เรื่องสั้นระทึก คืนหวาม
คืนหวาม
โดย .. อักษราลัย
“...ลา ล้า ลา ลา …”
ชุดา ฮัมเพลงอย่างมีความสุข ภายใต้สายน้ำอุ่นจากฝักบัว พลางคิดถึงเพลงรักเร่าร้อนระหว่างเธอกับชายหนุ่มที่นอนอยู่ในห้องนอนข้างนอก เมื่อคืนเธอเจอเขาในผับย่านทองหล่อ แหล่งท่องเที่ยวยามราตรีของเหล่าหนุ่มสาว บนถนนสุขุมวิท เขา…ชายหนุ่มผมยาวประบ่าผิวขาวใส่เชิ้ตสีดำกับยีนขาดสีซีด สเปคชายหนุ่มที่ชื่นชอบเห็นทีไรก็ใจละลาย หลังจากส่งยิ้มให้กันเพียงครู่ ทุกอย่างก็ลงตัวและเธอก็มาลงเอยอยู่ที่นี่ ขณะกำลังคิดชุดารู้สึกเหมือนมีตัวอะไรตกลงมาบนหัว และบนฝ่ามือ เมื่อแหงนหน้าขึ้นไปมอง เธอพบกับหนอนตัวขาวขุ่นหล่นลงมาพร้อมกับสายน้ำ มันไต่ดุ๊กดิ๊กอยู่บนฝ่ามือและบนเส้นผมของเธอในขณะนี้จำนวนมหาศาล
“... กรี๊ด …”
เธอส่งเสียงกรีดร้องขึ้นมาสุดเสียงอย่างตกใจ ก่อนที่ความเจ็บปวดที่หัวจะแผ่ซ่านเข้ามาในความรู้สึก เลือดสีแดงสดของเธอไหลปะปนกับสายน้ำไหลลงไปตามท่อระบาย ก่อนสติจะดับวูบไป
“ถึงเวลาต้องย้ายอีกแล้วสินะ” เสียงพึมพำจากชายหนุ่มเจ้าของร่างเปลือย ในมือข้างขวามีไม้เบสบอลเปื้อนเลือดถืออยู่
ชุดาค่อย ๆ ขยับนิ้วงอทีละนิ้วเมื่อเริ่มรู้สึกตัว ความรู้สึกปวดแผ่ซ่านเข้ามาจนแทบอาเจียน
‘นี่ฉันสลบไปนานเท่าไหร่กันนะ’
ฝักบัวถูกปิดลงแล้ว รอบกายเปลือยเปล่าของเธอยังคงมีหนอนไต่ยุ่บยับ เธอกัดริมฝีปากสะกดกั้นเสียงกรีดร้องไม่ให้ผ่านพ้นริมฝีปากออกมา มือค่อย ๆ ยกขึ้นคลำไปบนศีรษะ พบเส้นผมที่เคยสลวยจับก้อนเป็นกระจุกเพราะเลือดที่แห้งจับตัวแข็ง ความรู้สึกปวดหัวเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อสติค่อย ๆ กลับคืนมา ชุดาลองขยับขางอเข้าหาตัว ขาทั้งสองข้างยังคงเคลื่อนไหวได้โดยไม่มีอาการปวดใด ๆ เธอเอามือยันพื้นพยุงกายขึ้นพิงผนังห้องน้ำ อาการปวดวิงเวียนและเจ็บยังคงรบกวน หลับตานิ่งพิงผนังหวังให้อาการค่อย ๆ ทุเลาลง สองหูพยายามจับความเคลื่อนไหวด้านนอกห้องน้ำ มีเสียงลากของไปมาดังครืดคราด เดาไม่ถูกว่าเสียงดังมาจากทางไหน หรือส่วนไหนของบ้าน
‘มันยังอยู่ข้างนอกนั่น’ ชุดาเกิดอาการผวายะเยือกขนแขนลุกชันขึ้นมาอย่างหวาดระแวง พลางหันมองไปรอบ ๆ ห้องน้ำ ไม้เบสบอลกลิ้งตกอยู่ห่างออกไปบนพื้น
