะ

.ครั้นเมื่อยังมีชาติมรณะอยู่ ก็ย่อมมีความเจ็บป่วยอยู่ตามธรรมดา ก็ถ้าว่าสรรพสัตว์พ้นจากความเจ็บป่วยได้ พระโพธิสัตตว์ย่อมปราศจากอาพาธใด ๆ รบกวนอีก

.อุปมาดั่งคฤหบดีผู้มีบุตรแต่เพียงคนเดียว เมื่อบุตรนั้นล้มเจ็บ บิดามารดาก็ย่อมพลอยเจ็บตามไปด้วย ครั้นบุตรนั้นหายเจ็บ บิดามารดาก็พลอยหายเจ็บไปด้วย ฉันใด พระโพธิสัตตว์ก็มีอุปไมยดุจเดียวกับแม้ฉันนั้น กล่าวคือมีความกรุณาเมตตาต่อสรรพสัตว์เช่นบุตรในอุทร เมื่อสรรพสัตว์เจ็บ ก็เท่ากับพระโพธิสัตตว์เจ็บ เมื่อสรรพสัตว์หายเจ็บ ความเจ็บของพระโพธิสัตตว์ก็ย่อมสูญหายไป

.อนึ่ง พระคุณถามว่า สมุฏฐานแห่งอาพาธเนื่องมาจากอะไร ? ข้าพเจ้าขอวิสัชนาว่า เหตุแห่งอาพาธของพระโพธิสัตว์นั้น มีพระมหากรุณาเป็นสมุฏฐานด้วยดั่งนี้แล "

ในพระสูตร "ไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาสัปตพุทธปูรวปณิธานวิเศษสูตร" ที่พระพุทธศากยมุนีพุทธเจ้า 本師釋迦牟尼佛 ตรัสว่า

"อานนท์ ! หากเราตถาคตจะพรรณาโพธิสัตตวจรรยาอันไม่มีที่สิ้นสุด สดุดีพระเกียรติคุณของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ในกุศโลบายที่ทรงสั่งสอนธรรมขัดเกลาเวไนยสัตว์ทั้งหลาย ตลอดจนพระมหาปณิธานอันไม่มีประมาณของพระองค์ แม้จะพรรณาจนสิ้นกัลป์ ก็ยากที่จะพรรณนาพระจรรยาปณิธาน และพระกุศโลบายต่างๆให้หมดสิ้นไปได้"

.ขอให้สังเกตว่า การที่นิกายมหายานหยิบยกเอาความคิดเรื่องมหากรุณาขึ้น มาเน้นถือได้ว่าเป็นปรากฏการณ์สำคัญในสังคมอินเดียทีเดียว ในสังคมนั้นคนอินเดียเชื่อคติเรื่องกรรมเก่า หมายความว่า ถ้าชีวิตเราทุกข์ยากนั้น​ ก็เพราะชาติที่แล้วเราทำกรรมชั่วร้ายเอาไว้ ถ้าชีวิตของเราดีงาม มีแต่ความมั่งคั่ง เกิดในวรรณะที่สูง จะทำอะไรๆก็ดูสำเร็จ นั้นก็​เพราะ​ชาติที่แล้วเราประกอบกุศลธรรมเอาไว้มาก

. ดังนั้นที่อินเดียแม้จนทุกวันนี้ เราจะเห็นว่าจะไม่มีองค์กรการกุศล ความคิดเรื่องการบริจาคช่วยเหลือ เกื้อกูลคนอื่นเลย หรือถ้ามีก็มีน้อยมาก เพราะการที่คนๆ หนึ่งทุกข์ยากก็เป็นเพราะกรรมของเขา และ​เราไม่ควรเข้าไปยุ่งยากกับความทุกข์ของเพื่อนมนุษย์ เพราะนั้นเท่ากับเรากำลังไปขัดขวางการชดใช้กรรมของเขา และ เรากำลังเป็นต้นเหตุให้ชาติหน้าคนคนหนึ่งต้องเกิดมามีชีวิตที่ตกต่ำอีก

. อินเดียจึงเป็นประเทศที่คงความทุกข์ยากมากที่สุด และยาวนานที่สุดของโลกจวบจนทุกวันนี้ ดังนั้นการที่มหายานชูประเด็นดังกล่าว จึงนับว่าเป็นคติในระดับของการปฏิวัติความคิดทีเดียว

มหากรุณา ประกอบด้วยองค์ประกอบ ๔ ประการ

๑.การบ่มเพาะความรักที่ไม่มีเงื่อนไขและไม่หวังสิ่งใดตอบแทน สิ่งนี้เรียกว่า ความเมตตา

๒. การตั้งจิตของท่าน ให้มั่นบนหนทางของความปรารถณาให้ผู้อื่นประสบแต่ความสุข สิ่งนี้เรียก ความกรุณา

๓. การให้ชีวิตของท่าน นำพาเอาแต่ความยินดีเบิกบานมาสู่ตนเองและผู้อื่น นี่คือ ไมตรีจิต หรือ มุทิตา

