เงาในความทรงจำ
เงาในความทรงจำ
โดย #อักษราลัย
แสงสีส้มอมม่วงของดวงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าสาดส่องผ่านหน้าต่างบานเก่าของห้องนอน ฝุ่นละอองลอยละล่องในอากาศ สะท้อนแสงราวกับดาวระยิบระยับ ฉันนั่งอยู่บนเตียงที่ปูด้วยผ้าห่มสีซีดจาง มือกำลังเก็บของใส่กระเป๋าเป้ใบเล็กสีดำที่เคยใช้สมัยเรียนมัธยมปลาย กลิ่นอายของความทรงจำและความเศร้าโศกอาบไล้ไปทั่วห้อง
วันนี้เป็นวันครบรอบ 10 ปีที่เพื่อนรักของฉัน นุ่น จากไปอย่างไม่มีวันกลับ ชื่อของเธอยังคงทำให้หัวใจฉันบีบรัดทุกครั้งที่นึกถึง ความรู้สึกผิดและคำถามมากมายยังคงหลอกหลอนฉันไม่เว้นแต่ละวัน
ฉันหยิบรูปถ่ายใบเก่า จากลิ้นชักโต๊ะข้างเตียง มันเป็นภาพของเราสองคนยิ้มกว้างในชุดนักเรียนมัธยมปลายสีกรมท่า ผมของนุ่นถูกมัดเป็นหางม้าสูง ดวงตาของเธอเป็นประกายด้วยความหวังและความฝัน ส่วนฉันยิ้มอย่างเขินอาย แก้มแดงระเรื่อ นิ้วชี้และนิ้วกลางชูเป็นรูปตัววีข้างใบหน้า มันเป็นภาพสุดท้ายที่เราถ่ายด้วยกันก่อนที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้น ฉันสอดรูปนั้นลงในกระเป๋าอย่างทะนุถนอม พร้อมกับสมุดบันทึกเล่มเก่าที่ฉันเขียนบันทึกเรื่องราวทั้งหมดไว้
10 ปีที่แล้ว หลังจากที่เราสองคนสอบเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกันได้ เราตัดสินใจไปเที่ยวน้ำตกลับแลในจังหวัดเชียงรายเพื่อฉลอง มันเป็นทริปที่เราวางแผนกันมานาน นุ่นเป็นคนขับรถยืมจากพ่อของเธอมา เป็นรถเก๋งสีขาวรุ่นเก่าที่มีรอยบุบเล็ก ๆ ที่ประตูด้านคนขับ
ทุกอย่างเริ่มต้นด้วยความสนุกสนาน เราร้องเพลงตามวิทยุเสียงดังลั่น หัวเราะกับมุกตลกเก่า ๆ และแบ่งปันความฝันถึงอนาคตที่รออยู่เบื้องหน้า นุ่นพูดถึงความตั้งใจที่จะเรียนแพทย์ ส่วนฉันเล่าถึงความฝันที่จะเป็นนักเขียน
"เธอต้องเขียนหนังสือเกี่ยวกับฉันนะ" นุ่นพูดพลางหัวเราะ "เรื่องราวของหมอสาวสวยที่รักษาคนไข้ด้วยรอยยิ้ม"
"แน่นอน" ฉันตอบพลางยิ้ม "แต่ฉันว่าจะเขียนให้เธอเป็นหมอจิตเวชดีกว่า จะได้รักษาคนบ้า ๆ อย่างฉันไง"
เราหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน โดยไม่รู้เลยว่านั่นจะเป็นเสียงหัวเราะครั้งสุดท้ายของเรา
เมื่อไปถึงน้ำตก เราเล่นน้ำ กระโดดจากโขดหินเล็ก ๆ และถ่ายรูปกันไม่หยุด ฉันจำได้ว่านุ่นสวมชุดว่ายน้ำสีฟ้าสดใส ผิวของเธอเปล่งประกายภายใต้แสงแดด หยดน้ำเกาะพราวบนผมสีน้ำตาลเข้มของเธอ
แต่แล้วโชคชะตาก็เล่นตลกกับเรา ระหว่างทางกลับ ขณะที่เราขับรถผ่านเส้นทางคดเคี้ยวบนภูเขา ท้องฟ้าเริ่มมืดลง ฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก สายฟ้าฟาดเปรี้ยงปร้างบนท้องฟ้า ทำให้เรารู้สึกหวาดกลัว จู่ ๆ รถก็เกิดดับกลางทาง ควันขาวลอยออกมาจากฝากระโปรงหน้ารถ
