การหายสาปสูญพระองค์ของสมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช
พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช เป็นกษัตริย์ล้านช้างที่สวรรคตอย่างลึกลับ หลักฐานจากพงศาวดารของล้านช้างไม่ปรากฏว่าพระองค์สิ้นพระชนม์เมื่อไหร่ หลักฐานจากศิลาจารึกที่ค้นพบในปัจจุบัน จารึกครั้งล่าสุดที่พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น คือ จารึกมหาธาตุเจ้าเชียงใหม่นาบอน ลงศักราช ๙๒๙ (พ.ศ. ๒๑๑๐)[1] แต่ปรากฏว่าศิลาจารึกวัดถ้ำสุวรรณคูหา ๒ ลงศักราช ๙๓๔ (พ.ศ. ๒๑๑๕) ได้ปรากฏพระนามของกษัตริย์ล้านช้างพระองค์ใหม่ คือ พระเจ้าสุมังคลไอยโกโพธิสัตว์ และพระวรรัตนธรรมประโชติกุมาร[2] ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชได้หายสาบสูญไปแล้ว ก่อน พ.ศ. ๒๑๑๕ อย่างแน่นอน
ในกรณีการหายสาบสูญไปของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ประวัติศาสตร์ลาวกล่าวถึงตอนนี้ว่า พระยานคร กับอดีตพระสังฆราชวัดมัชฌิอาราม คิดกบฏ แต่งอุบายให้ข่าวมาถึงพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชว่า เจ้าเมืององกาน[3] ถึงแก่กรรม เจ้าเมืององกานมีบุตรี ๒ คน ต้องการที่จะมาถวายตัวเป็นบาทบริจาริกา โดยให้พระสงฆ์ ๒ รูปนำสาส์นขึ้นมาถวาย พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชจึงปลงพระทัยเชื่อแน่ จึงให้ราชทูตถือสาส์นไปเมืององกาน เจ้าเมืององกานโกรธแค้นขับไล่ทูตลาวไม่ให้เข้าเฝ้า สมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐธิราชจึงกรีฑาทัพไปรบเมืององกานใน พ.ศ. ๒๑๑๕ เมื่อไปถึงเขตแดนเมืององกาน พระยานครทำอุบายพากองทัพพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชเข้าไปในระหว่างกองทัพของตน ทัพพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชยังไม่ทันรู้ตัว ก็ถูกตีแตกกระจัดกระจาย พระยานครทำอุบายพาพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชหลบหนีข้ามแม่น้ำโขงไปฝั่งใน แล้วพาหนีไปเสียที่ใดไม่รู้[4] ส่วนพระยาแสนสุรินทร์และพระยาจันกองนางพาทหารแตกหนีคืนมาเวียงจัน[5]
ในประวัติศาสตร์ลาว (ดึกดำบรรพ์ ถึง ปัจจุบัน) ของ ดร.สุเนด โพทิสาน และหนูไช พูมมะจัน กล่าวตามพงศาวดารลาวเพียงเล็กน้อย ส่วนใหญ่เป็นการหาหลักฐานมาอธิบายพงศาวดารลาวอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งพงศาวดารลาวกล่าวเพียงว่า พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชได้ยกทัพลงไปตีเมืองลามะลักองกาน หรือ เมืองโลมวันองกาน ในปี พ.ศ. ๒๑๑๔ แล้วหายสาบสูญไป
