นครพนม อดีตศูนย์กลาง ของอาณาจักรศรีโคตรบูรณ์ เดิมอยู่ฝั่งลาว ก่อนย้ายมาฝั่งไทย
“นครพนม” ศูนย์กลาง “ศรีโคตรบูรณ์” เดิมอยู่ฝั่งลาว ก่อนย้ายมาฝั่งไทย
“นครพนม” มีความเป็นมาอันน่าทึ่ง อีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ของไทย เพราะในอดีตเป็นศูนย์กลางของ “อาณาจักรศรีโคตรบูรณ์” อันรุ่งเรืองจากอดีตกาล ตัวเมืองเดิมของนครพนม ตั้งอยู่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง หรือฝั่งประเทศลาว บริเวณทางใต้ปากเซบั้งไฟ ตรงข้ามกับอำเภอพระธาตุพนม ในปัจจุบัน ส่วนตามอุรังคนิทาน หรือตำนานพระธาตุพนม (พิสดาร) ของพระธรรมราชานุวัตร อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนมนั้น มีบันทึกไว้ตอนหนึ่งว่า ประมาณ พ.ศ.500 สมัยพญาสุมิตรธรรม ผู้ครองเมืองมรุกขนคร ได้บูรณะพระธาตุพนมขึ้นเป็นครั้งแรก โดยก่อพระลานอูบมุงชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 แล้วสร้างกำแพงล้อมรอบองค์พระธาตุพนม เสร็จแล้ว มีงานสมโภชอย่างมโหฬาร พญาสุมิตรธรรมเอง มีความศรัทธาอย่างเหลือล้น ได้ถวายทรัพย์สินมีค่ามากมาย เป็นพุทธบูชา และยังมอบหมายให้หมู่บ้าน 7 แห่ง ที่อยู่ล้อมรอบพระธาตุพนม ดูแลรักษาองค์พระธาตุ
หลังจากรัชสมัยของพญาสุมิตรธรรมแล้ว ต่อมา มีผู้ครองนครอีก 2 พระองค์ ก็เกิดเหตุอาเพศแก่อาณาจักรศรีโคตรบูรณ์ จนกลายเป็นเมืองร้าง กระทั่งถึง พ.ศ.1800 เจ้าศรีโคตรบูรณ์ ได้สร้างเมืองขึ้นมาใหม่ ให้ชื่อว่า “มรุกขนคร” อยู่ใต้เมืองท่าแขกลงมา แต่ยังคงอยู่ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง มาใน พ.ศ. 2057 พระเจ้านครหลวงพิชิต ทศพิศราชธานีศรีโคตรบูรณ์ ได้เปลี่ยนชื่อเมืองมรุกขนคร กลับมาเป็น “ศรีโคตรบรูณ์” ตามชื่ออาณาจักรเดิม
กระทั่ง พ.ศ.2280 พระธรรมราชา เจ้าเมืองศรีโคตรบูรณ์องค์สุดท้าย ได้โยกย้ายเมืองจากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง มาตั้งบนฝั่งขวาแม่น้ำโขง หรือฝั่งไทย เยื้องเมืองเก่าไปทางเหนือ เรียกเมืองใหม่ว่า “เมืองนคร” จนมาถึง พ.ศ.2321 ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มีการย้ายเมือง มาตั้งที่บ้านหนองจันทร์ ห่างขึ้นไปทางเหนือ 52 กิโลเมตร และในปี พ.ศ.2333 รัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมืองนคร ได้ขอขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จึงพระราชทานนามใหม่ว่า “นครพนม”
