หนึ่งในความเรียบง่ายของสงคราม...
รถหุ้มเกราะติดอาวุธรูปทรงกรวย หนึ่งในความเรียบง่ายของสงคราม
รถถังรูปทรงกรวยคันแรกนี้ คือรถถัง Mark I เข้าประจำการในปี 2459 มันได้รับการออกแบบโดยนักข่าวสงครามอังกฤษชื่อ Everton และถูกสร้างโดยกองทัพอังกฤษ ทำให้มีการมาถึงของยานพาหนะตีนตะขาบ ที่ได้ถูกประดิษฐ์ขึ้นในปี 2446 แต่ส่วนใหญ่มันใช้ประโยชน์เป็นแค่รถแทรกเตอร์เพื่อการเกษตร ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 รถหุ้มเกราะประเภทยางแบบเดิมนั้นหนักเกินกว่าจะพุ่งเข้าโจมตีในสนามรบที่เต็มไปด้วยหลุมและดินอ่อน
หรือไม่ก็เกราะของพวกมันไม่เพียงพอที่จะต้านทานกำลังของปืนกลและระเบิดมือได้ ในช่วงเวลานั้น ชาวอังกฤษให้ความสนใจกับยานพาหนะชนิดนี้เอามากๆ ไม่เพียงแต่ได้ก่อตั้งสถาบันวิจัยสำหรับ Landships (Lu Zhou) ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2458 เท่านั้น แต่ยังได้ซื้อรถแทรกเตอร์สองคันจาก HOLT เพื่อทำการวิจัยอีกด้วย จนทำให้ สถาบันได้พัฒนายานเกราะตีนตะขาบคันแรกที่เรียกว่า "เจ้าวิลลี่น้อย(Little Willie)" แผนกการสร้างนั้นจำกัดอยู่ตามแนวทางการสร้างรถถังหลักในระดับสากล นั่นคือ สำหรับการลาดตระเวน
ส่วนรถถังแบบพิเศษๆนั้นได้รับการปรับแต่งโดยแต่ละประเทศตามเงื่อนไขและบริบทของประเทศของตน หรือตามความต้องการการอัปเดตในรุ่นต่างๆ
เป็นที่เชื่อกันโดยทั่วไปว่ารถถังหลักรุ่นที่ 1 และ 2 เปิดตัวในช่วงปี 2503 และ ในช่วงปี 2513 หรือในช่วงมหาสงคราม
อย่างไรก็ตาม บางประเทศที่มีการพัฒนากองกำลังติดอาวุธขั้นสูงนั้นได้เปิดตัวรถถังรุ่นที่สองที่คล้ายคลึงกันในช่วงปี 2523 เป็นเพียงบางรุ่นเท่านั้น และในบางแง่มุมนั้นการพัฒนาก็อยู่ไกลเกินกว่ารถถังรุ่นที่สองไปมากโข
รุ่นแรกส่วนใหญ่เป็นการปรับปรุงโดยตรงของรถถังแบบกลางๆและหนัก ที่เหลือจากสงครามโลกครั้งที่สอง (เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นก่อน) โดยทั่วไปจะใช้ระบบขับเคลื่อนเครื่องยนต์ดีเซลและเกราะลาดเอียง เช่น T-54 ของโซเวียต, M48 Patton ของอเมริกา ,Centurion ของอังกฤษ และรถถัง Type 61 ของญี่ปุ่น
ส่วนในรุ่นที่สองเป็นการปรับปรุงเพิ่มเติมของรุ่นแรก ให้มีระบบควบคุมการยิงและระบบกันสะเทือนที่ทันสมัยขึ้น และใช้ปืนแบบติดตั้งในรถถังโดยเฉพาะ
นอกจากนี้ยังเปิดตัวระบบป้องกันอาวุธนิวเคลียร์ อาวุธชีวภาพ และ อาวุธเคมี และเพิ่มเติม อุปกรณ์ต่างๆที่เรียบง่ายขึ้นเป็นครั้งแรกด้วยเช่นกัน เช่น รถถัง M60 Patton ของอเมริกา, T-62 ของโซเวียต, Chieftain ของอังกฤษ, Leopard 1 ของเยอรมนีตะวันตก, รถถัง Type 69 และ Type 80 ของสาธารณรัฐประชาชนจีน, AMX-30 ของฝรั่งเศส และรถถัง Type 74 ของญี่ปุ่น
ในปี 2503 เพื่อปรับตัวให้เข้ากับภัยคุกคามของอาวุธต่อต้านรถถังและอาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธวิธี หลังสงครามประเทศต่างๆ จึงเริ่มพัฒนารถถังให้ใหม่ แกร่ง และทันสมัยสุดๆ
ในขั้นแรกๆ ใช้ปืนหลักลำกล้องที่ใหญ่กว่าและปรับให้ขีปนาวุธเป็นอาวุธหลักได้ และใช้การโหลดเชิงกลเพื่อให้เข้ากับปืนหลักที่ทรงพลัง นอกจากนี้ยังมีเกราะคอมโพสิตหรือเกราะเว้นระยะตามด้วยเกราะปฏิกิริยาเพื่อป้องกันการเจาะเกราะของอาวุธต่อต้านรถถัง
นอกจากนี้ยังถือเป็นการลดความสูงของยานพาหนะเพื่อลดภัยคุกคามจากการระเบิดและจากการโจมตีด้วยนิวเคลียร์ เพื่อให้เคลื่อนที่ในรูปแบบอพยพระหว่างการสู้รบจริง หรือ ลดความต้องการทำลายของศัตรูที่จะใช้ระเบิดนิวเคลียร์
นอกจากนี้ ในการพัฒนายังจะมีแผนที่จะใช้ขีปนาวุธต่อต้านรถถังให้เป็นอาวุธหลักอีกด้วย อย่างไรก็ตาม แผนเริ่มแรกเหล่านี้ถูกยกเลิกเนื่องจากปัญหาทางเทคนิคที่สูงเกินไป เช่น MBT-70 ที่ได้รับความร่วมมือจากเยอรมนีและโครงการ 279 ของสหภาพโซเวียต แต่มันก็ยุติลง...