๔. การไม่ปล่อยให้ความลำเอียง อคติใดๆ มาบั่นทอนธรรมสามข้อแรก เรียกว่า อุเบกขา

.ในทิเบต อ.ชาวทิเบตนามว่า เกเช เชคาวา ได้พัฒนาวิธีการปฏิบัติที่ใช้การได้ขึ้นในการบ่มเพาะมหากรุณาขึ้นมา คือในราวๆ คริสต์ศตวรรษที่ ๑๑ การปฏิบัตินี้ เรียกว่า ทงเลน ท่านเกเช เชคาวาได้รับแรงดลใจของการปฏิบัติในรูปแบบนี้ จากข้อความหนึ่งที่ท่านอ่านพบ ข้อความนั้นมีว่า

"จงมอบประโยชน์ทั้งหลายของท่านให้แก่ผู้อื่นเสีย และ รับเอาความเสียหายพ่ายแพ้มาเป็นของตน และ ไม่ว่าท่านจะชอบหรือไม่ก็ตาม ท่านต้องปฏิบัติตามนี้ หากท่านต้องการบรรลุถึงพุทธภาวะ"

(ข้อความดังกล่าวมาจากโศลกทั้ง​ ๘​ ของท่าน Geshe langri tangpa หรือ​ Eight Verses of Training the Mind)​

. ในการปฏิบัติทงเลน ท่านเกเซ แนะนำว่า "ขั้นแรกท่านต้องนั่งสำรวมจิต ปล่อยให้ความคิดของท่านสงบลงไป เมื่อจิตตั้งมั่นแล้ว จงหายใจ หายใจเข้า เราจะแบกรับเอาความทุกข์โศกทั้งหมดของโลกเขามา หายใจออกเราจะมอบความดีงาม กุศลธรรมทุกอย่างในตัวเราออกไปเพื่อเยียวยาโลก" ขอให้สังเกตว่าวิธีการนี้เราจะทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับสามัญสำนึกของเราที่มักจะชอบนำสิ่งดีมาสู่ชีวิตมากกว่า สิ่งแย่ๆ แต่วิธีทองเลนนี้เราจะทำสิ่งที่ตรงข้าม "

.สังเกตว่า​ วิธีการนี้ค่อนข้างเรียบง่าย (ตราบเท่าที่คุณยังไม่ได้ลงมือทำ จริงถ้าลองทำคุณจะพบว่าจริงๆ ก็ไม่ง่ายนัก) แต่จริงๆวิธีปฏิบัติที่ได้ผลและลึกซึ้งจริงๆ ก็มักเป็นวิธีที่เรียบง่ายแบบนี้เสมอ นี่คือความลับ ด้วยวิธีการแบบนี้ จะช่วยแปรเปลี่ยนจิตใจที่หยาบกระด้างของเรา ให้ค่อยๆอ่อนนุ่ม และมีเมตตาธรรมมากขึ้น

.กล่าวกันว่า​ มีมหายักษ์เสนาบดีอีก ๑๒ ตน มีความเลื่อมใสในพระไภษัชยคุรุพุทธ 藥師如來 เป็นพิเศษ​ โดยทั้ง ๑๒ ตนนี้มีบริวารอีกตน ๗,๐๐๐ ตน โดยมหายักษ์เสนาบดีทั้งหมดนี้ได้ประกาศสัจจะ ปกปักรักษ์พุทธศาสนิกชนที่ตั้งมั่นในศีลธรรม มีความกตัญญู และศรัทธาในพระไภษัชยคุรุพุทธ 藥師如來 ให้ร่มเย็นรอดพ้นจากภยันตรายทั้งปวง พร้อมจะช่วยให้สมหวังในสิ่งที่ปรารถนา​

.มหายักษ์เสนาบดีอีก ๑๒ ตน​ และ​ บริเวณอีก​ ๗,๐๐๐ คืออะไร? หากนำเอา ๑๒ ×๗,๐๐๐ จะเท่ากับ ๘๔,๐๐๐ ซึ่งเท่ากับจำนวนพระธรรมขันธ์พอดี ดังนั้นมหายักษ์เสนาบดีทั้ง​ ๑๒ และ บริวารอีกตน ๗,๐๐๐ ตน จึงเท่ากับ พระธรรมวินัยทั้งหมดนั่นเอง

.เราจะเห็นว่าในขณะที่พระสูตรบรรยายถึงโลกในอุดมคติ เฟ้อฝัน เราอาจจะคิดว่านี่มันเป็นเรื่องไร้สาระ ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง จะมีสถานที่แบบนั้นได้ยังไง แต่ถ้าเราเรียนรู้ที่จะมองอย่างลึกซึ้งขึ้น เราจะเห็นว่าพุทธเกษตรของพระพุทธเจ้าเหล่านี้ ไม่ได้ดำรงอยู่ที่ไหนเลย แต่ดำรงอยู่ที่นี่ตรงนี้ในหัวใจของเรา พุทธเกษตรของพระพุทธเจ้าเหล่านี้ คือ ศักยภาพแห่งความตื่นรู้ และ การประจักษ์แจ้งต่อความจริงแท้ที่อยู่ในตัวเรา ซึ่งเป็นปรีชาญาณแจ่มชัด อันเป็นรากฐานคุณความดีในตัวมนุษย์ ซึ่งถ้านำเอามาใช้ ก็อาจจะช่วยคลี่คลายวิกฤติการณ์บางอย่างของโลกได้ เมื่อใดที่เราตระหนักถึงความจริงนี้ ก็เท่ากับเราได้ไปเยือนแล้ว ซึ่งพุทธเกษตรของพระพุทธเจ้า แม้ว่าพระสูตรจะบรรยายว่าโลกธาตุเหล่านี้ช่างอยู่ไกลแสนไกล แต่สำหรับคนแบบนี้ พุทธเกษตรเหล่านี้ก็ไปถึงได้เพียงชั่วขณะจิตเดียว