‘นี่สินะที่มันใช้ฟาดหัวฉัน ไอ้เลว ไอ้โรคจิต’ เธอบริภาษในใจอย่างแค้นเคือง ก่อนจะค่อย ๆ กระถดตัวเข้าไปใกล้และหยิบไม้เบสบอลเข้ามาถือไว้ในมือ สายตาพิจารณาดูอย่างละเอียดพบว่ามีรอยคราบกระดำกระด่างสีแดงคล้ำซึมเข้าไปในเนื้อไม้ รวมทั้งรอยเลือดใหม่ ๆ ที่เดาได้เลยว่ามันคือเลือดจากหัวเธอนั่นเอง
‘ทำยังไงดี’ ชุดาคิดพลาง ค่อย ๆ ไล่ลำดับความคิด ดีที่เมื่อคืนเธอดื่มไม่มากนัก จำได้เลา ๆ ว่าเธอขับรถยนต์ตามมอเตอร์ไซค์สปอร์ตบิ๊กไบค์คันใหญ่สีดำแดงกลับมาตามถนนสุขุมวิท เลี้ยวเข้าซอยห่างจากถนนใหญ่มาไม่มาก บ้านที่เอารถมาจอดมีลักษณะเป็นบ้านทาวน์เฮ้าส์สามชั้น แต่มืดและดึกเกินกว่าจะรู้ได้ว่ารอบ ๆ ข้างเป็นยังไง ตอนนี้เธออยู่บริเวณชั้นสองของบ้านติดกันคือห้องนอน
‘ ถ้าหาทางออกไปที่รถได้เราน่าจะรอดจากไอ้โรคจิตนั่น’ พลางนึกถึงทางเข้าออก รถเธอจอดอยู่ด้านนอก แต่กระเป๋าสะพายและกุญแจรถอยู่ในห้องนอน ข่มความเจ็บที่พุ่งขึ้นมาเป็นริ้วจนแทบบ้า กัดริมฝีปากจนได้รับรสความปร่าของเลือดแทรกขึ้นมา ค่อย ๆ พยุงตัวลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก นิ่งอยู่กับที่พักใหญ่ก่อนจะค่อย ๆ ลากขาชิดขอบผนังเอามือประคองตัวเดินไปยังผนังอีกด้าน มืออีกข้างถือไม้เบสบอลไว้มั่น เพราะมันคืออาวุธเดียวที่เธอมีในขณะนี้ และมันทำให้อุ่นใจได้นิดหน่อย ดีกว่าไม่มีอะไรเลย จุดหมายคือหน้าต่างบานเล็กที่เผยอกระทุ้งออกจากตัวผนัง ด้วยความสูง 172 ซม. เมื่อเขย่งขาขึ้นทำให้พอจะมองออกไปนอกหน้าต่างได้ นั่นทำให้ชุดารู้ความจริงที่น่ากลัวยิ่งขึ้นไปอีก เพราะขณะนี้ฟ้ายังไม่สว่างดี โดยรอบไม่มีแสงไฟจากบ้านใกล้เคียง ไม่แน่ว่าคือบ้านร้างไร้ผู้คนอาศัยหรือเปล่า แผนที่คิดว่าจะพยายามหาวิธีขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้านใกล้เคียงเป็นอันล้มพับไป หลับตาตั้งสติอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะค่อย ๆ ย่องไปที่ประตู ผ่านกระจกที่ติดไว้เหนืออ่างล้างหน้า อดที่จะชำเลืองมองไม่ได้ ภาพที่สะท้อนกลับมาคือหญิงสาวเปลือยเปล่าผิวขาว อกโต เอวคอดที่เคยเซ็กซี่ ตอนนี้มีผมกระเซอะกระเซิง ร่างเปลือยสั่นสะท้าน ไร้ซึ่งความเย้ายวนชวนเสน่หาใด ๆ ดวงตากลมโตที่เคยสดใสมีแววสิ้นหวัง อย่างคนไร้ทางออกและจนตรอก สะบัดหัวจากภาพในกระจก ก้มลงมองตัวเองจากหน้าท้องแบนราบลงไปจนถึงขาเปลือยเปล่า
‘ไม่…ฉันจะไม่ยอมแพ้ ฉันจะต้องรอด’ ให้กำลังใจตัวเองเพื่อเพิ่มพลัง คิดถึงเสื้อผ้า ที่คงกระจัดกระจายอยู่รอบเตียงในห้องนอนนั้น เอาตัวพิงประตูห้องน้ำ ค่อย ๆ เอาหูแนบลงไปเพื่อฟัง