จังหวัดนครพนม มีองค์ “พระธาตุพนม” เป็นเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง มาแต่โบราณ และเป็นศูนย์รวมศรัทธาของพุทธศาสนิกชน ทั้งฝั่งไทยและฝั่งลาว ทั้งยังเป็นเสมือนตัวแทนของความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนหลายกลุ่ม หลายวัฒนธรรม เรื่องราวขององค์พระธาตุพนม และเมืองศรีโคตรบูรณ์ แสดงให้เห็นว่า ชุมชนในแถบนี้ ต่างมีเจ้าเมืองปกครองเป็นอิสระ เป็นบ้านเล็กเมืองน้อยกระจายอยู่ทั่วไป เมื่อถึงวันเพ็ญเดือนสามของทุกปี ผู้คนจากทั่วสารทิศ แว่นแคว้น จะเดินทางมาร่วมเฉลิมฉลององค์พระธาตุพนมอย่างยิ่งใหญ่ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ผู้เป็นมหาราชแห่งนครเวียงจันทน์ ก็ได้เสด็จมานมัสการองค์พระธาตุพนมเช่นกัน และทรงปฏิบัติตามที่พระโพธิสาร ราชบุตรเจ้าพระยานครฯ ได้วางกฎไว้ว่า เจ้าเมือง ต้องมาทอดกฐินที่วัดพระธาตุพนมทุกปี ถือเป็นธรรมเนียมสืบมาจนถึงเจ้าเมืองรุ่นหลัง
จากบันทึกของชาวฝรั่งเศส กล่าวไว้ว่า “ธาตุพนม” เป็นหมู่บ้านสำคัญริมฝั่งขวาของแม่น้ำโขง มีบ้านร้อยกว่าหลัง มีพระพิทักษ์เจดีย์เป็นหัวหน้า ขึ้นตรงกับเจ้าเมืองละคอน หมู่บ้านโดยรอบ มีหน้าที่ดูแลรักษาพระธาตุพนม คือ หมู่บ้านหนองปิง บ้านดงภู บ้านปากคำ บ้านหัวดอน ผู้คนที่มีหน้าที่ดูแลรักษาวัดพระธาตุพนม มีอยู่ประมาณ 2,000 คน ทำกิจวัตร ตามพระบรมราชโองการ ของพระเจ้าแผ่นดินสยาม มีการบูชาพระธาตุทุกวัน ด้วยน้ำและข้าวปลาอาหาร มีคณะมโหรีสยาม บรรเลงเพลงถวายพระธาตุทุกวัน พิธีไหว้พระธาตุ มีขบวนฆ้องนำหน้า วางดอกไม้ธูปเทียนบูชาพระธาตุทั้งสี่ด้าน พระภิกษุสวดมนต์ถวายเครื่องไทยทาน ประกอบด้วย มะพร้าว กล้วย อ้อย น้ำผึ้ง ฝ้ายเส้น หมาก และพลู
อาณาบริเวณโดยรอบ องค์พระธาตุพนม ต่างก็เป็นชุมชนที่นับถือพระพุทธศาสนา หลักฐานที่ปรากฏคือที่บ้านโปร่ง บ้านทู้ อยู่ห่างจากองค์พระธาตุ ลงมาทางทิศใต้ มีใบเสมาจำนวนหนึ่ง มีลวดลายสลักเป็นรูปสถูป เช่นเดียวกับที่พบในเขตลุ่มน้ำมูล-ชี ส่วนด้านทิศเหนือขององค์พระธาตุ ที่บ้านหลักศิลา พบใบเสมาหินทราย มีลายสลักรูปสถูปบริเวณกึ่งกลางใบ เช่นเดียวกับใบเสมา ที่พบอยู่ทั่วไปในภาคอีสาน
ในสมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 หลังจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อ “เมืองมรุกขนคร” เป็น “เมืองนครพนม” ต่อมาปี พ.