เราพยายามติดต่อขอความช่วยเหลือ แต่โทรศัพท์มือถือของเราทั้งคู่ไม่มีสัญญาณ ความกลัวเริ่มคืบคลานเข้ามา เสียงลมหวีดหวิวและเสียงสัตว์ป่าดังแว่วมาเป็นระยะ นุ่นเสนอให้เราเดินออกไปหาบ้านหรือปั๊มน้ำมันเพื่อขอความช่วยเหลือ ฉันไม่เห็นด้วย อยากให้รออยู่ในรถจนกว่าฝนจะหยุด
"เราไม่รู้ว่าต้องรอนานแค่ไหน พลอย" นุ่นพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ถ้าไม่มีใครผ่านมาล่ะ? เราต้องทำอะไรสักอย่าง"
"แต่มันอันตราย" ฉันโต้แย้ง "เราไม่รู้ว่าในป่ามีอะไรบ้าง"
"แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเราในรถล่ะ?" นุ่นถาม "เราต้องพึ่งพาตัวเองนะ"
ในที่สุด เราตัดสินใจเดินออกไปด้วยกัน โดยหวังว่าจะพบใครสักคนที่สามารถช่วยเหลือเราได้ เราเดินไปตามถนนมืด ๆ ที่เปียกลื่น มีเพียงไฟฉายจากโทรศัพท์มือถือเป็นแสงนำทาง
ขณะที่เดินไป ฉันรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกไปเกี่ยวกับนุ่น เธอเงียบผิดปกติ ไม่พูดคุยหยอกล้อเหมือนที่เคยทำ และดูเหมือนจะเดินช้าลงเรื่อย ๆ สีหน้าของเธอซีดเผือด ดวงตาเหม่อลอยราวกับกำลังจมอยู่ในภวังค์ความคิดบางอย่าง
"นุ่น เธอเป็นอะไรรึเปล่า?" ฉันถามด้วยความเป็นห่วง
เธอไม่ตอบ เพียงแต่ส่ายหน้าเบา ๆ แล้วเดินต่อไป
จู่ ๆ เธอก็หยุดเดินและหันมาหาฉัน น้ำตาคลอเบ้า
"พลอย ฉันไม่ไหวแล้ว" นุ่นพูดเสียงสั่น มือของเธอสั่นระริก "ฉัน... ฉันคิดว่าเราต้องแยกทางกัน"
ฉันตกใจกับคำพูดของเธอ "ไม่ได้นะนุ่น! เราต้องอยู่ด้วยกัน มันอันตรายเกินไป!" ฉันพยายามคว้ามือเธอไว้ แต่นุ่นสะบัดมือหนี
"เธอไม่เข้าใจหรอก" นุ่นพูดพลางส่ายหน้า น้ำตาไหลอาบแก้ม "ฉัน... ฉันต้องไปคนเดียว"
"ทำไมล่ะ?" ฉันถาม ความสับสนและความกลัวเริ่มครอบงำ "บอกฉันสิ มีอะไรเกิดขึ้น?"
นุ่นเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงแผ่ว "ฉันเห็นมัน... ตั้งแต่เราออกจากน้ำตก... มันตามเรามา..."
"อะไรนะ?" ฉันถามอย่างงุนงง "เธอเห็นอะไร?"
"เงา..." นุ่นตอบ ดวงตาเธอเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว "เงาดำ ๆ... มันเคลื่อนไหวได้... มันกำลังตามเรา... มันต้องการฉัน..."
ฉันมองไปรอบ ๆ แต่ไม่เห็นอะไรนอกจากความมืดและสายฝนที่กระหน่ำลงมา "นุ่น ไม่มีอะไรอยู่ที่นี่นะ" ฉันพยายามปลอบ "เธอแค่เหนื่อยและกลัวเกินไป เรากลับไปที่รถกันเถอะ"
แต่นุ่นยืนกรานและเริ่มเดินแยกไปอีกทาง มุ่งหน้าเข้าไปในป่าทึบข้างทาง "ฉันต้องไป... ฉันต้องหนีจากมัน... ถ้าฉันอยู่กับเธอ มันอาจจะทำร้ายเธอด้วย..." พูดจบนุ่นก็วิ่งหนีไป
ฉันพยายามห้ามแต่ไม่เป็นผล เสียงร้องไห้ของเธอดังแว่วมาตามสายลม ฉันยืนงงงันอยู่กับที่อย่างไม่รู้จะทำยังไงดี สุดท้ายจึงปล่อยให้นุ่นเดินจากไป โดยสัญญากับตัวเองว่าจะรีบไปหาความช่วยเหลือและจะรีบกลับมาหานุ่นโดยเร็วที่สุด
"นุ่น!" ฉันตะโกนเรียกเธอครั้งสุดท้าย น้ำตาไหลอาบแก้มปนกับสายฝน "ฉันจะกลับมาหาเธอ สัญญา!"
