เว่าพื้นเพลงปลาแดก
หลายครั้ง คราไปเลี้ยงควายที่ทุ่งนา ในขอดผ้าขะม้าฝีมือแม่ต่ำทออาจมีเพียงก่องข้าวเหนียว เพราะที่เถียงนามีกระปุกปลาแดกไว้ประจำ และอาจมีขวดน้ำปลาไว้ด้วยแล้ว ส่วนพริก มะเขือ ถั่ว แตง ก็ขึ้นอยู่เทิงโพนน้อยข้างเถียงนั่น รอมือเด็ดลิ้มรส
ตะเว็นพอพุมผู่ ลงจากหลังควาย ลูกชายกกก็นำควายเข้าไถ ลงไถฮดนายามฝนใหม่ สายหน่อยปลดแอกไถ ล่ามควายไว้ ล้างมือที่บวกน้อยมุมงานนา ขึ้นเถียง รอแม่มาส่งข้าว แม่อาจไปวัดอยู่ หรือดูแลไหม ยังไม่พ้นป่ามา เขาจึงจัดการปั้นข้าวเหนียว หักพริกสดที่เพิ่งเด็ดมาจากโพนแปะกับปลาแดกปลาหมอที่ฉีกครึ่งตัว แล้วบุ้ยเข้าปากเคี้ยวตุ้ย ๆ มัน เค็ม เผ็ด หวานอร่อยเกินพรรณนา
อาจเป็นด้วยวิถีชีวิตในนาทุ่ง ที่ตกแต่ง หลอมหล่ออารมณ์ชีวิตแบบที่ผมเป็นอยู่นี้ ทำให้รักทุ่ง รักนา ร่วมทั้งรักเสียงเพลงลูกทุ่ง หมอลำ และบทเพลงอื่น ๆตามไปด้วย และกลอนลำชีวิตชาวนาของแม่ฉวีวรรณ ดำเนิน ที่โด่งดังในช่วงผมเป็นเด็ก สักสามสิบปีให้หลังก็เป็นอีกบทเพลงหนึ่ง ที่ผมต้องขวนขวายหามาฟังใหม่ ในยามที่เพลงค่ายเพลงบริษัทลงหลักปักฐานในคลื่นวิทยุ-ชุมชนกัน จนบางช่วงเวลาหาเพลงเก่า เพลงเด่น ดี ในอดีตที่คิดฮอด คิดเถิง ฟังได้ยากเต็มที
กลอนลำชีวิตชาวนาตอนหนึ่งพูดถึงปลาแดกไว้ ตอนที่เมียเตรียมข้าวของจะเดินทางพาลูกน้อยไปส่งข้าวผัวชาวนา ที่ล่วงหน้าไปไถนาแล้วตั้งแต่เช้ามืด เนื้อกลอนลำว่า
“ตื่นขึ้นมาผัวไปก่อนไปไถนาคราดไว้ถ่า พอได้เจ้าเคิ่งงาน แม่บักหำอยู่บ้านกะฟ้าวตื่นคือกัน เตรียมเอาฟืนมาดังไฟเป่าฟู้ทั้งฟู่ เสียงวีไฟควันกุ้มในครัวลุกฮ่อมฮ่อม กะบองก้อมเขี่ยไว้เอาน้ำว่าไส่มวย น้ำฮวดแล้วเอาเข้าหม่ามาซาว สองมือจับหวดมาสุบหม้อ เสียงลูกอ๋ออ๋อไห้ไวไวกวยลูกแน พอลูกหลับแม่พัดฟ้าวหาถ้วยพ่องจอง ตักปลาแดกใส่ถ้วยเกลือตื่มแถมนำ สิไดไปนาเซพ่อบักหำไปแล้ว...”
อีกเพลงหนึ่งของครูสลา คุณวุฒิ สักสิบกว่าปีมานี้เอง แต่ปลาแดกเปลี่ยนไป ชื่อเพลงจึงเป็น “ปลาร้าสัญจร” เพลง ได้เปรียบเทียบคนอีสานที่จากบ้านไปขายแรงงานไว้ว่า เหมือนเช่นปลาร้าจากไห เนื้อเพลงว่า
"มาตีตั๋ว นั่งรถไฟชั้นสาม ยินเสียงหมอลำลอยมาแผ่วเบา คิดฮอดเด้ คิดฮอดบ้านเฮา
พ่อแก่แม่เฒ่าคงคอยเฮากลับมา ลูกอีสานจากนา เหมือนดังปลาร้าจากไห...”
ปลาแดกในบทเพลงยังมีอีกมาก หากเข้าโปรแกรมคาราโอเกะดู แต่ทั้งสองเพลงที่ผมชอบฟังและร้องได้ มันไม่ใช่แค่เพลง มันเป็นสะพานเชื่อมเราให้ก้าวคืนไปเยี่ยมชมวันวานที่หอมหวานด้วย เชื่อว่าเพลงแห่งอดีตงาม ๆ อย่างนี้คงมีอยู่ในหัวใจของทุกคน อาจเป็นเพลงเดียวหรือคนละเพลงกันก็คงไม่แปลก เพราะสำคัญที่อารมณ์สุนทรีย์แห่งชีวิตที่เราทุกคนได้เป็นรางวัลเช่นกัน