ดร.สุเนด โพทิสาน และหนูไช พูมมะจัน ได้อธิบายประวัติศาสตร์ลาวตอนนี้โดยอ้างอิงพงศาวดารเขมร ซึ่งกล่าวว่า ปี พ.ศ. ๒๑๑๓ พระเจ้าบรมราชาธิราชรามธิบดี ได้ยกกองทัพเข้าตีนครราชสีมา จับผู้คนเป็นเฉลยจำนวนมาก พระเจ้ากรุงลาวส่งทัพไปตีต้านเขมร แต่ก็ถูกเขมรตีแตกและถูกจับเป็นเฉลยจำนวนมาก ปี พ.ศ. ๒๑๑๔ พระเจ้ากรุงลาวจึงนำทัพไปเมืองสันทุกด้วยตัวเองเพื่อตีต้านเขมรให้ถอยกลับแต่ก็ปราชัยและทหารลาวถูกจับเป็นเฉลยอีก ส่วนเจ้ากรุงลาวเอาตัวหลบหนีมาได้ พ.ศ. ๒๑๑๕ พระมหาอุปราชของลาวได้ยกทัพไปตามตีเขมรไปถึงเกาะเจ้ารามแต่ก็ปราชัยอีก
จากหลักฐานนี้แสดงว่า เมืองลามะลักองกาน หรือ โลมวันองกาน ในเอกสารลาว หมายถึงเมืองอังกอร์ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชหลังจากสงครามกับเขมรครั้งที่ ๒ แล้วเข้าปรับปรุงกำลังอยู่บ้านอิดกะบือ[6] แต่ประชวรสิ้นพระชนม์ก่อน จึงได้ก่อเจดีย์ไว้ที่เมืองนี้[7]
ภายหลังต่อมา ดร.สุเนด โพทิสาน ได้อธิบายประวัติศาสตร์ตอนนี้เพิ่มเติม ในการประชุมนานาชาติ เรื่อง การศึกษาประวัติศาสตร์และวรรณกรรมของกลุ่มชาติพันธุไท ที่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๔[8] และในงานพบปะทางวิชาการว่าด้วย “วีรกรรมพระเจ้าอนุวง” ดร. สุเนด โพทิสาน กล่าวว่า สงครามระหว่างลาวกับเขมรเกิดขึ้น ๓ ครั้ง คือ เขมรยกทัพเข้ายึดโคราช ลาวส่งกองทัพไปปราบ ๒ ครั้ง แต่ก็ถูกตีแตกถึง ๒ ครั้ง พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชจำเป็นต้องยกทัพไปเอง และตีเขมรถึง อังกอร์วัด จนถึงเกาะเจ้าราม แต่สุดท้ายก็ปราชัยแก่เขมร ฝ่ายเขมรเรียกพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ว่า “เจ้าลาวเรือหัก” แต่พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชสามารถเอาตัวหลบหนีมาได้ถึงเมืองอัตตะปือ และประชวรเสด็จสวรรคตที่เมืองนี้[9]
พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชในประวัติศาสตร์เขมร
แม้ว่าพงศาวดารลาว จะไม่กล่าวถึงการรบระหว่างอาณาจักรล้านช้างกับเขมร แต่ในประวัติศาสตร์เขมรหลายฉบับกลับมีการกล่าวถึงการรบครั้งนี้คล้ายคลึงกัน ต่างกันที่ศักราช และในรายละเอียดเพียงเล็กน้อย และการที่พงศาวดารลาวไม่กล่าวถึงการรบครั้งนี้ ทำให้นักประวัติศาสตร์เขมรเกิดความสงสัย ดังเช่น ตฺรึง งา กล่าวว่า
