หงส์กับผี 'ทำไมถึงเกลียดกัน'
สวัสดีครับ เนื่องจากวันนี้เป็นวันแดงเดือดนัดแรกของฤดูกาล จึงขอนำเกร็ดความรู้ในศึกแดงเดือดมาแบ่งปันกันนะครับ
เกริ่นนำ เมื่อพูดถึงคู่แข่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกฟุตบอล คงไม่มีคู่ไหนที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่า "ลิเวอร์พูล ปะทะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด" หรือที่รู้จักกันในนาม "ศึกแดงเดือด" อย่างน้อยก็ใน พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
เป็นเวลากว่า 100 ปีแล้ว ที่สองยักษ์ใหญ่แห่งวงการฟุตบอลอังกฤษได้ต่อสู้กันอย่างดุเดือดบนผืนหญ้าศักดิ์สิทธิ์ของ แอนฟิลด์ และ โอลด์ แทรฟฟอร์ด นี่คือการแข่งขันฟุตบอลที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศ และเป็นที่จับตามองของแฟนบอลทั่วโลก
แต่ศึกแดงเดือดไม่ได้เป็นเพียงแค่การแข่งขันฟุตบอลเท่านั้น มันยังเป็นการปะทะกันของประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และอัตลักษณ์ของสองเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอังกฤษ
ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์
__________
เอาล่ะ เราจะเริ่มจากตรงไหนดี? จากเกมแรกที่ทั้งสองทีมเจอกัน หรือว่าจะย้อนไปไกลกว่านั้นดี?
จริงๆ แล้วความเป็นคู่แข่งระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์ มันลึกซึ้งยิ่งกว่าเรื่องฟุตบอล
ทางภูมิศาสตร์ ทั้งสองเมืองห่างกันแค่ 35 ไมล์ และการปฏิวัติอุตสาหกรรม (ค.ศ. 1750-1900) ก็ทำให้พวกเขาใกล้ชิดกันมากขึ้น
แมนเชสเตอร์ ขับเคลื่อนด้วยอุตสาหกรรมฝ้าย มีการสร้างโรงงานขนาดใหญ่เพื่อตอบสนองความต้องการสิ่งทอที่เพิ่มขึ้น ส่วน ลิเวอร์พูล ก็พัฒนาเป็นเมืองท่าสำคัญ นำเข้าและส่งออกสินค้ามากมายทั้งในและต่างประเทศ
อุตสาหกรรมก็หมายถึงการแข่งขัน และการสร้างคลองเรือแมนเชสเตอร์ในช่วงปลายศตวรรษที่19 ก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของเรื่องนี้
__________
จริงๆแล้ว ตามรายงานข่าวบางฉบับในยุคนั้น ความเป็นอริระหว่างสองเมืองถูกเรียกว่า "ศึกชิงความเป็นใหญ่ด้านการขนส่งทางเรือระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์"
ไม่ใช่ฟุตบอลซะด้วยซ้ำ
แมนเชสเตอร์ ชิป คลองนี้ได้รับการสนับสนุนและพัฒนาโดยพ่อค้าชาวแมนเชสเตอร์ แต่แนวคิดในการสร้างคลองนี้ถูกต่อต้านโดยนักการเมืองชาวลิเวอร์พูล ซึ่งนำไปสู่ความตึงเครียดระหว่างคนงานท่าเรือของลิเวอร์พูลและคนงานชาวแมนเชสเตอร์
คลองนี้เป็นโอกาสสำหรับชาวแมนเชสเตอร์ ที่จะหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าธรรมเนียมที่เมืองลิเวอร์พูล
และเริ่มแข่งขันกับเพื่อนบ้านทางตะวันตกเฉียงเหนือ หนังสือพิมพ์ในสมัยนั้นพูดถึง 'ความเป็นคู่แข่ง' ระหว่างสองเมืองนี้อยู่บ่อยๆ
สถานการณ์ตึงเครียดในลิเวอร์พูล!
