รีวิวหนังดัง OPPENHEIMER ออพเพนไฮเมอร์
J Robert Oppenheimer เป็นนักฟิสิกส์ด้านกลศาสตร์ควอนตัม เขามีตัวตนจริงในหน้าประวัติศาสตร์และวงการวิทยาศาสตร์ก็ให้การยอมรับเขา ทฤษฎีของเขามีส่วนในการค้นพบดาวนิวตรอนและหลุมดำ นอกจากนี้เขายังได้ดำรงตำแหน่งเป็น ผอ.โครงการแมนฮัตตันในการคิดค้นเพื่อต่อกรกับนาซี จนได้ฉายาบิดาแห่งระเบิดปรมาณูในเวลาต่อมา นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเป็นที่ทั้งรักทั้งชัง
นี่คือประวัติเบื้องต้นที่ผู้กำกับ Christopher Nolan อยากหยิบมาทำเป็นหนังที่ถ่ายทอดในแบบของเขา
นักแสดงนำ
- Cillian Murphy รับบทเป็น Robert Oppenheimer
- Emily Blunt รับบทเป็น Kitty Oppenheimer
- Matt Damon รับบทเป็น Leslie Groves
- Robert Downey Jr. รับบทเป็น Lewis Strauss
- Kenneth Branagh รับบทเป็น Niels Bohr
- Florence Pugh รับบทเป็น Jean Tatlock
- Jason Clarke รับบทเป็น Roger Robb
เรื่องย่อ
หนังแบ่งเป็น 3 องค์ ดำเนินเรื่องสลับตัดภาพกลับไปมาอย่างมีชั้นเชิง
องค์แรก ว่าด้วยเรื่องชีวิตส่วนตัวของออพเพนไฮเมอร์ที่อยู่กินกับภรรยาที่ชื่อคิตตี้ และชู้รักของเขาอย่าง จีน แทตล็อก ที่เขาเจอในพรรคคอมมิวนิสต์
องค์ที่ 2 ออพเพนไฮเมอร์ เป็นในฐานะนักประดิษฐ์อาวุธ ผู้นำทีมรวบรวมนักวิทยาศาสตร์ระดับหัวกะทิในการสร้างระเบิดปรมาณูเอาชนะพวกนาซี โดยมีพันเอกเลสลีย์ โกรฟ ดำเนินการควบคุมโครงการ
องค์ที่ 3 ช่วงของการสอบสวน โดยลิวอิส สเตราส์ อดีต ผอ. สถาบันพลังงานปรมาณู กำลังอยู่ในระหว่างการสอบคุณสมบัติเพื่อรับตำแหน่งรัฐมนตรี โดยคณะกรรมการสอบสวนกำลังถามถึงความภักดีของออพเพนไฮเมอร์ที่มีต่อแผ่นดินอเมริกา
ความชื่นชอบและประทับใจของครีเอเตอร์
1.หนังดูยาก แต่มีความ Intense คือเข้มข้น ทั้งเรื่องการเมืองและชีวิตส่วนตัว จึงห้ามหลุดแม้ฉากเดียว ไม่อย่างนั้นจะดูไม่รู้เรื่องเลย การเดินเรื่องเรียกว่าจับปลายตอนท้ายมาสลับกับตอนต้นของเรื่อง แล้วนำบางส่วนของตอนต้นมาสรุปปิดท้ายของเรื่อง
2.หนังมีการสลับภาพสีและภาพขาวดำเป็นบางช่วง ถ้าภาพขาวดำคือสื่อถึงการแบ่งแยก ช่วงชิง ถ้าเป็นภาพสีคือสื่อถึงสามัคคี หลอมรวมเป็นหนึ่ง ถือเป็นความแยบยลของผู้กำกับที่สื่ออารมณ์และวิสัยทัศน์ที่ไม่เหมือนใคร นอกจากนี้ยังมีการสลับภาพคั่นช่วงด้วยภาพประกายไฟจากระเบิดเพื่อสื่อนัยถึงอันตรายและตื่นตัว