...เฉพาะความสัมพันธ์ลาว - เขมร มีเพียงพงศาวดารเขมรเท่านั้นที่กล่าวถึงส่วนเอกสารภาษาลาว หรือเอกสารภาษาต่างประเทศไม่ได้กล่าวถึงแม้แต่น้อย จึงทำให้เรามีความสงสัย ว่า เหตุใดพงศาวดารลาวจึงไม่กล่าวถึงเหตุการณ์สำคัญเช่นนี้ อาจจะพลั้งเผลอโดยไม่มีเจตนา หรือเพราะความขลาด กลัวอับอาย เสียหน้า...[10]
ในประวัติศาสตร์เขมรกล่าวถึงกษัตริย์ล้านช้างโดยไม่กล่าวพระนาม กล่าวเพียงว่า “เสด็จลาว” และ “เสด็จลาวนครล้านช้าง” โดยเนื้อหาส่วนใหญ่กล่าวคล้ายคลึงกัน แต่ศักราชต่างกัน คือ
ในปี พ.ศ. ๒๑๑๓[11] พระมหากษัตริย์ล้านช้าง ได้ส่งช้างสูง ๘ ศอก พร้อมเสนาผู้ใหญ่ ๒ คน และทหารอีก ๑,๐๐๐ นาย ไปเมืองละแวก ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระบาทปรมินทราชา หรือพระบาทบรมราชาที่ ๔ (พ.ศ. ๑๕๖๖ - ๑๕๗๖)[12] เพื่อท้าประลองชนช้างกัน โดยตงลงว่า หากช้างฝ่ายใดชนะ ให้เมืองที่แพ้เป็นเมืองขึ้น การชนช้างครั้งนี้ ช้างของอาณาจักรล้านช้างสูง ๘ ศอก (๔ เมตร) แต่ช้างของเขมรสูง ๗ ศอก (๓.๕ เมตร) แต่ปรากฏว่า ช้างของเขมรได้รับชัยชนะ พระบาทบรมราชาที่ ๔ ได้จับทหาร ๑,๐๐๐ นาย และช้างของลาวไว้ ปล่อยแต่เสนาผู้ใหญ่ ๒ คนกลับเวียงจันเพื่อกราบทูลผลการชนช้าง
อาเดมาร ฬืแกฺลร อธิบายว่า มีเอกสารบางฉบับกล่าวว่า พระราชาเขมรทรงจับไว้แต่ช้าง ส่วนเสนาผู้ใหญ่ทั้งสอง และทหาร ๑,๐๐๐ นาย พร้อมทั้งนายครวญช้าง ได้ปล่อยตัวกลับเวียงจัน พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชทรงกริ้ว เมื่อทราบผลในการชนช้าง ประกอบกับการที่พระราชากัมพูชาได้จับช้างไว้ นี้คือการชี้แจงว่า เรื่องในการชนช้างเวลานั้นไม่ใช่การพนันเอาแผ่นดินเลย[13]
ยกทัพตีเขมรครั้งที่ ๑
การยกทัพตีเขมรครั้งที่ ๑ ประวัติศาสตร์เขมร กล่าวว่า เสด็จลาวมีความโกรธแค้นในการชนช้าง จึงผูกอาฆาตคิดจะแก้แค้นเขมร ดังนั้น ในปี พ.ศ. ๒๑๑๔[14] เสด็จลาว บัญชาให้ยกทัพเข้าตีเขมรทั้งทางบกและทางน้ำ โดยทางน้ำให้พระมหาอุปราช นำทัพพร้อมทหาร ๕๐,๐๐๐ ส่วนทัพของเสด็จลาว ซึ่งยกทัพทางบก มีทหารถึง ๗๐,๐๐๐ และได้ยกทัพเข้าโจมตีค่ายเขมรถึง พนมสอนตุก หรือสันทุก (อยู่ในเขตกำปงสวาย) แต่ถูกกองทัพของพระบรมราชาที่ ๔ และกองทัพของราชบุตรศรีสุริโยพรรณ กระนาบตีปราชัยไป[15] บางฉบับกล่าวว่า เสด็จลาวและเสด็จเขมรได้ยกทัพเข้าประจัญหน้ากัน ปรากฏว่า เสด็จลาวแพ้ เขมรจับทหารลาวเป็นเฉลยจำนวนมาก และต่อมาได้นำเฉลยศึกลาวจำนวน ๑,๐๐๐ คน ไปอาศัยอยู่บริเวณบาราย[16] ที่เหลือจากนั้นให้ไปอยู่บริเวณข้างทิศใต้และข้างทิศตะวันตก[17]
