รีวิวหนังดัง INTERSTELLAR ทะยานดาวกู้โลก
เมื่อโลกเต็มไปด้วยมลพิษที่ยากเกินจะเยียวยา ทางออกของปัญหาของมนุษยชาติคือการตามหาดาวดวงใหม่ที่เหมาะแก่การอยู่อาศัย มันไม่ใช่เรื่องง่าย จะว่าไปแล้ว มันอาจจะไม่มีหวังเสียด้วยซ้ำ นี่ไม่ใช่การออกตามหาดาวดวงใหม่ แต่เป็นการแข่งกับเวลาที่ส่งผลต่ออายุขัยอย่างมหาศาล
หนึ่งในผลงานอันเกริกเกียรติของผู้กำกับวิสัยทัศน์ไกล Christopher Nolan และองค์ความรู้เชิงฟิสิกส์ดาราศาสตร์โดย Kip Throne ถึงความเป็นไปได้ในเชิงวิชาการที่คนยังไม่สามารถทำได้จริง แต่มีทฤษฎีที่รองรับความเป็นไปได้ถึงความมหัศจรรย์ของธรรมชาติอย่างเรื่องของมิติและแรงโน้มถ่วง
เรื่องย่อ
Joseph Cooper อดีตนักบิน NASA ผันตัวเป็นชาวนาถูกไหว้วานให้เป็นนักบินร่วมทีมวิจัยตามหาโลกใบใหม่ เพราะโลกอยู่ไม่ได้ ปลูกพืชก็ติดโรค เป็นยุคขาดแคลนอาหาร การแก้ปัญหาคือหนีจากโลกเก่าแล้วไปหาโลกใหม่ที่น่าอยู่ขึ้นมาแทน
รูหนอนที่พบสามารถทะลุเป็นทางลัดเข้าถึงดาวเคราะห์อีก 3 ดวงที่คาดว่าน่าจะอาศัยอยู่ได้ การเดินทางใช้เวลานาน และมีอุปสรรคไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้ตลอด ทั้งพลังงานที่มีจำกัด ความเป็นจริงของดาวเคราะห์ที่ไม่ตรงกับทฤษฎี การใช้เวลาเดินทางมากกว่าแผนที่ตั้งใจไว้
ภายในทีมยังมี Dr.Brand คนอื่นๆและหุ่นยนต์เกรดกองทัพคอยให้การสนับสนุน อุปสรรคที่น่ากลัวก็คือเวลา ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำงานแข่งกับมันก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป เลวร้ายกว่านั้น...ที่ทำมาทั้งหมดอาจสูญเปล่า
ส่วน Murph ลูกสาวของ Cooper ก็รอคอยพ่อของเธออย่างไร้ความหวัง แต่ด้วยอัจฉริยภาพของเธอ ก็ทำให้เธอดิ้นรนขณะที่ยังอยู่บนโลก
นักแสดงนำ
- Matthew McConaughey รับบทเป็น Cooper
- Anne Hathaway รับบทเป็น Brand
- Jessica Chastain รับบทเป็น Murph
- Mackenzie Foy รับบทเป็น Murph อายุ 10 ปี
- Ellen Burstyn รับบทเป็น Murph วัยอาวุโส
- Wes Bentley รับบทเป็น Doyle
- Michael Caine รับบทเป็น Professor Brand
- David Gyasi รับบทเป็น Romilly
- Casey Affleck รับบทเป็น Tom
- John Lithgow รับบทเป็น Donald
- Timothée Chalamet รับบทเป็น Tom ในวัยหนุ่ม
ความชื่นชอบและประทับใจของครีเอเตอร์
1.หนังถ่ายทอดด้วยวิสัยทัศน์แปลกใหม่ในด้านดาราศาสตร์ ไม่เคยมีหนังเรื่องไหนทะเยอทะยานแบบนี้มาก่อน ด้วยศัพท์เทคนิคที่ไม่คุ้นหู บริบทของนักบินอวกาศที่ทำภารกิจที่ไม่เคยมีในชีวิตจริง อาจจะทำให้หนังไม่สนุกไปบ้างในแง่ของความเป็นวิชาการ แต่จากกระแสจากคนหลายกลุ่มกับพูดตรงกันว่ามันคือหนังดีในดวงใจที่พวกเขาชื่นชอบ