“ครืด คราด” เสียงลากของดังไปมา ถ้าฟังไม่ผิดน่าจะดังมาจากบริเวณชั้นบน
ชุดาค่อย ๆ ผลักประตูห้องน้ำ รีบจรดปลายขาย่องออกไปหมายใจไปถึงเสื้อผ้าและกระเป๋าสะพายที่น่าจะวางอยู่ตรงไหนสักแห่งในห้องนั้น แต่ขณะที่เธอย่างเท้าเข้าไปได้เพียงสองก้าว ก็ต้องถอยหลังกลับเมื่อได้ยินเสียงลูกบิดประตูดังขึ้น พร้อมกับเสียงพูดพึมพำ
“เบื่อชะมัด ไอ้พวกผู้หญิงใจง่าย เพราะพวกมัน… เพราะพวกมัน ทุกอย่างถึงเป็นแบบนี้” เธอหลับตาภาวนาขอให้มันไม่คิดถึงเธอ เหมือนคำภาวนาจะเป็นผล เธอได้ยินเสียงเลื่อนของบานประตูตู้เสื้อผ้า พร้อมกับเสียงโยนของโครมคราม
‘ มันคงกำลังเก็บเสื้อผ้า หรือมันจะหนี’ สำนึกหนึ่งเธอลิงโลดใจเมื่อคิดว่าไอ้โรคจิตนั่นกำลังจะหนี
‘แต่เอ๊ะ… มันจะเข้ามาอาบน้ำ เก็บกวาดส่วนที่ทำไว้รึเปล่า’ ซึ่งนั่นหมายถึงเธอ มันจะต้องมาตรวจดูเธอ หรือหากมันคิดว่าเธอตายแล้ว มันจะหาทางกำจัดศพเธอหรือเปล่า
คิดมาถึงตรงนี้ชุดาก็สั่นสะท้านขึ้นมาอีกรอบ กำไม้เบสบอลในมือไว้แน่นจนรู้สึกเจ็บนิ้ว เสียงจากนอกห้องเงียบลง มีเสียงเปิดปิดประตู ชุดารีบย่องออกมาจากห้องน้ำเพื่อหยิบเสื้อผ้าและกระเป๋าสะพายที่ทิ้งเอาไว้ เสียเวลาครู่ใหญ่กว่าจะหาเสื้อผ้าครบ เสียงคนพูดพึมพำดังใกล้เข้ามา
‘เร็วเข้าชุดา อย่าสำออย รีบ ๆ เข้า’ พูดกระตุ้นเตือนสติตัวเองเบา ๆ ก่อนจะรีบวิ่งกลับเข้าไปในห้องน้ำ ใส่เสื้อผ้าอย่างลวก ๆ ควานหามือถือในกระเป๋า กดหมายเลข 191
“เฮ้!!! เบบี๋ ผมรู้นะว่าคุณอยู่ในนั้น” เสียงนั้นทำเอาชุดาผวาเยือก โทรศัพท์มือถือร่วงจากมือ ก่อนที่จะคิดว่าจะต้องทำอย่างไร เสียงนั้นพลันเปลี่ยนเป็นตะคอก
“มึงจะออกมาดี ๆ หรือจะให้กูเข้าไปลากมึงออกมา” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดนั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะมาจากชายคนเดียวกันที่สร้างอารมณ์หวามให้กับชุดาในค่ำคืนที่ผ่านมา
“อย่า…อย่าทำอะไรฉันเลย ปล่อยฉันไปเถอะนะ” น้ำเสียงสั่นที่เปล่งออกไป จนชุดาเองก็แปลกใจ เสียงนั้นแผ่วเบาเหมือนล่องลอยมาจากไกลแสนไกล เหมือนไม่ใช่ออกมาจากลำคอของเธอ
ปัง ๆๆๆ … เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้น ยิ่งทำให้ชุดาปากซีด ตัวสั่น เธอย่อตัวลงกองอยู่ด้านหลังประตู กระถดตัวถอยห่างออกไป กอดงอเข่าคู้ลงเหมือนเด็กทารก เอาหน้าซบลงไปกับหัวเข่าเอามือทั้งสองข้างปิดหู