ส่วนทัพเรือของอาณาจักรล้านช้างซึ่งบัญชาการรบโดยมหาอุปราชลาว นำทหาร ๕๐,๐๐๐ ล่องตามลำน้ำโขงมาถึงบริเวณปากน้ำในเขตสีสันทร แต่ต้องพบกับทัพของพระสัตถา ราชบุตรของพระบรมราชาที่ ๔ ซึ่งมีทหารเพียง ๒๐,๐๐๐ เข้าโจมตีทัพของมหาอุปราชล้านช้างแตกไป[18]
พระบรมราชาที่ ๔ เสด็จกลับคืนเมืองละแวก ทรงจัดงานฉลองชัยชนะ และจัดให้เฉลยศึกลาว ๘๐๐ คน ไปอยู่ในบ้านบัตนัง อีก ๕๐๐ คน อยู่สำหรับอุปฐากรักษาวัดพนมเปญ พวกนี้เขมรเรียกว่า “ลาวเรือแตก” หรือ “ลาวเรือหัก”[19]
ยกทัพตีเขมรครั้งที่ ๒
ในปี พ.ศ. ๒๑๑๕[20] ครั้งนี้ลาวไปยกทัพมาตามแม่น้ำโขง เสด็จลาวได้เกณฑ์ทัพมีจำนวนพล ๒๐,๐๐๐ ให้มหาอุปราชนำลงเรือแข่งมาตีกัมพูชาอีกครั้ง พระราชากัมพูชา ได้นำทัพ ๕๐,๐๐๐ ไปสกัดทัพลาว เผชิญหน้ากันบริเวณโรกาโกง บนเกาะเจ้าราม (อยู่ในเขตกำปงจาม) ห่างจากพนมเปญ ๓๕ กิโลเมตร ศึกครั้งนี้ เรือพวกลาว ได้ถูกเผาผลาญทำลายอย่างย่อยยับ พวกทหารลาวที่รอดพ้นจากการรบครั้งนี้ ต้องเดินไปเป็นกลุ่มเล็ก ๆ กลับคืนบ้านเมือง และถูกชาวบ้านตามไล่ตีต่อไปอีก[21] เอกสารบางฉบับ กล่าวว่า ในขณะนั้น พม่าและสยามเข้าตีเวียงจัน ประกอบกับมีฝนตกหนัก ทัพลาวจึงล่าถอยกลับไปทั้งหมด[22]
การที่ประวัติศาสตร์เขมรกล่าวถึงการรบระหว่างล้านช้างกับเขมร ทำให้ทราบว่า กองทัพของอาณาจักรล้านช้าง ยกทัพโจมตีเขมรถึง ๒ ครั้ง แต่ทัพของล้านช้างเข้าไม่ถึงเมืองหลวงของเขมรเลยทั้งสองครั้ง ซึ่งในสมัยนั้น เมืองหลวงของเขมรได้ย้ายมาที่เมืองละแวกแล้ว และประวัติศาสตร์เขมรไม่ได้กล่าวถึงการจับตัวของเสด็จลาว หรือการสวรรคตของเสด็จลาว ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่า การยกทัพเข้าตีเขมรและกองทัพฝ่ายลาวแตกถึง ๒ ครั้ง กษัตริย์ลาวได้รอดพ้นจากการถูกจับได้ทุกครั้งไป ซึ่งอาจจะตรงกับประวัติศาสตร์ลาว ว่า พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชเสด็จสวรรคตที่เมืองอัตตะปือ พร้อมกับได้ก่อเจดีย์ไว้ที่เมืองอัตตะปือ ซึ่งมีเรื่องเล่าขานกันมาว่า มีพระธาตุองค์หนึ่ง เป็น “ธาตุพระไชย” รวมทั้งมีเรื่องราวเกี่ยวกับการสร้างวัดและพระกรณียกิจของพระไชย จนกระทั่งภาครัฐของ สปป.ลาว ต้องเปลี่ยนชื่อจาก “เมืองอัตตะปือ” มาเป็น “เมืองไชยเชษฐา”[23] ซึ่งในปัจจุบัน เมืองไชยเชษฐา เป็นเมืองในแขวงอัตตะปือ[24] อยู่ทางภาคใต้ของลาวและมีพรมแดนติดกับประเทศเขมร
การหายสาบสูญของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช หรือการพ่ายแพ้ในการพุ่งรบกับเมืององกาน ไม่ได้ทำให้พระเกียรติยศของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชเสื่อมเสียแต่ประการใด หลังจากเสด็จสวรรคตเกือบร้อยปี ก็ยังมีจารึกที่กล่าวถึงพระนามของพระองค์ คือจารึกวัดริมท่า (พ.ศ.๒๑๗๙) จารึกวัดคงกระพันชาตรี ๑ (พ.ศ.๒๑๘๐) กล่าวถึงพระองค์ว่าได้อุทิศทรัพย์สินและที่ดินถวายวัดเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่า พระองค์ได้แผ่อิทธิพลทางการเมืองและสร้างศรัทธาต่อชุมชนอีสานไว้มาก ทำให้ผู้คนยังจำเรื่องราวของพระองค์ได้เป็นอย่างดี[25] อีกทั้งในเวลาต่อมายังมีกษัตริย์ของล้านช้างใช้พระนามนี้อยู่ คือ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ ๒ (เจ้าไชยองค์เว้ พ.ศ.๒๒๔๑-๒๒๗๓) พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ ๓ (เจ้าสิริบุญสาร พ.ศ.๒๒๙๔-๒๓๒๒) พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ ๔ (เจ้าอินทรวงศ์ พ.ศ.๒๓๓๗-๒๓๔๗) และพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ ๕ (เจ้าอนุวงศ์ พ.ศ.๒๓๔๗-๒๓๗๐)[26] ในสมัยที่มีการต่อสู้กับการล่าเมืองขึ้นของประเทศตะวันตก พระองค์ยังเป็นมูลเชื้ออันวีระอาจหาญในการต่อสู้ ดังปรากฏมีกองทหาร คือ “กองไชยเชษฐาธิราช” ซึ่งต่อมาได้รวมเป็นส่วนหนึ่งของ “กองทัพลาวอิสระ” ซึ่งก็คือ “กองทัพประชาชนลาว” ในปัจจุบัน จึงกล่าวได้ว่าพระองค์ทรงเป็นมูลเชื้อการต่อสู้ให้แก่คนลาวทุกยุคทุกสมัยเลยก็ว่าได้
อ้างอิงกำกับเลข
[1]สุรศักดิ์ ศรีสำอาง, ลำดับกษัตริย์ลาว, พิมพ์ครั้งที่ ๒ (กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๔๕), ๑๒๑.
[2]ธวัช ปุณโณทก. ศิลาจารึกอีสานสมัยไทย-ลาว (กรุงเทพฯ : คุณพินอักษรกิจ, ๒๕๓๐ ), ๑๒๘ - ๑๒๙.
[3]เมืององกาน ตามตำนานทั้งหลาย สันนิษฐานว่า คือ แขวงอัตตะปือ ในภาคใต้ของลาวปัจจุบัน แต่ มหาสิลา วีระวงส์ (๒๕๔๓ : ๑๓๑) เสนอว่า น่าจะเป็นอังกอร์ธม ซึ่งเป็นเมืองหลวงของเขมร เพราะคำว่า องกาน กับคำว่า อังกอร์ มีเสียงที่คล้ายกันอย่างมาก
[4]มหาสิลา วีระวงส์ (๒๕๔๐ : ๑๓๒) สันนิษฐานว่า พระยานครนั่นเองที่ปลงพระชนม์พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช
[5]สิลา วีระวงส์ (สมหมาย เปรมจิตต์ แปล), ประวัติศาสตร์ลาว, พิมพ์ครั้งที่ ๓ (กรุงเทพฯ : มติชน, ๒๕๔๓), ๑๐๖.