3.บทสนทนาภายในเรื่องดุเดือด เชือดเฉือน ครีเอเตอร์บอกเลยว่างานนี้ห่างไกลจากความน่าเบื่ออย่างสิ้นเชิง เปิดประเด็นการเมืองเดือดที่มีเหตุมีผลรองรับ เป็นทริลเลอร์ที่น้อยเรื่องจะทำได้น่าสนใจขนาดนี้ ถ้าจะให้ดีหากรู้ประวัติบุคคลที่เกี่ยวข้องในเรื่องมาก่อนจะช่วยให้ดูหนังสนุกขึ้น เพราะผู้กำกับไม่ได้นำเสนอให้คนดูเข้าใจว่าตัวละครไหนทำหน้าที่อะไร เพราะผู้สร้างอนุมานว่าคนดูจะพอรู้มาบ้างอยู่ก่อนแล้ว โดยเนื้อเรื่องล้วนอิงจากเหตุการณืจริงในประวัติศาสตร์
4.หนังมีความ Erotic ซ่อนอยู่ในเรื่องด้วย และการใช้องค์ประกอบแบบ Surrealistic นี่คือจุดเด่นอีกอย่างที่ทำให้มีสีสัน โดดเด่นจนได้เรท R ด้วยเหตุผลข้างต้นนี้
5.งานภาพและฉากดูยิ่งใหญ่โดยไม่ต้องพึ่ง CG เลย เป็นความทุ่มเทของทีมงานที่น่ายกย่องชื่นชม แม้หนังเหมือนจะจบ แต่ก็ยังไม่จบ ถึงช่วงตอนจบมันก็กระตุกต่อมคิดคนดูถึงเรื่องความสิ้นหวังของมนุษยชาติ บวกกับดนตรีประพันธ์โดย Ludwig Goransson ยิ่งผนวกความรู้สึกให้อินได้ไม่ยาก
6.การแสดงของ Cillian Murphy ที่รับบทเป็น J Robert Oppenheimer ทั้งสีหน้า แววตา ท่าทาง มันสื่อทุกอณูอย่างที่ Oppenheimer ตัวจริงพึงเป็น สุดยอดมากเลยครับ ส่วน Robert Downey Jr. ก็ไม่น้อยหน้า เขารับบทเป็น Lewis Strauss ได้เหมือนมากจนน่าขนลุก เขาทำการบ้านมาดีจนครีเอเตอร์ละสายตาจากเขาไม่ได้เลย เขาเล่นดีจนตัวเราอินไปกับหนังมากขึ้น
นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังอาจมีกันหลายคนที่ถูกอ้างอิงในห้องเรียน แต่เรามักจะไม่เคยได้ยินชื่อของ J.Robert Oppenheimer เลย ทั้งที่ความสามารถของเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าคนอื่น อีกทั้งยังทัดเทียมกับอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ด้วยซ้ำ แต่คงเป็นเพราะประวัติอันอื้อฉาว ทั้งข้อสงสัยว่าเขาขายชาติ มีการคบชู้อย่างไม่ถูกต้อง และเล่นการเมือง ทั้งหมดนี้ทำให้ประวัติของเขาไม่สง่างาม
Christopher Nolan ผู้กำกับวิสัยทัศน์ไกล หยิบยกประเด็นของนักวิทยาศาสตร์ท่านนี้มาถ่ายทอดให้เห็นถึงความเป็นปุถุชนของเขา แม้ว่าเขาจะเก่ง จะฉลาดมากเพียงใด ก็ยังหนีไม่พ้นถึงอุปสรรคที่เข้ามารุมเร้าในชีวิต
ทั้งหมดนี้คือความชื่นชอบของครีเอเตอร์ที่มีต่อตัวหนัง ออพเพนไฮเมอร์ ชายที่โลกเห็นว่าเขาเฉลียวฉลาด จนน่ากลัวว่าเขาจะคิดคดทรยศต่อประเทศบ้านเกิดจนไปเข้ากับศัตรู ตรงจุดนี้ เราจะได้เห็นความเปราะบางที่มีในตัวตนของเขา รับรองได้ว่าหนังเรื่องนี้ เราจะไม่รับชมแค่ครั้งเดียวแน่นอน