“อย่า … อย่า … “ เสียงนั้นแผ่วเบาราวเสียงกระซิบ แน่นอนว่าชายด้านหลังประตูอีกด้าน ย่อมไม่มีวันได้ยิน
เสียงจากประตูอีกด้านเงียบไป ชุดารีบลุกขึ้นวิ่งออกจากห้องน้ำ ออกไปยืนคว้างอยู่หน้าห้องนอนครู่หนึ่งอย่างตัดสินใจ
“ขึ้นข้างบน หรือลงข้างล่างดีชุดา คิดสิ คิด” ก่อนจะรีบซอยเท้าเปล่าเปลือยลงไปตามขั้นบันไดที่ปูพรมกำมะหยี่สีแดง มองดูคล้ายสีเลือด
‘อย่างน้อยชั้นล่างก็ใกล้ทางออก’ นับว่าเธอเลือกถูก เพราะหากเธอวิ่งขึ้นไปชั้นบน คงเจอกับชายคนนั้นที่กำลังลากขวานด้ามใหญ่ออกมาจากประตูห้องบนชั้นสาม และนั่นหมายถึงโอกาสรอดชีวิตของเธอคงยิ่งริบหรี่ขึ้นไปอีก
เสียงขวานที่ลากกึกกักลงมาตามขั้นบันได ยิ่งทำให้ชุดาลนลานหนักขึ้น เมื่อผวาไปที่ประตูหน้าบิดหมุนไปมาก็ยิ่งขวัญผวา
‘ล็อก’ ประตูหน้าถูกล็อกเอาไว้ ชุดารีบหันไปหาประตูอีกบานที่อยู่ใกล้ โดยไม่ทันมองว่าคือห้องอะไร เมื่อปิดประตูลงแล้วรีบกดปุ่มล็อกลูกบิดประตูจากภายใน มองหากลอนเพื่อเพิ่มความแน่นหนา แต่ไม่มี!! หันมองไปมาเพื่อสำรวจหมายจะหาของมายันประตูไว้แบบในภาพยนตร์ที่เคยดู
มันคือห้องเก็บของขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ใต้บันได มืดทึบและมีกลิ่นเหม็นจาง ๆ ลอยเข้าจมูก ชุดายืนปรับสายตาอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่สายตาจะชินกับความมืด แล้วจึงมองเห็นบางสิ่งกองอยู่ด้านในของห้อง
“ว๊าย …” เธอกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ เมื่อพบกับซากของสิ่งที่น่าจะเคยเป็นผู้หญิงคนหนึ่งคุดคู้อยู่ในท่านอนตะแคงหันหน้ามาทางเธอ ฟันและผมร่วง สภาพผิวเริ่มแห้งกรัง บ่งบอกให้รู้ว่าร่างนี้น่าจะอยู่ที่นี่มานานพอสมควร ชุดาตัวสั่นมือเท้าเย็นยะเยียบ เอามือปิดปากตัวเองแน่นอย่างคนขวัญหนี
“มึงคิดว่าจะรอดไปจากที่นี่ได้อย่างนั้นหรือ” เสียงนั้นลากยาว น้ำเสียงฟังดูเย็นยะเยือกน่าขนลุก ชุดาห่อไหล่ย่อตัวลงเอามือปิดหู กายสั่นสะท้าน
'คงไม่รอดแน่แล้วชุดาเอ๋ย' รำพึงกับตัวเองอย่างคนปลงตก นึกเสียใจที่ความสนุกชั่วข้ามคืนจะทำให้ตัวเองต้องพบกับจุดจบของชีวิต
"ปึง ปึง ปึง"
เสียงขวานที่จามไปบนประตูนั้น ทำให้เธอรู้ตัวดีว่า คงต้องกลายเป็นอีกซากผุ ๆ อยู่ในห้องนี้ คู่กับซากเจ้าของห้องที่มองเหมือนแสยะยิ้มมาให้อย่างยินดีต้อนรับเพื่อนใหม่ ยังไม่ทันที่ชุดาจะคิดอะไร เสียงหนึ่งก็ดังแว่วมา
