ท่องโลกดึกดำบรรพ์: บ่อน้ำมันดิบยุคหิน
ในช่วงเวลา 35,000 ปีนี้เอง เป็นช่วงเวลาที่ทวีปอเมริกาเหนือเจอการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น บางพื้นที่สูญเสียความชื้น ทำให้ต้นไม้ขนาดใหญ่ลดน้อยลง แต่ก็เอื้อให้ไม้ดอกตามทุ่งและต้นหญ้างอกงามขึ้นมา ทางเหนือตั้งแต่อะลาสก้าขึ้นไปเริ่มมีน้ำแข็งแล้ว แต่ส่วนทางภาคตะวันตกเฉียงใต้อย่างแคลิฟอร์เนียยังคงงอกงามดีอยู่
ในวันนี้ คุณเดินทางมายังทุ่งหญ้าลาเบรีย (La Brea) เป็นทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ในทวีปอเมริกาเหนือ ช่วงยุคไพสโตซีนในเวลานี้มีความหลากหลายของสัตว์กีบจำนวนมาก แถมยังมีสัตว์แปลกๆ ที่มนุษย์ไม่ค่อยเห็นอีกมาก แต่ว่า ภัยร้ายที่น่ากลัวที่สุดก็คือ ยางมะตอย (Aspalt) ตามธรรมชาติที่มีอยู่มากในพื้นดินเบื้องล่าง มันเกิดจากการย่อยสลายของซากพืชในยุคก่อนหน้านั้นที่ค่อยหลอมละลายจากความร้อนและแรงดันใต้พื้นโลกจนทำให้ยางมะตอยเหล่านี้เกิดขึ้น และพวกมันก็ถูกดันขึ้นมาจากใต้พื้นโลก
(พรองฮอร์น)
ตามทุ่งหญ้าสีเหลืองทอง มีทั้งม้า อูฐ สมเสร็จ กวาง แอนทิโลป และควายไบซัน สัตว์เหล่านี้บางชนิดหาดูไม่ได้ตามธรรมชาติแล้วในอเมริกาเหนือเพราะพวกมันจะสูญพันธุ์ลงในไม่ช้า แน่นอนว่าด้วยระบบนิเวศที่มากด้วยสัตว์กีบ ก็มากไปด้วยนักล่า พวกมันจึงต้องมีเขาแหลมไว้ป้องกันตัว หรือไม่ก็ความเร็วแบบเจ้าพรองฮอร์น (Pronghorn) แอนทิโลปชนิดหนึ่งที่ยังคงพบได้ในอเมริกาเหนือตราบปัจจุบัน
(แมมมอธโคลัมเบีย)
และแล้ว ยักษ์ใหญ่ตัวสูงโย่งที่น่าตื่นเต้นก็เดินออกมา นี่คือช้างขนาดใหญ่จำพวกแมมอธที่มีขนสั้นมากๆ แมมมอธโคลัมเบีย (Columbian Mammoth) ด้วยความสูงจากหัวไหล่ถึง 4 เมตร มันคือแมมมอธขนาดใหญ่ที่สุดที่โลกเคยรู้จัก ด้วยงวงที่ยาวและงาที่ยาว มันสามารถเกี่ยวกิ่งไม้เพื่อดึงใบไม้มากินได้ และยังกินหญ้าอีกด้วย แมมมอธโคลัมเบียไม่เหมือนญาติทางเหนือของมัน ด้วยอากาศร้อนแห้ง ช้างชนิดนี้จึงไม่มีขนหนาเตอะเพื่อป้องกันความหนาว
(พาราไมโลดอน)