[6]อิดกะบือ หรือบางแห่งเรียกว่า อิตตะปือ เป็นภาษาของชนเผ่าบราว (Brao) หรือชาวละแว ซึ่งเป็นภาษาตระกูลมอญ – เขมร คำว่า “อิด” หมายถึง มูลหรืออุจจาระ, ส่วนคำว่า “กะบือ” หรือ “ตะปือ” หมายถึง ควาย บริเวณนี้เป็นที่หยุดพักของฝูงควายจำนวนมาก จึงทำให้มีขี้ควายหรืออิดกะบือจำนวนมาก ต่อมาเพี้ยนเป็น “อัตตะปือ” (ศุภชัย สิงห์ยะบุศย์ และคณะ, ม.ป.ป. : ๘๑ – ๘๒)
[7]สุเนด โพทิสาน และหนูไช พูมมะจัน, ประวัติศาสตร์ลาว (ดึกดำบรรพ์ ถึง ปัจจุบัน), (เวียงจัน : โรงพิมพ์แห่งรัฐ, ๑๙๘๗), ๒๑๒ – ๒๑๓.
[8]สุเนด โพทิสาน, “แนวโน้มในการศึกษาประวัติศาสตร์ลาวโบราณ” ใน การศึกษาประวัติศาสตร์และวรรณกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ไท (กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, ๒๕๔๕), ๖๐.
[9]สุเนด โพทิสาน, “วีรกรรมเจ้าอนุวง” ใน วีรกรรมพระเจ้าอนุวง : บทรายงาน พร้อมด้วยบทประกอบคำเห็นในงานพบปะทางวิชาการ ว่าด้วย “วีรกรรมพระเจ้าอนุวง” (เวียงจัน : กระทรวงแถลงข่าวและวัฒนธรรม, ๒๕๔๖), ๒๕.
[10]ตฺรึง งา, ปฺรวตฺติสาสฺตฺรแขฺมร ภาค ๒ (สํราบ่มธฺยม นิง อุตฺตมสิกฺสา), (ภฺนํเพญ : โรงพุมฺพ มหาลาต, ๑๙๗๓), ๒๘ - ๒๙.
[11]อาเดมาร ฬืแกฺลร กล่าวว่า พ.ศ. ๒๑๐๓, สูร เอือ กล่าวว่า พ.ศ. ๒๑๐๓, สิน งวนเหง กล่าวว่า พ.ศ. ๒๑๑๓, ตฺรึง งา กล่าวว่า พ.ศ. ๒๑๑๕, Paul Brunon และสุนเหง เมงฌาง กล่าวว่า พ.ศ. ๒๑๑๕.
[12]ศักราชมีความแตกต่างกัน ตฺรึง งา และ Paul Brunon นิง สุนเหง เมงฌาง กล่าวว่า พ.ศ. ๒๑๐๙ – ๒๑๑๙ ส่วน สิน งวนเหง กล่าวว่า พ.ศ. ๒๑๑๐ - ๒๑๒๒
[13]อาเดมาร ฬืแกฺลร (แปฺรโดย เทพ เมงฆาน เหา ทีฆายุ), ปฺรวตฺติสาสฺตฺรปฺรเทสกมฺพุชา, เบาะพุมฺพเลีกที ๒ (ภฺนํเพญ : มินปฺรากดโรงพุมฺพ, ๒๐๐๖), ๒๔๐.
[14]สิน งวนเหง, ปฺรวตฺติวิทฺยา : สํราบ่ปฐมสิกฺสา (ภฺนํเพญ : โรงพุมฺพกฺรสวงอบ่รํ, ๑๙๙๔), ๗๓. ส่วนอาเดมาร ฬืแกฺลร กล่าวว่า พ.ศ. ๒๑๐๔.