ผู้สื่อข่าวจาก ลิเวอร์พูล รายงานว่า
"การแข่งขันทางธุรกิจระหว่าง ลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ กำลังเป็นที่สนใจของสาธารณชนอย่างมาก โดยประเด็นสำคัญคือความต้องการที่ชัดเจนในลิเวอร์พูล ที่อยากให้คณะกรรมการท่าเรือเมอร์ซีย์และบริษัทรถไฟลดค่าผ่านทาง ค่าธรรมเนียม และค่าบริการต่างๆ"
"ขณะนี้กำลังมีการเตรียมการเบื้องต้นสำหรับการประชุมระหว่างตัวแทนของคณะกรรมการท่าเรือและท่าเรือเมอร์ซีย์ หอการค้าลิเวอร์พูล บริษัทรถไฟ และเทศบาลเมืองลิเวอร์พูล เพื่อส่งเสริมการจราจร และทำการปรับปรุงเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าบนแม่น้ำเมอร์ซีย์"
__________
ในด้านวัฒนธรรม ลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ถือเป็นสองเมืองที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นที่สุดในสหราชอาณาจักร แม้จะมีอัตลักษณ์ทางตอนเหนือของประเทศที่เหมือนกัน แต่ความแตกต่างในด้านดนตรี กีฬา และศิลปะ ก็แสดงให้เห็นถึงตัวตนที่แตกต่างกันของทั้งสองเมือง
The Beatles, Oasis, The Stone Roses, The Cavern ล้วนเป็นสัญลักษณ์ของแต่ละเมือง และเป็นตัวแทนของบรรยากาศที่กว้างขวางกว่า ซึ่งโอบล้อมทุกเหตุการณ์กีฬา
เอาล่ะ แน่นอน ผมพอจะได้ยินเสียงผู้อ่านบางคนพูดว่า "เข้าเรื่องเลย" "ฉันอยากรู้เรื่องฟุตบอล ไม่ใช่เรื่องดนตรีหรือการแข่งขันทางการค้า" แต่สิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจคือ สาเหตุของความเป็นอริที่มีมาตั้งแต่แรก และปัจจัยพื้นฐานอะไรที่ทำให้การแข่งขันคู่นี้ดุเดือด เข้มข้น และน่ากลัวมากขึ้น
__________
ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ความเป็นคู่แข่งระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็เริ่มมีสัญญาณของความโดดเด่นแตกต่างจากคู่แข่งอื่นๆ ในประเทศ
การพบกันครั้งแรกของทั้งสองสโมสรเกิดขึ้นในปี 1895 ซึ่งในขณะนั้น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังคงใช้ชื่อว่า นิวตัน ฮีธ ผลการแข่งขันจบลงด้วยชัยชนะของ "หงส์แดง" 2-0
ทั้งสองทีมผลัดกันประสบความสำเร็จในระดับประเทศเป็นครั้งคราว ก่อนที่สงครามโลกครั้งที่ 1 จะปะทุขึ้นในปี 1914
อย่างไรก็ตาม ในปี 1915 หนึ่งปีก่อนที่สงครามจะทวีความรุนแรงขึ้น เกิดเหตุการณ์อื้อฉาวขึ้น เมื่อนักเตะจากทั้ง ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการล้มบอลในเกมลีกที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ซึ่งผลการแข่งขันถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับเจ้าบ้าน
"สมาคมฟุตบอลได้ออกรายงานของคณะกรรมการที่ได้สอบสวนข้อกล่าวหาว่าผลการแข่งขันระหว่าง ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าระหว่างผู้เล่นเพื่อจุดประสงค์ในการพนันและได้รับเงินจากการนั้น คณะกรรมการพบว่ามีการส่งมอบเงินโดยการพนันในการแข่งขัน และผู้เล่นได้รับผลประโยชน์จากการนั้น คณะกรรมการจึงตัดสินใจสั่งพักการเล่นฟุตบอลหรือการจัดการฟุตบอลอย่างถาวรแก่ผู้เล่นต่อไปนี้: J. Sheldon, H. R. K. Pursell, T. Miller และ T. Fairfoul (ลิเวอร์พูล), A. Turnnil, A. Whalley และ E. J. West (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด) และ L. Cook (เชสเตอร์) และพวกเขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสนามฟุตบอลใด ๆ ในอนาคต"