ฉันมองร่างของนุ่นหายลับไปในความมืดของป่า หัวใจเต้นรัวด้วยความกลัวและความกังวล แต่ฉันรู้ว่าต้องทำอะไรสักอย่าง ฉันรวบรวมความกล้าและเริ่มเดินต่อไปตามถนน
หลังจากเดินต่อไปอีกราวชั่วโมงที่ยาวนานราวกับชั่วนิรันดร์ ในที่สุดฉันก็พบกับบ้านไม้หลังเล็ก ๆ มีแสงไฟสลัวส่องออกมาจากหน้าต่าง ฉันวิ่งเข้าไปและเคาะประตูอย่างแรง
เจ้าของบ้าน ชายชราผมขาวโพลนชื่อลุงสมชาย รีบพาฉันเข้าบ้านและมอบผ้าห่มผืนหนาให้ เขาชงชาร้อน ๆ ให้ฉันดื่มแก้หนาว ก่อนจะโทรเรียกตำรวจให้
"หนูมากับเพื่อนเหรอ?" ลุงสมชายถาม ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
ฉันพยักหน้า น้ำตาไหลอีกครั้ง "ค่ะ แต่เราแยกกันระหว่างทาง เธอ... เธอบอกว่าเห็นอะไรบางอย่างตามเรามา..."
ลุงสมชายนิ่งไปครู่หนึ่ง สีหน้าของเขาดูครุ่นคิด "เงาใช่ไหม?" เขาถามเสียงแผ่ว
ฉันตกใจ "คุณลุงรู้ได้ยังไงคะ?"
ลุงสมชายถอนหายใจยาว "มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่องแบบนี้ในละแวกนี้" เขาพูดพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง "มีเรื่องเล่าเก่าแก่เกี่ยวกับวิญญาณในป่าแถวนี้ บางคนเรียกมันว่า 'เงาน้ำตก' มันจะปรากฏตัวให้เห็นเฉพาะคนที่มีพรสวรรค์พิเศษบางอย่าง... หรือคนที่กำลังจะตาย"
คำพูดของลุงสมชายทำให้ฉันรู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งตัว ฉันนึกถึงสีหน้าหวาดกลัวของนุ่น และคำพูดสุดท้ายของเธอ
ตำรวจมาถึงในอีกครึ่งชั่วโมงต่อมา พวกเขาพาฉันกลับไปยังจุดที่รถเสีย แต่เมื่อไปถึง กลับไม่พบร่องรอยของนุ่นเลย มีเพียงรอยเท้าจาง ๆ นำเข้าไปในป่า ตำรวจค้นหาทั้งคืนแต่ก็ไม่พบอะไร
วันต่อมามีการระดมกำลังค้นหาขนานใหญ่ ทั้งตำรวจ อาสาสมัคร และสุนัขตำรวจ แต่ก็ยังคงไร้วี่แวว ความหวังริบหรี่ลงทุกวินาที ฉันเฝ้ารอข่าวอยู่ที่สถานีตำรวจ น้ำตาไหลรินไม่หยุด ความรู้สึกผิดกัดกินหัวใจฉันทุกนาที ฉันไม่ควรปล่อยให้เธอไปคนเดียว
คืนที่สามของการค้นหา ฉันฝันเห็นนุ่น เธอยืนอยู่ริมน้ำตก สวมชุดว่ายน้ำสีฟ้าตัวเดิม แต่ร่างกายของเธอซีดเผือดผิดปกติ
"พลอย..." เสียงของนุ่นแผ่วเบา "ช่วยฉันด้วย... มันไม่ยอมปล่อยฉัน..."
ฉันตื่นขึ้นมาพร้อมกับเหงื่อท่วมตัว และความรู้สึกบางอย่างบอกฉันว่าต้องไปที่น้ำตก
โดยไม่บอกใคร ฉันแอบออกจากสถานีตำรวจในตอนเช้าตรู่ และเดินทางไปยังน้ำตกด้วยตัวเอง เมื่อไปถึง ฉันเห็นภาพที่ทำให้หัวใจแทบหยุดเต้น
ร่างของนุ่นลอยอยู่ในสระน้ำใต้น้ำตก สวมชุดว่ายน้ำสีฟ้าตัวเดิม ฉันกระโดดลงไปในน้ำทันทีโดยไม่คิดอะไรทั้งสิ้น พยายามดึงร่างของเธอขึ้นมา
แต่เมื่อฉันสัมผัสตัวเธอ ฉันรู้สึกถึงความเย็นเฉียบที่ผิดปกติ และจู่ ๆ ฉันก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างดึงขาฉันลงไปใต้น้ำ
ฉันพยายามดิ้นรนต่อสู้ แต่พลังนั้นแข็งแกร่งเกินไป ขณะที่กำลังจะจมลงไป ฉันเห็นใบหน้าของนุ่นใต้น้ำ ดวงตาของเธอเปิดกว้าง แต่ไม่มีแววชีวิต ริมฝีปากของเธอขยับ ราวกับกำลังพูดอะไรบางอย่าง...