[15]อาเดมาร ฬืแกฺลร, เรื่องเดียวกัน, ๒๔๑.
[16]บาราย ปัจจุบันเป็นชื่อของอำเภอในเขตกำปงธม กล่อนมาจากคำว่า “บานลาว เฉียงราย” หรือ “บ้านลาว เชียงราย” เพราะว่าพระบาทบรมราชาที่ ๔ ได้อนุญาตให้เฉลยศึกลาว ซึ่งมาจากเมืองเชียงรายมาอาศัยอยู่ ต่อมาเหลือแต่คำว่า “บา” และ คำท้าย “ราย” (Paul Brunon นิง สุนเหง เมงฌาง, ๒๐๐๔ : ๑๓)
[17]การนำเฉลยลาวมาไว้ในบารายนี้ อาเดมาร ฬืแกฺลร กล่าวว่า อยู่ภายใต้การตรวจตราของมนตรีลาวคนหนึ่ง ชื่อ แสนข้างฟ้าภาษา ต่อมาเฉลยศึกลาวเหล่านี้ได้ถูกปล่อยให้เป็นอิสระ แต่เฉลยศึกเหล่านี้ไม่กลับบ้านของเขา กลับใช้ชีวิตอยู่ในเขมรสืบลูกสืบหลานกันต่อมา (สิน งวงเหง : ๗๔)
[18]อาเดมาร ฬืแกฺลร, เรื่องเดียวกัน, ๒๔๑.
[19]ตฺรึง งา, เรื่องเดียวกัน, ๒๙.
[20]อาเดมาร ฬืแกฺลร กล่าวว่า พ.ศ. ๒๑๐๙, สูร เอือ กล่าวว่า พ.ศ. ๒๑๐๙, สิน งวนเหง กล่าวว่า พ.ศ. ๒๑๑๕, ตฺรึง งา กล่าวว่า พ.ศ. ๒๑๑๗ และ Paul Brunon นิง สุนเหง เมงฌาง กล่าวว่า พ.ศ. ๒๑๑๗
[21]อาเดมาร ฬืแกฺลร, เรื่องเดียวกัน, ๒๔๑.
[22]ตฺรึง งา, เรื่องเดียวกัน, ๒๙ – ๓๐.
[23]ศุภชัย สิงหะบุศย์ และคณะ, โครงการสารคดี ลาวตอนล่าง : สะหวันนะเขต สาละวัน เซกอง จำปาสัก และอัตตะปือ ห้าแขวงลาวตอนล่าง (กรุงเทพฯ : โครงการอาณาบริเวณ ศึกษา ๕ ภูมิภาค ศูนย์มานุษยวิทยา, ม.ป.ป.), ๑๓๓.
[24]เมือง ในภาษาลาวปัจจุบัน เทียบเท่ากับเขตปกครอง อำเภอ, แขวง เท่ากับ จังหวัด
[25]ธวัช ปุณโณทก, “ประวัติศาสตร์สังคมและการเมืองอีสาน จาก จารึกวัดถ้ำสุวรรณคูหา อุดรธานี,” ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๘ (มิถุนายน ๒๕๒๘) : ๑๘๘.
[26]กษัตริย์ลาวที่ใช้พระนาม “ไชยเชษฐาธิราช” เมื่อนับจากจารึก ปรากฏมี ๕ พระองค์ (สุรศักดิ์ ศรีสำอาง, ๒๕๔๕ : ๒๕๔)
หมายเหตุ ; ห้ามนำไปดัดแปลง หรือทำซ้ำ โดยไม่ได้รับอนุญาต
อ้างอิงจาก: ประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยา
https://b-poosri.blogspot.com/2017/11/blog-post_41.html
การหายสาปสูญของสมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช
ประวัติศาสตร์ลาว