- เดลี่ มิร์เรอร์, 1915 -
__________
แม้ในช่วงเวลาที่โลกกำลังเผชิญกับความยากลำบากจากสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ไฟแห่งการแข่งขันระหว่าง ลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ยังคงลุกโชน ไม่เพียงแต่เป็นการต่อสู้เพื่อชัยชนะในสนามฟุตบอล แต่ยังเป็นการต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีและอัตลักษณ์ของคนในท้องถิ่น
"มีความเป็นคู่อริระหว่าง... ลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ การแข่งขันกันนั้นมีประโยชน์ หากทุกคนที่อิจฉาเมืองอื่นตั้งใจที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อทำให้เมืองของตนเองดีที่สุด"
__________
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 0, ลิเวอร์พูล 0 (ข่าวจากหนังสือพิมพ์ปี 1950)
"ลิเวอร์พูล ยังคงอยู่ในเส้นทางลุ้นดับเบิลแชมป์ เอฟเอ คัพ และ ฟุตบอล ลีก ด้วยการบุกไปแบ่งแต้มสำคัญจากจ่าฝูง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถึงถิ่น ทำให้ ลิเวอร์พูล แซง แบล็คพูล ขึ้นมารั้งอันดับสอง ฟอร์มการเล่นอันยอดเยี่ยมของ ซิดโลว์ ผู้รักษาประตูทีมชาติเวลส์ ช่วยให้ลิเวอร์พูลเก็บแต้มสำคัญได้สำเร็จ เขาต้านทานการบุกอย่างหนักของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ส่งผู้เล่นทุกคนยกเว้นผู้รักษาประตูอย่าง ครอมป์ตัน ขึ้นไปบุกในช่วงท้ายเกม"
__________
ช่วงทศวรรษ 1940 และต้น 1950 เป็นช่วงเวลาที่อังกฤษยังคงบอบช้ำจากสงครามโลกครั้งที่สอง ทั้ง ลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ต่างได้รับความเสียหายอย่างหนักจากการทิ้งระเบิดของกองทัพนาซีเยอรมัน
ในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้ ฟุตบอลได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการฟื้นฟูและความสามัคคีของคนในชาติ
แม้ว่าการฟื้นตัวจะต้องใช้เวลา แต่ในที่สุดชีวิตก็กลับมาเป็นปกติ และความเป็นคู่แข่งระหว่างลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็พร้อมที่จะก้าวไปสู่ระดับใหม่ ในอีกหลายสิบต่อมา ทั้งสองทีมกลายเป็นมหาอำนาจที่แท้จริงของวงการฟุตบอลอังกฤษ
ฟุตบอลไม่ใช่แค่กีฬาอีกต่อไป มันคือสัญลักษณ์ของความหวังและการเริ่มต้นใหม่ การแข่งขันแต่ละนัดเป็นมากกว่าแค่การแย่งชิงชัยชนะ มันคือการแสดงให้เห็นถึงพลังแห่งการฟื้นฟูและความสามัคคีของคนในชาติ
จากเถ้าถ่านของสงคราม สู่ยุคทองของฟุตบอลอังกฤษ ศึกแดงเดือดได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้ ความมุ่งมั่น และความหวัง เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าแม้ในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุด มนุษย์ก็ยังสามารถหาแสงสว่างและความสุขได้จากสิ่งที่เรารัก
__________
ช่วงทศวรรษ 1940 และ 1950 ถือเป็นยุคแห่งการฟื้นฟูและการเติบโตของฟุตบอลอังกฤษหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ในขณะที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ภายใต้การนำของอดีตดาวเตะลิเวอร์พูล อย่าง แมตต์ บัสบี้ กำลังสร้างความยิ่งใหญ่ด้วยการคว้าแชมป์ลีกในปี 1956 และ 1957 และเริ่มต้นการผจญภัยในเวทียุโรป ก่อนที่จะเกิดโศกนาฏกรรมมิวนิก
ในปีถัดมา ลิเวอร์พูล กลับต้องตกต่ำลงไปอยู่ในดิวิชั่น 2 และต้องดิ้นรนเพื่อกลับคืนสู่ลีกสูงสุด