แต่แผนดังกล่าวกลายเป็นพื้นฐานทางเทคนิคสำหรับรถถังหลักรุ่นที่สามในเวลาต่อมา ในปี 2513 สหภาพโซเวียตเป็นประเทศแรกที่เปิดตัวรถถัง T-64 และ T-72 แต่ยังไม่โตพอที่จะขิงและเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีใหม่นี้ ด้วย T-64 มีราคาแพงและมีเพียงสหภาพโซเวียตเท่านั้นที่ใช้ มันทำงานได้ไม่ดีนักในการรบจริง และมักถูกวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆนาๆ และสุดท้ายก็...ไม่ได้ใช้งาน
ทำให้เป็นที่เชื่อกันโดยทั่วๆไปว่า เจเนอเรชั่นที่สามที่แท้จริงนั้นปรากฏตัวขึ้นในช่วงปี 2523 ในขณะที่รัสเซียคิดว่ามันน่าจะเป็นเจเนอเรชันที่สี่เช่น T-80 และ T-90 ของรัสเซีย, M1 Abrams ของอเมริกา, T-84 ของยูเครน และเยอรมัน Leopard 2, British Challenger 1 และ Challenger 2, รถถัง Type 96 และ Type 99 ของสาธารณรัฐประชาชนจีน, รถถัง Type 90 และ Type 10 ของญี่ปุ่น, รถถังหลัก French Leclerc, รถถังหลัก Israeli Merkava, รถถังหลัก K1 ของเกาหลีใต้, ฯลฯ ซึ่ง ในรถถังหลักรุ่นที่สามจะมีเนื้อหาทางเทคโนโลยีแบบใหม่สุดๆ
และส่วนใหญ่พวกมันได้รับการออกแบบใหม่ มีเพียงบางรุ่นเท่านั้นที่ใช้ส่วนประกอบของรุ่นเก่าที่คล้ายกับรถถังหลักรุ่นที่สอง (รวมถึง MBT-2000 ของจีนและ Challenger 1 ของอังกฤษ) แต่ในความเป็นจริงแล้ว รถถังไม่สามารถเข้าสู่สนามรบได้อย่างรวดเร็วเหมือนเครื่องบินขับไล่
ดังนั้นหากพวกมันจะต้องถูกนำไปใช้งานในปริมาณมาก ก็จะส่งผลให้ต้นทุนการจัดซื้อรวมที่มีราคาสูงเสียดฟ้า
ดังนั้น เพื่อป้องกันความล้มเหลวของโครงการ MBT-70 และ 279 จากการที่ถูกดัดแปลงซ้ำๆ ประเทศต่างๆส่วนมากก็จะขอใช้ฟังก์ชันของรถถังแบบเดิมๆ ในฐานะกลุ่มรถถังรุ่นที่สาม พวกเขาได้ติดตั้งเกราะแบบช่องว่างหรือแบบถอดประกอบ
เพิ่มเติมระบบอุปกรณ์ดับเพลิงอัตโนมัติเต็มรูปแบบ และอุปกรณ์ป้องกันนิวเคลียร์แบบรวม อุปกรณ์ป้องกันทางชีวภาพ และการป้องกันอาวุธเคมี
ซึ่งมันสามารถรับประกันความปลอดภัยของลูกเรือได้เป็นอย่างมาก
ในบางรุ่นในช่วงปี 2523 เทคโนโลยีแบบใหม่อื่นๆ ก็ไม่ได้ถูกนำมาใช้อย่างเต็มที่ในรถถังหลักรุ่นที่สาม อันได้แก่ ปืนหลักลำกล้อง 120 หรือ 125 มม. และกล้องถ่ายภาพความร้อนตอนกลางคืน
แน่นอน สิ่งเหล่านี้ยังไม่ได้ถูกนำมาใช้อย่างเต็มที่ จนกระทั่งถึงช่วงปี 2533 ในช่วงปลาย มันจึงถูกนำมาใช้งานได้เต็มรูปแบบ และรวมถึงเทคโนโลยีใหม่อื่นๆ เช่น รถตักดินอัตโนมัติ, ระบบป้องกันเชิงรุก, ระบบกันสะเทือนแบบไฮโดรนิวแมติก, ช่องสำหรับป้องกันกระสุนจากการระเบิดหลังจากถูกเจาะ, ขีปนาวุธยิงหลัก, กังหันก๊าซ, ระบบระบุตัวตนเพื่อนหรือศัตรู, ฟังก์ชั่น C4I... ฯลฯ
และที่ผมกล่าวมาจนถึงตอนนี้ ก็มีติดตั้งแค่เฉพาะบางรุ่น เช่น รถถัง M1 ของอเมริกาในยุคแรกที่ยังยึดปืนหลักขนาด 105 มม. (เท่านั้น) และ T-80 ของโซเวียตในยุคแรก ๆ ซึ่งในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน รุ่นทั้งหมดต่างก็ไม่ได้ติดตั้งกล้องถ่ายภาพความร้อนเหมือนกัน เพราะสำหรับผม แค่ตีนตะขาบมันก็น่าพอใจมากอยู่แล้ว