นอกจากนี้ สัตว์ยักษ์อีกชนิดก็อยู่ที่นี่ด้วย นี่คือสลอธบกยักษ์กลุ่มสุดท้าย พาราไมโลดอน (Paramylodon) พวกมันมีขนาดตัวที่ใหญ่ โดยสูงถึง 4 เมตร และพาราไมโลดอนนั้นยังกินหญ้าและพืชพุ่มอีกด้วย พวกมันงกเงิ่นมากในการค่อยๆ คลานไปหาอาหาร เล็บที่ยาวใช้ป้องกันตัวเช่นกัน
(หมีหน้าสั้น)
ขณะที่พาราไมโลดอนกำลังก้มกินต้นอากาเว (Agave) จู่ๆ ก็พลันมีหมีตัวใหญ่ขนาดตัวพอๆ กันวิ่งออกมา เจ้าหมีตัวนั้นพุ่งออกมาด้วยความเร็วและกัดเข้าไปที่หัวไหล่ของพาราไมโลดอนเพื่อกดมันลงกับพื้น ด้วยกรามอันแข็งแรงที่บดกระดูกนั้นเอง พาราไมโลดอนถูกกดลงกับพิ้นและถูกกัดเข้าที่ลำคอต่อจนแน่นิ่งไป นักล่าแสนดุร้ายนี้คือ หมีหน้าสั้น (Short Faced Bear) มันเป็นญาติของหมีกริซลี่แห่งอเมริกาเหนือ แต่พ่วงมาด้วยการใช้แขนขาที่ยาวในการวิ่งล่าเหยื่อเพื่อตะครุบเหยื่อกิน และยังมีกรามที่แข็งแรงสามารถบดกระดูกได้ มันจึงสามารถจับม้า อูฐ แอนทิโลป และสลอธยักษ์ได้ หมีหน้าสั้นลงมือกินเหยื่อไปครึ่งหนึ่งแล้ว และมันก็เดินออกไปในไม่ช้า
(สไมโลดอน)
เมื่อคุณเดินต่อมาอีกนิด พื้นที่ตรงนี้มีลักษณะคล้ายบ่อน้ำมันดิบขนาดใหญ่ มีแมมมอธโคลัมเบียตัวหนึ่งจมยางมะตอยจนตาย กลิ่นของซากล่อนักล่าอื่นๆ เข้ามาแล้ว เสือเขี้ยวดาบอย่างสไมโลดอน (Smilodon fatalis) ก็ยังคงเป็นนักล่าระดับท็อปเช่นเคย มันเดินตามกลิ่นของเนื้อมาจนเจอกับบ่อน้ำมันดิน มันคิดเหลียวหน้าเหลียวหลังเพื่อดูว่ามีอะไรตามมาไหม และเมื่อทางสะดวก มันก็กระโดดขึ้นไปบนร่างของแมมอธ และเมื่อขึ้นไปได้ มันก็ลงมือกินแมมมอธทันที
(เทอราทอนนิส)
ขณะที่สไมโลดอนกำลังกินนั่นเอง จู่ๆ ก็มีนกขนาดใหญ่บินลงมาเกาะ นี่คือ เทอราทอนนิส (Terratornis) นกยักษ์กลุ่มเดียวกับแร้งคอนดอร์ขนาดใหญ่ที่มีวงปีกกว้างถึง 5 เมตรและยาว 2 เมตร ขนาดตัวพอๆ กับสไมโลดอน พวกมันมีสายตาที่ดีและจมูกที่ดมกลิ่นอาหารที่อยู่ไกลได้ถึง 20 กิโลเมตร มันคือนักกินซากตัวยง และถ้ามีสัตว์ใหญ่ตายที่ไหน พวกมันจะบินไปที่นั่นทันที เจ้าเสือเขี้ยวดาบคำรามเพื่อจะไล่เทอราทอนนิสออกไป และขณะที่สัตว์ทั้งสองต่างต่อสู้แย่งอาหารกัน ซากแมมมอธโคลัมเบียเริ่มจมลงช้าๆ จากน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น สัตว์ทั้งสองจมลงไปในยางมะตอย กว่าจะดึงขาออกได้ก็สายไปแล้ว พวกมันดิ้นอยู่นานจนไม่ออกและสุดท้ายแล้ว พวกมันก็จมลงไปในบ่อน้ำมันดิบจนมิดหายลับไปในที่สุด