ศ.2336 พระบรมราชา (พรหมา) เจ้าเมืองนครพนม ถูกกล่าวหาว่าคบคิดกับ “พระเจ้านันทเสน” แห่งนครเวียงจันทน์ เป็นกบฏต่อกรุงเทพฯ โดยมีหนังสือไปชักชวนพระเจ้าเวียดนาม พญาลอง พระเจ้าแผ่นดินญวน ให้ยกทัพมาช่วยรบ ความทราบถึงพระเนตรพระกรรณ รัชกาลที่ 1 จึงให้พระเจ้านันทเสน และพระบรมราชา ลงมาแก้คดีที่กรุงเทพฯ ซึ่งฝ่ายพระเจ้านันทเสนแพ้ จึงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าอินทรวงศ์ ไปครองเมืองเวียงจันทน์ต่อ ส่วนเจ้าเมืองนครพนม ต่อมาได้ถึงแก่กรรม จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระศรีเชียงใหม่ (สุดตา) ซึ่งเป็นพี่ภรรยาของพระบรมราชา เป็นเจ้าเมืองนครพนมแทน
ฝ่าย “ท้าวกิ่งหงสา” บุตรพระบรมราชา (พรหมา) เจ้าเมืองคนเก่า และ “ท้าวคำสาย” บุตรของอุปราชท้าวจุลณี ไม่พอใจที่พระศรีเชียงใหม่ (สุดตา) ได้เป็นเจ้าเมือง จึงพาผู้คนข้ามแม่น้ำโขง อพยพไปตั้งเมืองใหม่ ที่บ้านกวนกู่ กวนงัว แขวงเมืองมหาชัยเดิม และไม่ยอมขึ้นกับเมืองนครพนม พระบรมราชา (สุดตา) หรือชื่อเดิมพระศรีเชียงใหม่ เจ้าเมืองคนใหม่ จึงมีใบบอกไปยังกรุงเทพ ฯ และทางเวียงจันทน์ ขอกำลังไปช่วยปราบปราม ทางกรุงเทพ ฯ มีพระยามหาอำมาตย์เป็นแม่ทัพ ยกกำลังมาสมทบกับกำลังจากเมืองสุวรรณภูมิ เมืองร้อยเอ็ด และเมืองกาฬสินธุ์ ยกกำลังมาตั้งอยู่ที่บ้านโพธิคำ พระยามหาอำมาตย์ ให้กองทัพจากเวียงจันทน์ ยกกำลังเข้าตีเมือง แตกพ่ายไป กองทัพไทยและกองทัพเวียงจันทน์ ได้กวาดต้อนผู้คนกลับมานครพนม จากนั้นพระยามหาอำมาตย์ ได้ย้ายที่ตั้งเมืองนครพนม จากบ้านหนองจันทน์ มาตั้งใหม่ที่บ้านโพธิคำ ซึ่งก็คือที่ตั้งตัวเมืองนครพนมในปัจจุบัน
เมื่อกองทัพไทยและกองทัพเวียงจันทน์ ยกกลับไปแล้ว ท้าวกิ่งหงสา ได้รวบรวมผู้คน มาตั้งกองกำลังที่บ้านช้างราช ริมฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง แล้วยกกำลังเข้าตีเมืองนครพนมแตก พระบรมราชา (สุดตา) เจ้าเมือง จึงไปขอกำลังจากนครเวียงจันทน์ และนครจำปาศักดิ์ มาช่วยตีฝ่ายตรงข้ามแตกไป มีการเจรจาของทั้งสองฝ่าย เพื่อยุติการรบราฆ่าฟันกัน ฝ่ายท้าวกิ่งหงสา จึงขอตั้งเมืองใหม่ ไม่ยอมขึ้นกับเมืองนครพนม แล้วอพยพผู้คน กลับไปอยู่ที่เมืองมหาชัยก่องแก้วตามเดิม
ต่อมาพระยาสุโพ แม่ทัพเวียงจันทน์ พร้อมด้วยอุปราชเมืองนครพนม ได้นัดให้พวกเมืองมหาชัยก่องแก้วมาพบ เจรจาและดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยา ต่อหน้าองค์พระธาตุโคตรบอง ว่าจะจงรักภักดีต่อกรุงเทพฯ ทางกรุงเทพฯ จึงตั้งให้ท้าวจุลณี เป็นพระพรหมอาสา เจ้าเมืองมหาชัย
ในสมัยรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ลูกหลานเจ้าเมืองมหาชัย ได้อพยพ แยกออกไปตั้งเป็นเมืองสกลนคร ต่อมาในปี พ.ศ.2349 ราชวงศ์ (มัง) บุตรพระบรมราชา (สุดตา) ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระบรมราชา เจ้าเมืองนครพนม พอมาถึงปี พ.ศ. 2369 เจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์ คิดการณ์เป็นกบฎต่อกรุงเทพฯ ได้กวาดต้อนผู้คนทางฝั่งขวาแม่น้ำโขง จนถึงเมืองนครราชสีมาไปเป็นกำลัง ทางกรุงเทพฯ ยกกำลังมาปราบ โดยมีเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เป็นแม่ทัพหน้า ยกกำลังมาตั้งที่เมืองนครพนม ส่วนพระบรมราชา (มัง) เจ้าเมืองนครพนม ถูกเจ้าอนุวงศ์ฯ พาหนีกองทัพไทย ไปตั้งมั่นอยู่ที่เมืองมหาชัยก่องแก้ว เมื่อกองทัพไทยยกกำลังมาถึง ก็พากันหนีเข้าไปในแดนญวน การศึกครั้งนี้ ทำให้ชุมชนบริเวณลุ่มแม่น้ำโขงระส่ำระสาย ส่วนหนึ่งถูกกวาดต้อนมากรุงเทพฯ อีกส่วนหนึ่งหนีเข้าป่า บรรดาผู้ที่ทำหน้าที่บำรุงดูแลวัดพระธาตุพนม ขาดจำนวนไปมาก องค์พระธาตุและศาสนสถานต่าง ๆ จึงทรุดโทรมลง
กระทั่งมาถึงปี พ.ศ. 2378 อุปราช (คำสาย) และราชวงศ์ (คำ) ได้นำชาวเมืองมหาชัยก่องแก้ว ข้ามแม่น้ำโขง กลับคืนมาสวามิภักดิ์ต่อกรุงเทพฯ พระยามหาอำมาตย์ จึงให้ไปตั้งเมืองอยู่ที่ริมหนองหาน บริเวณเมืองสกลวาปีเก่า และเมื่ออุปราช(คำสาย) ถึงแก่กรรม ได้โปรดเกล้าฯ ให้ราชวงศ์ (คำ) เมืองมหาชัยก่องแก้ว เป็นพระยาประจันตเขตธานี เจ้าเมือง และพระราชทานชื่อเมืองว่า “สกลนคร” ส่วนเมืองนครพนม หลังจากที่พระบรมราชา (มัง) เจ้าเมือง หลบหนีไปกับเจ้าอนุวงศ์ฯ แล้ว พระยามหาอำมาตย์ จึงได้มอบให้พระสุนทรราชวงศา เจ้าเมืองยโสธร ว่าราชการเมืองนครพนม อีกตำแหน่งหนึ่ง
ในระหว่างที่ดำรงตำแหน่ง เจ้าเมืองนครพนม ได้ยกกำลังออกไปกวาดต้อนผู้คน ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ให้มาตั้งขึ้นเป็นเมืองต่าง ๆ ในเขตนครพนม อาทิ เมืองมุกดาหาร เมืองกาฬสินธุ์ มีชาวผู้ไทยจากเมืองวังมาตั้งเมืองขึ้นที่บ้านดงหวาย ซึ่งต่อมาได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งขึ้นเป็น “เมืองเรณูนคร” ให้ขึ้นกับเมืองนครพนม และให้ท้าวสายนายครัว เป็นพระแก้วโกมล เจ้าเมืองเรณูนครคนแรก เมื่อปี พ.ศ.2387 ให้ “ชาวแสก” ซึ่งอพยพจากเมืองแสก ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บ้านนาลาดควาย ต่อมาให้ตั้งขึ้นเป็นกองอาทมาต คอยลาดตระเวนชายแดน หลังจากนั้นได้โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งเป็น “เมืองอาทมาต” ขึ้นกับนครพนม ให้ฆานบุดดี เป็นหลวงเอกสาร เจ้าเมืองอาทมาต จนถึงปี พ.