ตำนานผีล้านนา ผีม้าบ้อง
ในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งใกล้ชายป่า เชียงคำ ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาทางภาคเหนือของประเทศไทย ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าสืบทอดกันมาว่า มี ผีม้าบ้อง สิ่งลึกลับที่ครึ่งเป็นคนครึ่งเป็นม้า คอยออกหากินในยามค่ำคืน ผีชนิดนี้มีชื่อเสียงอันน่ากลัวในหมู่ชาวบ้านมาหลายชั่วอายุคน
ว่ากันว่า ผีม้าบ้อง จะออกล่าในความมืด โดยเฉพาะในคืนเดือนมืดหรือคืนฝนพรำ ชอบขโมยกินไข่ไก่ ไข่เป็ดตามเล้า บางครั้งก็ลอบกินซากสัตว์แห้งในทุ่งนา เช่น กระดูกวัวหรือกระดูกควายที่มีกลิ่นเหม็นสาบ ผีม้าบ้องสามารถแปลงกายเป็น ม้าขาว หรือ ม้าดำ และมีดวงตาที่ลุกเป็นไฟเมื่อโกรธหรือถูกรบกวน
แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่การหากินของมัน...
คนเฒ่าคนแก่กล่าวว่า:
"หากใครพบเห็นมัน จงอย่ามองมันนานเกินไป และอย่าวิ่งหนีเด็ดขาด เพราะมันจะวิ่งไล่ล่าจนกว่าจะจับตัวได้ หากจับได้ มันจะกัด โขก และทำให้ผู้ที่พบเห็นไม่มีโอกาสกลับไปเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังอีกเลย"
คืนหนึ่งในฤดูฝนที่เมฆดำคลุ้มฟ้า ชาวบ้านที่ชื่อ ยายบัว ตื่นขึ้นกลางดึกเมื่อได้ยินเสียงแปลก ๆ ดังมาจากเล้าไก่หลังบ้าน เสียง ไก่กระพือปีก และเสียง เหมือนเท้าหนัก ๆ กำลังกระแทกพื้น
ยายบัว (พึมพำในความมืด):
“...เสียงแบบนี้มันไม่ใช่หมา... หรือว่า...”
เธอย่องไปที่หน้าต่าง พยายามเปิดม่านเล็ก ๆ ออกมอง ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สลัว เธอเห็นร่าง เงาดำขนาดใหญ่ เคลื่อนไหวอยู่ข้างเล้าไก่ เมื่อสายตาปรับเข้ากับความมืดได้ เธอเห็นร่างของสิ่งมีชีวิตที่น่าขนลุก...
มันมีลำตัวเป็น ม้าดำ แต่หัวและมือเหมือนคน ผิวหนังแตกลาย หายใจฟืดฟาดด้วยเสียงดัง ลำตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดและดิน มันกำลังกินไข่ไก่ในเล้าทีละฟอง
ทันใดนั้น ร่างนั้นค่อย ๆ หันหน้ามาทางเธอ ดวงตาของมัน ลุกเป็นไฟ จ้องมองเข้ามาในหน้าต่าง ยายบัวตกใจจนแทบจะปล่อยเสียงร้อง แต่เธอกลั้นไว้ได้ทัน เธอรีบถอยหลังกลับ ปิดหน้าต่าง และภาวนาให้มันไปโดยเร็ว
กิตติ ชายหนุ่มเลือดร้อนแห่งหมู่บ้าน ไม่เชื่อในเรื่องเล่าของคนเฒ่าคนแก่ เขาได้ยินเรื่องของผีม้าบ้องมาตั้งแต่เด็ก แต่คิดว่ามันเป็นเพียงนิทานขู่เด็ก ๆ เพื่อไม่ให้เที่ยวเล่นยามค่ำคืน
กิตติ (หัวเราะเยาะยายบัว):
“ยายก็เล่าไปเรื่อย ไข่ไก่หายไม่ใช่ผีหรอก หมามันคาบไป!”
แต่ยายบัวเตือนด้วยเสียงเคร่งขรึม:
ยายบัว:
“อย่าลบหลู่สิ่งที่มองไม่เห็น คืนหนึ่งเองจะได้รู้เอง...”
คืนเดือนมืด กิตติพกดาบและตะกรุดที่ได้จากพระติดตัวไปด้วย เขามุ่งหน้าไปที่เล้าไก่เพื่อตรวจดู ช่วงหลังนี้มีไข่ไก่ของเขาหายไปทุกคืน
เมื่อใกล้ถึงเล้าไก่ เขาได้ยินเสียงประหลาดดังมาจากทุ่งนา เสียงเหมือน เท้าสัตว์วิ่งไปมา และเสียงหายใจฟืดฟาด
กิตติเดินเข้าไปในทุ่งนา ที่นั่นเขาเห็นร่าง ม้าดำขนาดใหญ่ นั่งก้มตัวอยู่เหนือซากควายแห้ง มันกำลังงับกระดูกควายอย่างหิวกระหาย
กิตติ (ตะโกน):
“มึงนั่นเองสินะ ที่ขโมยไข่กู! วันนี้มึงไม่รอดแน่!”
ร่างของผีม้าบ้องชะงัก มันเงยหน้าขึ้นมามองเขา ดวงตาที่ลุกเป็นไฟสบตาเขาในทันที เสียงคำรามดังลั่นจนต้นไม้รอบ ๆ สั่นสะเทือน
ผีม้าบ้องกระโจนพุ่งตรงเข้าหากิตติอย่างรวดเร็ว มันส่งเสียงร้องโหยหวนที่ก้องไปทั่วทั้งป่า กิตติพยายามใช้ดาบฟาดไปที่ร่างของมัน แต่ดาบเหมือนจะทะลุผ่านไปโดยไม่มีผลใด ๆ
ผีม้าบ้องใช้ขาหน้าซึ่งเหมือนมือคนกระชากกิตติลงกับพื้น จากนั้นมันกัดลงไปที่แขนของเขา เลือดสาดกระเซ็น กิตติร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด
กิตติ (ร้องเสียงสั่น):
“อย่า... ได้โปรด... ปล่อยฉันไปเถอะ!”
ผีม้าบ้องไม่สนใจ มันกัดแขนของเขาจนขาด และฟาดหัวของเขากับพื้น กิตตินอนนิ่ง ร่างไร้ลมหายใจจมอยู่ในแอ่งเลือด
รุ่งเช้า ชาวบ้านพบร่างของกิตติในทุ่งนา แขนข้างหนึ่งหายไป ศีรษะถูกโขกจนเละ ดวงตายังเบิกโพลงด้วยความหวาดกลัว
ตั้งแต่นั้นมา คืนใดที่ชาวบ้านได้ยินเสียงม้าวิ่งหรือเสียงม้าร้อง ทุกคนจะปิดบ้านปิดหน้าต่าง และภาวนาให้ผีม้าบ้องจากไปโดยไม่มีใครต้องตกเป็นเหยื่ออีก