“เปิดประตูด้วยครับ นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ”
“ตำรวจเหรอ รอดแล้วเรารอดแล้ว” ชุดาคิดอย่างดีใจ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อเสียงขวานที่จามลูกบิดประตูดังขึ้นอย่างแรงอีกครั้ง จนลูกบิดหลุดห้อยออกมา
ชุดาถอยหลังกรูดจนสะดุดเข้ากับซากนั้นก่อนจะล้มลง ใบหน้าของเธออยู่ห่างจากร่างนั้นไม่ถึงคืบ รู้สึกสะอิดสะเอียนจนแทบอาเจียน พลัน!! ความรู้สึกรักตัวกลัวตายทำให้เธอมีแรงฮึด รีบลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับมัน พยายามทำใจดีสู้เสือ สายตามองช่องว่างระหว่างประตูกับมันอย่างหมายมาด
"ทำไม" เธอถามออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
มันชะงักครู่หนึ่งก่อนจะแสยะยิ้ม ไม่เหลือคราบหนุ่มขี้เล่นเจ้าเสน่ห์ที่ชวนหลงใหลอย่างเมื่อคืน
"ก็ได้ถ้าเธออยากรู้ เรื่องมันก็เพราะพวกผู้หญิงใจง่ายแบบพวกเธอไง หากไม่มีคนแบบเธอ ทุกอย่างคงดีกว่านี้" พูดจบมันก็ยกขวานในมือขึ้นเตรียมที่จะฟาดลงมายังร่างของชุดา จังหวะเพียงครู่ที่เปิดโอกาสให้ ชุดาวิ่งชนร่างของมันฝ่าออกไปยืนนอกห้องได้สำเร็จ ก่อนจะรีบซอยเท้าเร็วจี๋ขึ้นบนบันไดไปยังชั้นบน เสียงมันวิ่งตามมา ก่อนที่ชุดาจะหงายคอแหงนไปด้านหลังอย่างแรงตามแรงกระชากของมือแกร่ง เธอหลับตาปี๋อย่างยอมจำนน และก่อนที่ทุกอย่างจะสิ้นสุดลง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
"หยุดนะ นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ปล่อยผู้หญิงคนนั้นซะ"
"ไม่มีวัน" มันพูดพร้อมกับลากเธอให้หมุนตัวไปเผชิญหน้ากับเจ้าของเสียง ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจในชุดรัดกุมมีตัวอักษร DSI ปักอยู่บนเสื้อกันกระสุนที่สวมทับ ชุดาผ่อนลมหายใจที่ติดขัด ออกมาแผ่วเบา จากมือแข็งที่คลายออกจากการโอบรัดรอบลำคอ รับรู้ความจริงว่าตัวเองกำลังติดอยู่ระหว่างความเป็นกับความตายที่กำลังเผชิญอยู่โดยไม่อาจรู้ได้จริง ๆ ว่าผลจะออกมาในรูปแบบไหน เพราะมันยังคงโอบกอดเธอเอาไว้แน่น แต่หาใช่เพราะความเสน่หาแบบเมื่อคืน
หูอื้อ ตาลาย คืออาการที่กำลังเกิดขึ้นกับชุดา เมื่อมันใช้ท่อนแขนโอบรัดรอบลำคอของเธออีกครั้ง มืออีกข้างของมันยังคงมีขวานด้ามนั้นอยู่ ชุดามองเห็นเพียงปากที่ขยับขึ้นลงของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยไม่อาจรับรู้คำพูดใด ๆ ได้ สติลางเลือนก่อนจะเป็นลมล้มพับไปในท่อนแขนแกร่งนั้น