ศ.2450 จึงยุบลงเป็นตำบลอาจสามารถ อยู่ในอำเภอเมือง ให้พวก “ชาวกะโซ่” จากเมืองฮ่ม เมืองผาบัง ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง มาตั้งเป็นเมือง ที่บ้านเมืองราม และโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งขึ้นเป็น “เมืองรามราช” ขึ้นกับเมืองนครพนม ให้ท้าวบัวจากเมืองเชียงฮ่ม เป็น พระอุทัยประเทศ เจ้าเมืองรามราช ต่อมาในปี พ.ศ.2450 ได้ยุบลงเป็นตำบลรามราช อยู่ในอำเภอท่าอุเทน
ให้ “ชาวโย้ย” จากบ้านหอมท้าว ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ตั้งเมืองอยู่ที่บ้านม่วง ริมน้ำยาม ต่อมาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งขึ้นเป็น “เมืองอากาศอำนวย” ขึ้นกับนครพนม และให้ท้าวศรีนุราช เป็นหลวงพลานุกูล เป็นเจ้าเมือง ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2457 ได้โอนไปขึ้นกับเมืองสกลนคร คือท้องที่อำเภออากาศอำนวย จ.สกลนคร และอำเภอศรีสงคราม จ.นครพนม
พวก “ไทยย้อ” เดิมอยู่ที่ปากน้ำสงคราม ริมฝั่งขวาแม่น้ำโขง ต่อมา ได้อพยพหลบหนีไปกับกองทัพเจ้าอนุวงศ์ฯ ไปตั้งอยู่ที่เมืองหลวงปุเลง ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง พระสุนทรราชวงศา เจ้าเมืองนครพนม ได้เกลี้ยกล่อมให้กลับมาตั้งเมือง อยู่ที่บ้านท่าอุเทนร้าง และโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งขึ้นเป็นเมืองท่าอุเทน ขึ้นกับเมืองนครพนมในปีเดียวกัน และตั้งให้ท้าวพระปทุม เป็นพระศรีวรราช เจ้าเมืองคนแรก ในการปราบปรามเจ้าอนุวงศ์ฯ ราชวงศ์ (แสน) เมืองเขมราฐ ได้คุมกำลัง ตั้งอยู่ปากน้ำสงคราม ริมฝั่งแม่น้ำโขง มีความดีความชอบจึงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งขึ้นเป็นเมืองไชยบุรี โดยให้อพยพครอบครัวชาวเขมราฐและยโสธร มาอยู่ที่เมืองไชยบุรี โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งราชวงศ์ (แสน) เมืองเขมราฐ เป็นพระไชยราชวงศา เจ้าเมืองไชยบุรี
ในปี พ.ศ. 2418 พวกจีนฮ่อ ได้ยกกำลังมาตีเมืองเวียงจันทน์ และหนองคาย ทางกรุงเทพฯ ได้ให้พระยามหาอำมาตย์ ข้าหลวงใหญ่ ซึ่งขึ้นมาจัดราชการอยู่ที่เมืองอุบลฯ เกณฑ์กองทัพหัวเมืองต่างๆ คือ เมืองร้อยเอ็ด เมืองสุวรรณภูมิ เมืองกาฬสินธุ์ เมืองอุบลฯ เมืองยโสธร เมืองมุกดาหาร เมืองนครพนม ฯลฯ ไว้สมทบกองทัพใหญ่ แล้วให้เมืองนครพนม เตรียมปลูกฉางข้าวขึ้นไว้ และจัดซื้อข้าวขึ้นฉาง สำหรับเลี้ยงกองทัพ ให้เมืองต่างๆ เตรียมตัดไม้มาถาก เพื่อขุดเรือให้ยาว ลำละ 4 วา 5 ศอก 6 คืบ เมืองนครพนม 50 ลำ เมืองหนองคาย 50 ลำ เมืองโพนพิสัย 30 ลำ เมืองไชยบุรี 20 ลำ เมืองท่าอุเทน 15 ลำ เมืองมุกดาหาร 50 ลำ รวม 245 ลำ
