รีวิวหนังดัง A Quiet Place : Day One ดินแดนไร้เสียงวันที่หนึ่ง
โดยเฉลี่ยเสียงในเมืองนิวยอร์กดัง 90 เดซิเบล เทียบเท่าเสียงกรีดร้องตลอดเวลา (New York City gives off an average of 90 decibels, That is the volume of a constant scream.)
ย้อนกลับสู่วันแรก วันที่ทุกคนต้องเงียบเสียง เพราะการมาเยือนของพวกต่างดาวที่รุกรานเข้ามา มันไม่ทนกับเสียงใดๆที่เกิดขึ้น มันพุ่งเข้าสังหารทุกอย่างที่ส่งเสียงจนกว่าจะเงียบอย่างถาวร ซึ่งความไม่รู้ของมนุษย์ในวันแรกของการเผชิญหน้า คงจินตนาการได้เลยว่ามันโกลาหลได้ขนาดไหน
ผลงานการกำกับของ Michael Sarnoski ที่จะมาสานต่อแฟรนไชส์ให้ยกระดับความมันและความสะพรึงไปในคราวเดียวกัน
เรื่องย่อ
Samira หญิงผิวสีที่ป่วยเป็นมะเร็งได้เผชิญกับการมาเยือนของสิ่งมีชีวิตต่างดาวที่ร่วงหล่นมาจากฟากฟ้า มันคือสัตว์ที่พร้อมสังหารทุกอย่างที่ร้องส่งเสียง โดยที่ทุกคนไม่อาจเงียบเสียงได้ในสถานการณ์ที่น่าตื่นตระหนก
เธอเดินทางพร้อมกับแมวคู่ใจ "โฟรโด" แม้จะมีอุปสรรคในความเจ็บปวดของร่างกาย เธอก็ไม่ท้อที่จะอุ้มแมวไปกับเธอด้วย ระหว่างทางเธอได้พบกับ Eric ชายหลงทางที่เชื่อว่าการติดตามไปพร้อมกับเธอจะช่วยให้อยู่รอดได้มากกว่าตามไปกับคนอื่น
ทั้งคู่ต้องใช้ไหวพริบในการเอาตัวรอดและให้กำลังใจกันและกัน คนหนึ่งเจ็บปวดร่างกายเพราะมะเร็ง อีกคนหวาดกลัวแบบขวัญหนี ท่ามกลางสถานการณ์ที่อันตรายตลอดเวลา ความหวังเดียวคือการขึ้นเรือที่ South Street เพื่อออกจากเมือง ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
นักแสดงนำ
- Lupita Nyong'o รับบทเป็น Samira
- Joseph Quinn รับบทเป็น Eric
- Alex Wolff รับบทเป็น Reuben
- Djimon Hounsou รับบทเป็น Henri
ความชื่นชอบและประทับใจของครีเอเตอร์
1.หนังใช้มุมมองในการถ่ายทอดของคนเมืองใน New york city โดยอิงกับผู้หญิงที่ป่วยเป็นมะเร็ง ไม่พร้อมที่จะวิ่งหรือเผชิญกับความกลัวสุดขีดกับสิ่งที่ไม่รู้จักอย่างสัตว์ประหลาดต่างดาว เราจะได้เห็นว่าในเมื่อคนไม่รู้ว่ามันต้องเงียบเสียง ในสถานการณ์ที่น่ากลัว การเงียบเสียงจึงเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก
2.หนังใช้ Jump Scare แบบเดียวกับภาคก่อนๆเช่นเคย แต่จะคาดหวังว่าเป็นความสยองขวัญมากมายก็คงจะไม่ถึงขนาดนั้น หนังให้ความรู้สึกถึงวันแรกของยุควันสิ้นโลกมากกว่า ทำให้เราไปเห็นถึงแง่มุมของความหวังว่าเรื่องแบบนี้จะคงอยู่ไปอีกนานแค่ไหน
3.เนื่องจากเป็นภาคแยก เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนสองภาคที่แล้ว เราก็คงพอเดาได้ว่าตัวละครคนไหนรอดชีวิตได้ไปต่อ เพื่อไปปรากฏในภาคนั้นๆ มันเหมือนเราถูกสปอยล์ไปโดยปริยาย แต่ก็ไม่ถึงกับเสียอรรถรสมากนัก แต่ถ้าเป็นไปได้เราอยากเห็นเหตุการณ์ใหม่ที่เดินไปข้างหน้ามากกว่าย้อนกลับมาที่จุดเริ่มต้น ซึ่งเห็นหนังหลายเรื่องเหลือเกินที่เลือกจะทำแบบนี้ เช่น FURIOSA A MAD MAX SAGA, MINIONS 1 และ 2, BLACK WIDOW เป็นต้น
4.หนังไม่ยาวจนเกินไป จบภายใน 99 นาที จึงมีความกระชับของการดำเนินเรื่องพอสมควร ไม่ยืดเยื้ออืดอาดจนเกินไป แต่ก็เบื่อในช่วงท้ายเรื่องอยู่เหมือนกัน อีกทั้งการออกแบบงานสร้างถึงเมืองหลวงที่ถูกทำลายก็ทำออกมาได้ดีเหมือนหนัง Action ทุนสูงด้วย
5.สิ่งที่คนดูอย่างครีเอเตอร์รู้สึกได้คือดินแดนไร้เสียงเริ่มไม่มีที่ไป หนังใช้การถ่ายทอดในแง่ของความสิ้นหวังจากการดิ้นรนเอาตัวรอดที่ชวนหดหู่ รวมถึงองค์สุดท้ายของเรื่องที่สื่อประเด็นเกี่ยวกับสิ่งสุดท้ายที่อยากทำก่อนตาย ภาพจำจึงไม่มีอะไร สิ่งที่น่าตื่นเต้นก็คล้ายกับภาคก่อนหน้า ฉาก Drama ก็ไม่ค่อยอินเท่าไหร่ หากเป็นไปได้อยากให้หนังเน้น action แทน มันอาจจะไปได้มากกว่านี้และสนุกกว่านี้ได้ด้วย โดยไม่ต้องยึดติดว่าหนังจะต้องเป็น Scifi-Horror เสมอไป
6.Djimon Hounsou ที่รับบทเป็น Henri บทบาทน้อยมาก น้อยแบบแทบไม่น่าเชื่อ...