นี่คือความโหดร้ายของบ่อน้ำมันดิบ เมื่อสัตว์ตกลงไปและตายลง แบคทีเรียจะย่อยสลายเนื้อเยื่อเหลือแต่กระดูก และแร่ธาตุในน้ำมันดิบจะทำให้ฟอสซิลมีความทนทานมากกว่าที่อื่นๆ โดยไปแทนที่แร่ธาตุในกระดูกที่หายไปจากการย่อยสลาย แต่จะทำให้สีของกระดูกสัตว์มีสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ เมื่อขุดหรือดึงออกมาเป็นฟอสซิล จะสังเกตได้ชัดเจนเลยทีเดียว
(ไดร์วูลฟ์)
แต่กระนั้น ทั้งหมีหน้าสั้นและเสือเขี้ยวดาบ ไม่ใช่นักล่าเพียงกลุ่มเดียวบนทุ่งหญ้าแห่งนี้ ขณะที่ฝูงพร็องฮอร์นกำลังก้มกินหญ้าอยู่ที่ฉากหลังของบ่อน้ำมันดิบ จู่ๆ ก็มีฝูงหมาขนาดใหญ่คล้ายหมาไคโยตี้ออกมาจำนวนมาก นี่คือ ไดร์วูลฟ์ (Dire wolves) ลักษณะดูคล้ายหมาไคโยตี้ แต่พวกมันว่องไว รวดเร็วและทำงานกันเป็นฝูง พวกมันจะช่วยกันล่อสัตว์ใหญ่ให้ล้มลง เมื่อพร็องฮอร์นรู้ตัวและออกวิ่ง มีตัวหนึ่งวิ่งรั้งท้ายอยู่ ตอนนี้เป็นจังหวะที่ดีของไดร์วูลฟ์ที่ตีเสมอขนาบข้างมาติดๆ พวกมันวิ่งโค้งเข้าไปล้อมจากทั้งซ้ายขวา และตัวอื่นๆ ก็ทำตามเช่นกัน และเมื่อพร็องฮอร์นไปต่อไม่ไหว ไดร์วูลฟ์จึงโผล่ออกมาจากดงไม้เข้าขย้ำ เมื่อตัวหนึ่งล็อคเหยื่อได้แล้ว ตัวอื่นๆ ก็เข้ามาช่วยกันซ้ำจนเหยื่อหมดแรงตายลงเอง เช่นเดียวกับสัตว์กลุ่มสุนัข พวกมันมีครอบครัวและรู้จักแบ่งปันอาหารให้กันและกันอีกด้วย
แน่นอนว่า หลังจากนี้ไม่ช้า สัตว์ที่ปรับตัวไม่ได้กับสภาพอากาศที่แห้งแล้งมากขึ้นจะสูญพันธุ์ไป และการมาถึงของมนุษย์นำทางให้การสูญพันธุ์เร็วขึ้น เมื่อมนุษย์ล่าสัตว์เหล่านี้เป็นอาหาร และนี่ คือเรื่องราวความทรงจำของอเมริกาเหนือที่เคยอุดมสมบูรณ์ในอดีต
ตอนต่อไป เดินทางไปยังยุโรปเหนือ 11,000 ปี เมื่อมนุษย์สองสายพันธุ์ออกล่าเพื่อเข้าถึงแมมมอธ จุดพัฒนาของมนุษยชาติเริ่มต้นขึ้นแล้ว และเหตุการณ์ที่จะเปลี่ยนให้มนุษย์กลายเป็นสายพันธุ์ที่ครอบครองโลกมากที่สุด จะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้านี้ โปรดรอติดตามใน ท่องโลกดึกดำบรรพ์!