ปี พ.ศ.2424 องค์การศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก ได้เริ่มส่งบาทหลวง เข้ามาเผยแพร่คริสตศาสนาในภาคอีสาน เป็นครั้งแรก โดยส่งมายังเมืองอุบล ฯ และตั้งโบสถ์เผยแพร่ศาสนา อยู่ที่บ้านบุ่งกระแทง เป็นแห่งแรก ต่อมาในปี พ.ศ.2426 ก็ได้เริ่มแพร่ขยายขึ้นมาตามหัวเมือง ริมลำแม่น้ำ แล้วตั้งโบสถ์ที่บ้านท่าแร่ ริมหนองหานเมืองสกลนคร พ.ศ.2428 ได้ตั้งโบสถ์ที่บ้านสองคอน เขตเมืองมุกดาหาร และต่อมา ได้ตั้งโบสถ์ที่เกาะดอนโด ซึ่งอยู่กลางแม่น้ำหน้าเมืองนครพนม และที่บ้านหนองแสง เขตเมืองนครพนม เกิดมีทาสที่หลบหนีเจ้าขุนมูลนาย ไปหลบซ่อนอยู่กับบาทหลวง และเข้ารีต นับถือคริสตศาสนา เป็นจำนวนไม่น้อย เมื่อกรมการเมือง จะเข้าไปเกณฑ์แรงงาน หรือเก็บส่วย พวกที่เข้ารีตศาสนาคริสต์ ก็เกิดบาดหมางกับบาทหลวงอยู่เนืองๆ มีการฟ้องร้องกันลงไปถึงกรุงเทพฯ จนต้องส่งตุลาการ มาตัดสินที่เมืองนครพนม
ในปี พ.ศ.2429 หลังจากที่ญวน ตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสโดยสิ้นเชิงแล้ว พระเจ้าแผ่นดินเวียดนาม ได้หลบหนีเข้ามา ในชายแดนทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง เขตแดนเมืองมุกดาหาร และเมืองนครพนมอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งทางแขวงสุวรรณเขต และแขวงคำม่วน พระยามหาอำมาตย์ (หรุ่น ศรีเพ็ญ) เจ้ากรมมหาดไทยฝ่ายเหนือ ข้าหลวงใหญ่ ออกมาจัดราชการ อยู่ที่เมืองนครจำปาศักดิ์ จึงย้ายกองบัญชาการ มาตั้งอยู่ที่เมืองเขมราฐชั่วคราว และแต่งตั้งให้จมื่นมณเฑียรพิทักษ์ (ชม สุนทราชุน) และหลวงเสนีย์พิทักษ์ (พร ศรีเพ็ญ) เป็นข้าหลวง ขึ้นมาตั้งอยู่ที่เมืองนครพนม และเมืองมุกดาหาร เพื่อเกณฑ์กำลังจากเมืองสกลนคร เมืองท่าอุเทน เมืองไชยบุรี และเมืองมุกดาหาร ออกไปตระเวนรักษาด่าน คอยขับไล่พวกญวน มิให้ล่วงล้ำเข้ามาในชายแดนไทย
พระยามหาอำมาตย์ข้าหลวงใหญ่ และพระยาราชเสนา ข้าหลวงประจำหัวเมืองลาวตะวันออกเฉียงเหนือ ได้ขอพระบรมราชานุญาต ตั้ง “องบิงญวน” เป็นหลวงจำนงค์บริรักษ์ เป็นนายกองญวน และนายหวา เป็นขุนพิทักษ์โยธี ปลัดกองญวน ตั้งอยู่ที่บ้านโพนบก และบ้านนาคู แขวงเมืองนครพนม