2.การดำเนินเรื่องก็ค่อนข้างแหวกแนว คือเกริ่นนำด้วยการสัมภาษณ์ตัวละครอาวุโสในอนาคตที่พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในปัจจุบันที่กันดาร ขาดแคลนอาหาร ปลูกพืชอะไรก็ติดโรค การตามหาโลกใหม่เพื่อการอยู่อาศัยจึงเป็นความหวังเดียวที่เหลืออยู่ รวมถึงกลศาสตร์ฟิสิกส์ที่เราไม่คุ้นเคยในชีวิตปกติ จึงดูเหมือนไม่น่าเป็นไปได้ในชีวิตจริง อีกทั้งเรื่องของเวลาสัมพัทธ์ คือ เวลาของดาวแต่ละที่มีผลต่างกัน 1 ชั่วโมงของที่นี่เท่ากับ 7 ปีบนโลก เป็นต้น นี่แหละคือแก่นของความมหัศจรรย์ทางดาราศาสตร์ที่เราไม่คุ้นเคย บางทีก็ดูเหมือนเรื่องเหนือธรรมชาติเสียด้วยซ้ำ แต่นี่คือการอิงตามทฤษฎีเท่าที่พิสูจน์ได้ในตอนนี้และรอการค้นหาความจริง
3.การใช้ Visual Effects เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ผู้กำกับก็อยากให้ทุกอย่างออกมาดูสมจริงมากที่สุด ทุกอย่างผ่านการทำการบ้านมาอย่างดี ไม่ใช่นั่งเทียนเขียนบทนึกเอาเองว่าหลุมดำหรือรูหนอน หรือบิดเบี้ยวของอวกาศเป็นอย่างไรบ้าง มันผ่านทฤษฎีของผู้เชี่ยวชาญจริงมาแล้ว
4.ในแง่ของการแสดง Matthew McConaughey ในบท Cooper ถือว่าถ่ายทอดคนรักครอบครัวได้ดี การจากลูกมาไกลก็เพื่อหาทางออกให้กับมนุษยชาติทุกคน โดยลูกสาวของเขาก็จะได้รับทางออกนั้นด้วย อีกคนคือ Anne Hathaway ในบท Dr.Brand อาจจะไม่มีอะไรให้น่าจดจำ แต่ความน่ารักของเธอก็เฉิดฉาย ทั้งสองคนมีบทสนทนาชวนคิดหลายเรื่องที่สามารถแปะแอามาเป็นคำคมได้
5.อีกคนที่น่าจดจำแถมขโมยซีนได้หลายคนคือ Mackenzie Foy ในบท Murph ในวัยเด็ก เธอโดดเด่นและเป็นตัวแปรสำคัญของเรื่องในองค์แรก(เกือบหนึ่งชั่วโมงของหนัง) นำพาการไขปริศนาเบื้องต้นจนนำพา Cooper พ่อของเธอไปเจอกับฐานลับของ NASA โดยไม่ได้ตั้งใจ ก่อนที่ตอนโตจะรับบทโดย Jessica Chastain
6.หลังดูจบ...เชื่อว่าหลายคนคงมีข้อสงสัยเกี่ยวกับหนัง โดยเฉพาะตอนจบของเรื่องที่แก้ปัญหาด้วยการเข้าสู่มิติที่ห้า สถานที่ที่ถูกดัดแปลงจากคนในอนาคตให้พบเห็นได้ในลักษณะทางกายภาพสามมิติ สื่อสารได้โดยใช้แรงโน้มถ่วง เพราะมันเอาชนะแสงและข้ามกาลเวลาได้ หนังมอบข้อมูลที่ถูกตามทฤษฎี แต่ยังทำให้เห็นไม่ได้ ในชีวิตจริง...จึงทำให้เหนือธรรมชาติ แต่ควอนตัมฟิสิกส์ก็แบบนี้แหละ คนที่คุ้นเคยเรื่องทางวิชาการก็พอจะเข้าใจ
7.ใครที่ไม่อินกับเรื่องวิชาการ ปรากฎการณ์ธรรมชาติเชิงดาราศาสตร์ก็อาจจะเบื่อและไม่สนุกไปกับหนังได้ ดังนั้น ไม่ต้องแปลกใจที่ทำไมหนังเรื่องนี้เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง แต่เราดูแล้วไม่สนุกอย่างที่ควรจะเป็น ออกจะน่าเบื่อด้วยซ้ำโดยเฉพาะฉากบังคับควบคุมยาน แต่นี่คือภาพยนตร์ผจญภัยในอวกาศที่ดีที่สุดในตอนนี้