เนื้อหาโดย: แสงแห่งโชคชะตา
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
5 VOTES (5/5 จาก 1 คน)
VOTED: แสงแห่งโชคชะตา
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
"ทัพฟ้าไทย" ยืดอกรับ ส่งฝูงบินถล่มคลังแสงพระตะบอง ลั่น "เราไม่ได้เริ่มก่อน" แต่ต้องทำเพื่อปกป้องประชาชนAPC M113 รถเกราะ 60 ปี ลุยสมรภูมิช่องอานม้า เสริม "เกราะไม้" กันจรวดสุดแกร่งเผยสถิติเลขออกบ่อย ย้อนหลัง 20 ปี..งวดวันที่ 2 มกราคม 69ดราม่าข้ามพรมแดน! โซเชียลไทยตั้งคำถาม เหตุใดกัมพูชาจึงแสดงท่าทีรุนแรง ทั้งที่อดีตเคยมีกรณีทำลายศาสนสถานบนเกาะกงรู้จัก M777 ปืนใหญ่สนามตัวโหด เบา คล่อง ยิงแม่นระดับนำวิถี ตัวเปลี่ยนเกมสงครามยุคใหม่วิเคราะห์สถิติหวยปีใหม่ 2 มกราคม: เจาะลึกเลขเด่นรับโชควันศุกร์ 2569ฌอง ฟรังซัวส์ ตัน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา อ้าง “กัมพูชาไม่มีวันแพ้ และไทยก็ไม่มีวันชนะ”อันตรายใกล้ตัว เตือน 3 ประเภท ชามใส่อาหาร ที่หลายบ้านยังใช้ เสี่ยงสารพิษสะสมไม่รู้ตัวเมียและลูกเล็ก 2 คนถูกฆ่ๅในชั่วข้ามคืน ผัวตกตะลึงเมื่อรู้ว่าคนร้ายคือใครเจาะสถิติสลากกินแบ่งรัฐบาล ย้อนหลัง 10 ปี (งวด 2 มกราคม)รมต.เขมร คุยโว! เหตุที่ "ไทย" ต้องใช้เครื่องบินรบ..เพื่อปกปิดความพ่ายแพ้ในสมรภูมิภาคพื้นดินกฎหมายใหม่"การส่งข้อความลๅมกอนๅจๅร" อาจติดคุก เริ่มใช้ ต้นปี 69
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
รมต.เขมร คุยโว! เหตุที่ "ไทย" ต้องใช้เครื่องบินรบ..เพื่อปกปิดความพ่ายแพ้ในสมรภูมิภาคพื้นดินอันตรายใกล้ตัว เตือน 3 ประเภท ชามใส่อาหาร ที่หลายบ้านยังใช้ เสี่ยงสารพิษสะสมไม่รู้ตัวรถยนต์ที่ติดป้ายฮานุกกะห์ถูกวางเพลิงในเมลเบิร์นนี่คือเรื่องราวการเอาชีวิตรอด กลางท้องทะเลที่น่าเหลือเชื่อที่สุดในประวัติศาสตร์การเดินเรือสมัยใหม่ดราม่าข้ามพรมแดน! โซเชียลไทยตั้งคำถาม เหตุใดกัมพูชาจึงแสดงท่าทีรุนแรง ทั้งที่อดีตเคยมีกรณีทำลายศาสนสถานบนเกาะกงหนุ่มรัสเซียฉีดวาสลีน 6 ลิตรเข้าแขนเพื่อ "กล้ามใหญ่ไว" สุดท้ายกลายเป็นป๊อปอายเวอร์ชั่นสยองขวัญ แขนเน่า-แข็งเหมือนไม้!
กระทู้อื่นๆในบอร์ด สาระ เกร็ดน่ารู้
อันตรายใกล้ตัว เตือน 3 ประเภท ชามใส่อาหาร ที่หลายบ้านยังใช้ เสี่ยงสารพิษสะสมไม่รู้ตัวทึ่งทั่วโลก :แม่น้ำสองสี "อารากวี" (Aragvi) ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่สวยงามน่าทึ่งในประเทศจอร์เจียทึ่งทั่วโลก : "โบโรบูดูร์" ศาสนสถานของศาสนาพุทธนิกายมหายานที่ใหญ่ที่สุดในโลกการออกกำลังกายของผู้สูงวัย
ตั้งกระทู้ใหม่