ลุถึงปี 2434 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งพระราชวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ ออกมาเป็นข้าหลวงต่างพระองค์ สำเร็จราชการในหัวเมืองภาคอีสาน ทางด้านอีสานเหนือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ทรงดำรงตำแหน่งข้าหลวง สำเร็จราชการหัวเมืองลาวพวน ทางด้านอีสานใต้ มีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร สำเร็จราชการหัวเมืองลาวกาว ประทับอยู่ที่เมืองอุบลฯ กองบัญชาการหัวเมืองลาวพวน มีอำนาจปกครองเมืองนครพนม หนองคาย มุกดาหาร ไชยบุรี ท่าอุเทน หนองหาน สกลนคร โพนพิสัย กมุทาลัย(หนองบัวลำภู) ขอนแก่น เชียงขวาง คำเกิด คำม่วน บริคัณฑนิคม และในปี 2435 โปรดเกล้าฯ ให้พระยาสุริยเดชวิเศษฤทธิ์ (กาจ สิงหเสนี ) เป็นข้าหลวงประจำเมืองสกลนคร นครพนม และมุกดาหาร ซึ่งเป็นเมืองชายแดน เพื่อให้เป็นที่ปรึกษาของเจ้าเมือง มีกองบัญชาการอยู่ที่เมืองสกลนคร
ในปี 2536 ไทยเสียดินแดนทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ให้แก่ฝรั่งเศส ดินแดนของเมืองนครพนม ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง คือ แขวงคำม่วน ต้องสูญเสียไปด้วย ข้าหลวงไทย ที่ประจำอยู่ที่เมืองคำม่วน คือพระยอดเมืองขวาง ได้ต่อสู้ขัดขวางฝรั่งเศส จนถึงวาระสุดท้าย ถือได้ว่า เป็นวีรบุรุษคนสำคัญคนหนึ่งของไทย ปี พ.ศ.2437 โปรดเกล้าฯ ให้พระพิทักษ์ยุทธภัณฑ์(เทศ) เป็นข้าหลวงประจำเมืองนครพนม ปี 2438 ฝรั่งเศสขอตั้งเอเย่นต์ทางการค้า ให้มาประจำอยู่ตามหัวเมืองริมฝั่งแม่น้ำโขง คือ เมืองเขมราฐ เมืองมุกดาหาร เมืองนครพนม เมืองท่าอุเทน เมืองไชยบุรี และเมืองหนองคาย แต่เอเย่นต์ดังกล่าว ทำหน้าที่เสมือนกงสุล หรือสายลับ คอยสังเกตการณ์ว่า ฝ่ายไทย ละเมิดสัญญาระหว่างไทยกับฝรั่งเศสหรือไม่
ปี 2443 ได้เปลี่ยนนามมณฑลลาวพวน เป็นมณฑลฝ่ายเหนือ และเป็นมณฑลอุดร เมืองนครพนมจึงอยู่ในเขตการปกครองของมณฑลฝ่ายเหนือ และมณฑลอุดร ต่อมามณฑลอุดร แบ่งการปกครองเป็น 12 เมือง คือ เมืองหนองคาย (เมืองเอก) เมืองท่าอุเทน (เมืองจัตวา) เมืองไชยบุรี (เมืองจัตวา) เมืองนครพนม (เมืองตรี) เมืองท่าบ่อ (เมืองตรี ) เมืองมุกดาหาร (เมืองตรี) เมืองสกลนคร (เมืองโท) เมืองขอนแก่น (เมืองตรี) เมืองกมุทาลัย (หนองบัวลำภู) เมืองโพนพิสัย (เมืองตรี) เมืองชนบท (เมืองจัตวา) เมืองหนองหาน (เมืองตรี) ในปี 2446 มณฑลอุดร แบ่งการปกครองออกเป็น 5 บริเวณ แต่ละบริเวณ แบ่งออกเป็นเมือง เมืองแบ่งออกเป็นอำเภอ และได้ยุบเมืองเล็ก ๆ ลงเป็นตำบล แต่ละบริเวณ มีข้าหลวงประจำบริเวณรับผิดชอบ และมีข้าหลวงประจำเมือง พร้อมด้วยผู้ว่าราชการเมือง ดังนี้