เธอฟื้นขึ้นมาบนเตียงที่สะอาด หันมองไปรอบ ๆ เพื่อสำรวจ เดาได้ไม่ยากว่าคือโรงพยาบาลที่ไหนสักแห่ง บาดแผลถูกใส่ยาพันผ้ากอซเรียบร้อย ไม่รู้ว่าโดนเย็บด้วยหรือเปล่า แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่ชุดาอยากรู้ เธออยากรู้ว่ารอดมาได้ยังไงมากกว่า
ครู่หนึ่ง พยาบาลพร้อมกับเจ้าหน้าตำรวจก็เดินเข้ามาในห้อง หลังจากตรวจชีพจร ความดันจนพอใจ พยาบาลก็ออกไปจากห้อง
"เกิดอะไรขึ้นคะ คุณตำรวจ"
"นายภาส ยอมให้จับกุม หลังคุณหมดสติไปครับ แต่เราอาจทำอะไรเขาไม่ได้ เพราะหมอวินิจฉัยว่าเขามีอาการของคนวิกลจริต"
"วิกลจริต ?" ชุดาทวนคำ
"ครับ นอกจากศพในห้องเก็บของแล้ว ยังพบศพของผู้หญิงอีกคนในแท้งค์เก็บน้ำชั้นบนที่ต่อเข้ากับระบบภายในบ้านอีกศพหนึ่ง ที่ทางเราพยายามแกะรอยสืบสวนการหายไปของเธออยู่พอดี เมื่อคุณโทรศัพท์เข้ามาในระบบ 191 แต่ไม่ได้พูดอะไร เจ้าหน้าที่ยังคงฟังเสียงคุณกับนายภาส และแกะรอยตำแหน่งของโทรศัพท์จนไปช่วยคุณได้ทัน"
"มีศพในแท้งค์น้ำนี่เอง ที่ทำให้มีหนอนตกลงมาตอนฉันอาบน้ำ"
"ครับ"
"ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวนะครับ ขอให้ฟื้นหายไว ๆ ครับ"
"เดี๋ยวค่ะ คุณตำรวจ ฉันยังสงสัยเรื่องอาการวิกลจริตของมัน เอ่อ นายภาสน่ะค่ะ"
"นายภาสมีปูมหลัง พ่อแม่หย่าร้าง พ่อจับได้ว่าแม่ของเขาแอบไปมีความสัมพันธ์กับหนุ่มรุ่นน้องในที่ทำงาน วันนั้นทั้งคู่ทะเลาะกันหนัก แม่ของนายภาสเก็บกระเป๋าเตรียมแยกจากไป พ่อของเขาบันดาลโทสะคว้าเอาขวานที่วางพิงเอาไว้หน้าประตูมาจามจนแม่ของเขาเสียชีวิต แล้วจับร่างของเธอยัดลงแทนเสื้อผ้าในกระเป๋า โดยไม่รู้ว่าทุกอย่างอยู่ในสายตาของลูกชายคนเดียวที่แอบดูอยู่ พ่อของเขาติดคุก และเขาถูกส่งไปอยู่กับปู่ที่มักจะด่าทอว่าแม่ของเขาคือต้นเหตุของเรื่อง และมักจะเรียกแม่ของนายภาสว่า อีคนใจง่าย"
"ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ" ชุดาพยักหน้ารับ ปิดเปลือกตาลงอย่างอ่อนล้า
"น่าสงสารจัง" ชุดารำพึงออกมาเบา ๆ เมื่อรู้ถึงต้นสายปลายเหตุ นี่สินะที่เขามักจะบอกกันว่า "ทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีที่มา ทุกการกระทำอาจมีผลมาจากจิตใต้สำนึกลึก ๆ ของแต่ละคน สิ่งที่คนคนหนึ่งทำอาจส่งผลกระทบไปยังคนรอบข้างโดยไม่รู้ตัว เหมือนโดมิโน่ที่ล้มได้มากมายเพียงแค่ตัวแรกโดนผลักเบา ๆ …