จู่ ๆ ฉันก็รู้สึกถึงมือที่คว้าแขนฉันและดึงขึ้นไปบนฝั่ง เสียงตะโกนของเจ้าหน้าที่กู้ภัยดังอื้ออึง ฉันสำลักน้ำออกมา และเมื่อลืมตาขึ้น ฉันเห็นว่าตัวเองอยู่บนฝั่งแล้ว โดยมีทีมกู้ภัยล้อมรอบ
"คุณโชคดีมากที่รอดมาได้" หนึ่งในเจ้าหน้าที่พูด "แต่เราไม่พบร่างของเพื่อนคุณ"
ฉันมองไปที่สระน้ำอีกครั้ง ไม่มีร่องรอยของนุ่นเลย มีเพียงผิวน้ำที่นิ่งสงบ สะท้อนแสงแดดยามเช้า
สามวันต่อมา พวกเขาพบศพของนุ่นลอยอยู่ในแม่น้ำห่างจากน้ำตกไปหลายกิโลเมตร ร่างกายเธอบอบช้ำราวกับตกจากที่สูง ใบหน้าที่เคยสดใสบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ดวงตาที่เคยเป็นประกายปิดสนิท ริมฝีปากที่เคยยิ้มกว้างเป็นสีซีด ชุดว่ายน้ำสีฟ้าฉีกขาดเป็นริ้ว ๆ
ตำรวจสรุปว่าเป็นอุบัติเหตุ นุ่นอาจพลัดตกจากหน้าผาในความมืด แต่ฉันไม่เคยเชื่อเช่นนั้น ฉันรู้ว่ามีบางอย่างในน้ำตกนั้น บางอย่างที่เอาชีวิตของนุ่นไป และเกือบจะเอาชีวิตฉันไปด้วย
10 ปีผ่านไป ความรู้สึกผิดยังคงกัดกินหัวใจฉันทุกวัน ฝันร้ายตามหลอกหลอนทุกคืน ภาพของนุ่นที่เดินจากไปในความมืด และภาพใบหน้าของเธอใต้น้ำยังคงฉายซ้ำในหัวฉันไม่รู้จบ ฉันพยายามใช้ชีวิตต่อไป เรียนจบมหาวิทยาลัย หางานทำเป็นนักเขียน แต่ความเศร้าโศกและความรู้สึกผิดไม่เคยจางหาย
วันนี้ฉันตัดสินใจกลับไปที่น้ำตกนั้นอีกครั้ง เพื่อทำใจยอมรับและปล่อยวางในที่สุด ฉันต้องการเผชิญหน้ากับความกลัวและความทรงจำที่หลอกหลอนฉันมาตลอดสิบปี
เมื่อไปถึงจุดที่เราจอดรถเมื่อ 10 ปีก่อน ฉันเห็นใครบางคนยืนอยู่ริมถนน หัวใจฉันเต้นแรงขึ้นเมื่อเห็นว่าเป็นผู้หญิงในชุดนักเรียนมัธยมปลาย ผมยาวสีน้ำตาลถูกมัดเป็นหางม้าสูง
เธอหันมาและยิ้มให้ฉัน ใบหน้านั้น... เป็นนุ่น! เหมือนวันสุดท้ายที่ฉันเห็นเธอไม่มีผิด
"ในที่สุดเธอก็มา" นุ่นพูดเสียงแผ่ว "ฉันรอเธอมานานแล้ว เพื่อนรัก"
ฉันรู้สึกถึงมือเย็นเฉียบที่จับข้อมือฉันไว้ และโลกรอบตัวก็ดูเลือนรางลง ก่อนที่ความมืดจะกลืนกินทุกสิ่ง ความจริงที่ฉันพยายามหนีมาตลอด 10 ปี ก็ปรากฏชัดขึ้นในห้วงความคิด...
มือที่กำลังจะผลักนุ่นจากหน้าผา สวมนาฬิกา G SHOCK สีชมพู สีโปรดของฉันเอง ก่อนที่ร่างของนุ่นจะลอยละลิ่วลงไปด้วยดวงตาเบิกโพลงริมฝีปากขยับแต่ไร้เสียง เป็นฉันเอง ..
. อยู่ ๆ ฉันก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังขึ้นทำลายความเงียบ พร้อมกับความรู้สึกเบาสบายของตัวฉันที่ลอยเคว้งคว้างไปในอากาศ...🍂