บริเวณหมากแข้ง (อุดรธานี) มี 6 เมือง คือ เมืองหนองคาย เมืองโพพิสัย เมืองกุมภวาปี เมืองกมุทาลัย และเมืองท่าบ่อ, บริเวณสกลนคร มี 6 เมือง คือ เมืองสกลนคร เมืองวาริชภูมิ เมืองพรรณานิคม เมืองสว่างแดนดิน เมืองวานรนิวาส และเมืองจัมปาชนบท (พังโคน), บริเวณพาชี (ขอนแก่น) มี 3 เมืองคือ เมืองขอนแก่น เมืองภูเวียง และเมืองชนบท, บริเวณน้ำเหือง (เมืองเลย) มี 3 เมือง คือ เมืองเลย เมืองด่านซ้าย เมืองเชียงคาน, บริเวณธาตุพนม มี 4 เมือง มีเมืองนครพนม เมืองท่าอุเทน เมืองไชยบุรี และเมืองมุกดาหาร ต่อมาในปี 2450 ให้ยุบเลิกบริเวณ ลงเป็นเมืองทั้งหมด คงมีมณฑล เมือง และอำเภอ เท่านั้น
ดังนั้น การปกครองมณฑล จึงแบ่งออกเป็น 5 เมือง คือบริเวณหมากแข้ง เปลี่ยนเป็นเมืองอุดรธานี บริเวณพาชี เปลี่ยนเป็นเมืองขอนแก่น บริเวณสกลนคร เปลี่ยนเป็นเมืองสกลนคร บริเวณน้ำเหือง เปลี่ยนเป็นเมืองเลย บริเวณธาตุพนม เปลี่ยนเป็นเมืองนครพนม และได้แบ่งการปกครองออกเป็น 8 อำเภอ โดยยุบเมืองต่างๆ คือ เมืองมุกดาหาร เมืองท่าอุเทน และเมืองไชยบุรี ลงเป็นอำเภอ ดังนั้น อำเภอทั้งหมดจึงประกอบด้วย อำเภอเมืองนครพนม อำเภอเมืองไชยบุรี อำเภอเมืองท่าอุเทน อำเภอเมืองอากาศอำนวย อำเภอเมืองกสุมาลย์ อำเภอเมืองเรณูนคร (ย้ายไปตั้งอยู่บ้านธาตุพนม) อำเภอเมืองมุกดาหาร และอำเภอหนองสูง
ในปี 2457 กระทรวงมหาดไทย ประกาศยุบอำเภอเมืองกุสุมาลย์ ไปรวมกับอำเภอเมืองนครพนม ยุบอำเภอเมืองอากาศอำนวย ไปรวมกับท้องที่อำเภอท่าอุเทน ตัดท้องที่บางส่วนของอำเภอโพนพิสัย มารวมกับท้องที่อำเภอไชยบุรี ย้ายที่ตั้งอำเภอไชยบุรี ไปตั้งที่บ้านบึงกาฬ ภายหลัง จึงเปลี่ยนเป็นอำเภอบึงกาฬ ปี พ.ศ.2459 มีประกาศกระทรวงมหาดไทย เปลี่ยนคำว่าเมือง เป็น “จังหวัด” และคำว่า “ผู้ว่าราชการเมือง” เปลี่ยนเป็น “ผู้ว่าราชการจังหวัด” และเปลี่ยนชื่ออำเภอในจังหวัดนครพนม คือ อำเภอเมืองนครพนม เป็นอำเภอหนองบึก อำเภอเรณูนคร เป็นอำเภอธาตุพนม โดยย้ายที่ตั้ง ไปตั้งที่บ้านธาตุพนม อำเภอหนองสูง ซึ่งย้ายที่ตั้ง ไปอยู่ที่บ้านนาแก เป็นอำเภอนาแก
กระทั่งปี พ.ศ.2465 มีประกาศรวมมณฑลร้อยเอ็ด มณฑลอุบล มณฑลอุดร ตั้งขึ้นเป็นภาคอีสาน มีกองบัญชาการ อยู่ที่เมืองอุดรธานี อุปราชภาคอีสาน คือ พระยาราชนิกุลวิบูลยภักดิ์ ขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์ จังหวัดนครพนม จึงขึ้นอยู่กับมณฑลอุดร และภาคอีสาน กลายมาเป็นจังหวัดนครพนม ในปัจจุบัน