ความโกรธแค้น สอนธรรมะชั้นสูงแก่คนช่างสังเกตจิตได้
ถ้าคุณเคียดแค้นใครสักคน
สะสมความอาฆาตมากเข้า
จนกระทั่งกายเกร็งอย่างต่อเนื่อง
และหลั่งสารมืดออกมาท่วมร่าง
คุณจะหน้ามืด ตัวมืด
คัดแน่นไปทั้งอกทั้งใจ
และรู้สึกเหมือนมีเขม่าควันดำ
เป็นสายๆแผ่ออกมาจากตัว
ในหัวไม่มีเรื่องอื่น
นอกจากวนเวียนคิดเอาคืน
อยากทำร้ายจิตใจ หรือทำร้ายร่างกาย
ของผู้ที่คุณต้องการให้เขาสำนึก
นั่นเรียกว่าเป็นภาวะของอกุศลธรรม
ยิ่งอยู่กับมันนานขึ้นเท่าไร
คุณจะยิ่งจุกอก ทึบแน่น
และคิดร้ายต่างๆนานามากขึ้นเท่านั้น
เพียงเอะใจ
ไม่มองว่านั่นเป็นแค่อารมณ์โกรธ
ไม่ใช่แค่ความคิดร้ายๆของมนุษย์คนหนึ่ง
แต่มองใหม่ว่าคุณ
กำลังกลายสภาพเป็นปีศาจ เป็นวิญญาณร้าย
ภาพชีวิต ณ ขณะนั้น
จะแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง
คุณจะรู้ว่าร่างกายแบบมนุษย์
เป็นเพียงฐานที่มั่นของความเป็นมนุษย์
แต่จิตวิญญาณไม่จำเป็นต้อง
อยู่กับความเป็นมนุษย์ก็ได้
ชั่ววูบของการเกิดสติ
เห็นว่าตนเองกำลังกลายเป็นวิญญาณร้าย
คุณค่อยมีแก่ใจปรารถนาที่จะ
สลายวิญญาณร้ายจากร่างมนุษย์นี้เสียได้
ก่อนจะกลายเป็นวิญญาณร้ายของจริง
ที่ไม่อาจสลายร่าง
หนีกำเนิดของตัวเองได้พ้น
แทนการพยายามให้อภัย
หรือแกล้งยกโทษให้ใคร
ด้วยใจที่ยังหวงความพยาบาทไว้
ขอให้ลองนึกถึงตัวเองในฐานะวิญญาณบาป
ที่ไม่มีแก่ใจสละบาปออกจนหมด
ยังคงค้างความอาฆาตที่ปลดเปลื้องไม่ได้
วูบแห่งการมีสติ
สลดสังเวชภาวะอันเป็นปัจจุบันของตัวเอง
คุณจะรู้ด้วยสัญชาตญาณทางจิตว่า
ถ้าตายเดี๋ยวนี้ ก็ไปไม่ดีเดี๋ยวนี้
ขึ้นสูงไม่ได้แน่
เพราะยังมีไฟคลอกจิต
ยังมีน้ำหนักบาปถ่วงจิต
ให้ติดหล่มหลุมดำอยู่
เห็นเช่นนั้น จะค่อยมีแก่ใจจริงๆ
ที่จะละลายพยาบาท
สลายความผูกใจ
อันเป็นเงื่อนปมไร้สาระ
เหมือนของหลอกเล่น
แต่ถ้าแก้ไม่ได้ก็ลงนรก
หรือไปสู่ความเป็นเปรตกันยาวๆได้จริงๆ
นาทีที่เกิดประสบการณ์
คลายปมพยาบาท
สละความโกรธออกจากใจได้เป็นปลิดทิ้ง
คุณจะรู้จักความโล่ง ความเบา
ความส่องสว่างที่แผ่รัศมีไร้ขอบเขตออกมา
นั่นเองคือความเป็นจิตวิญญาณอีกดวงที่ไม่เหมือนเดิม
เมื่อนั้นจึงรู้ชัดว่า ‘กุศลจิต’
ต่างจาก ‘อกุศลจิต’ ขนาดไหน
เหมือนเป็นคนละคน เป็นคนละวิญญาณอย่างไร
หากมีต้นทุนธรรม
เพียงพอจะพิจารณาต่อได้ว่า
กุศลธรรมไม่ใช่ความบังเอิญ
ต้องอาศัยใจที่มีสติ
มีปัญญาเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดขึ้น
ปัญญาธรรมแบบพุทธก็ตามมา
ค่อยๆสืบทราบ ค่อยๆเรียนรู้ว่า
จิตไม่ใช่ตัวเดิมได้ตลอด
แต่เป็นภาวะที่เปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ
ปรุงแต่งใหม่ไปได้เรื่อยๆ
สังเกตเห็นเป็นขณะๆได้เรื่อยๆ
นั่นเอง จิตวิญญาณแบบพุทธจึงเกิดเต็ม
และนั่นเอง คือสิทธิ์ในการเข้าถึงธรรมอันคู่ควร!