ทว่า จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในเดือนธันวาคม 1959 เมื่อ บิลล์ แชงคลีย์ เข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล การมาของเขาได้จุดประกายให้ "หงส์แดง" กลับมาผงาดอีกครั้ง
ด้วยวิธีการฝึกซ้อมและแทคติกอันชาญฉลาดของเขา ภายในปี 1968 ลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้กลายเป็นสองมหาอำนาจของวงการฟุตบอลอังกฤษอย่างแท้จริง โดยผลัดกันคว้าแชมป์ลีกในช่วงปี 1964-1967
อย่างไรก็ตาม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นทีมแรกที่ประสบความสำเร็จในระดับทวีปยุโรป ด้วยการคว้าแชมป์ยูโรเปียน คัพ ในปี 1968 โดยมี จอร์จ เบสต์, เดนนิส ลอว์ และ น็อบบี้ สไตล์ส เป็นกำลังสำคัญของทีม
ในขณะที่การมาของ บิลล์ แชงคลีย์ ในช่วงทศวรรษที่ 60 เป็นจุดเริ่มต้นของการกลับมาผงาดของ ลิเวอร์พูล การอำลาของ เซอร์ แมตต์ บัสบี้ ในปี 1969 กลับส่งผลตรงกันข้ามกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
"ปีศาจแดง" เริ่มสูญเสียผู้เล่นดาวดังและสถานะความยิ่งใหญ่ลงอย่างเห็นได้ชัด
การรักษาความยิ่งใหญ่ทั้งในประเทศและยุโรปเป็นเรื่องยากในโลกฟุตบอล
แต่ ลิเวอร์พูล สามารถทำได้ในช่วงสองทศวรรษต่อมา บ็อบ เพสลีย์ ผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากแชงคลีย์ พลิกโฉมทีมจากผู้ท้าชิงแชมป์มาเป็นแชมป์ที่ยากจะโค่นล้ม คว้าแชมป์ลีก 6 สมัย, ยูโรเปียน คัพ 3 สมัย, ยูฟ่า คัพ 1 สมัย และ ลีก คัพ 3 สมัย ตลอด 9 ปีที่คุมทีมในแอนฟิลด์
แน่นอนว่า คู่ปรับแห่งลุ่มแม่น้ำเมอร์ซีย์ไซด์และแมนเชสเตอร์ได้พบกันหลายครั้งในช่วงเวลานี้ ซึ่งน่าจดจำที่สุดคือ เอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศ ปี 1977 (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชนะ 2-1) และ ลีก คัพ รอบชิงชนะเลิศ ปี 1983 (ลิเวอร์พูลชนะ 2-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ)
ด้วยขุมกำลังระดับโลกอย่าง เคนนี่ ดัลกลิช, อลัน แฮนเซ่น, เกรแฮม ซูเนสส์ และ เอียน รัช ลิเวอร์พูลดูเหมือนจะไม่มีทางปล่อยให้ตำแหน่งแชมป์หลุดมือไปได้ง่าย ๆ
__________
ปี 2002 เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กล่าวถ้อยคำที่สะท้านวงการฟุตบอลว่า
"ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผมไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ แต่คือการโค่น ลิเวอร์พูล ลงจากบัลลังก์!"
ในตอนนั้น หลายคนมองว่าเป็นเพียงความฝันลม ๆ แล้ง ๆ เมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่ของลิเวอร์พูลในยุค 70 และ 80 แต่สุดท้าย เฟอร์กูสัน ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาไม่ได้พูดเล่น
ในฐานะแฟนลิเวอร์พูล การเขียนเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ต้องยอมรับความจริงว่าในปี 2011 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แซงหน้า ลิเวอร์พูล ขึ้นเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในอังกฤษ ด้วยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก
เฟอร์กูสัน นำพา "ปีศาจแดง" สู่ยุคแห่งความยิ่งใหญ่ ด้วยการคว้าแชมป์ลีก 13 สมัย ตั้งแต่ปี 1992 ถึง 2013 ช่วงเวลา 21 ปีที่ ลิเวอร์พูล ต้องจมปลักอยู่กับความว่างเปล่าไร้แชมป์ลีก
ชัยชนะในเอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศ ปี 1996 และยิ่งไปกว่านั้นคือการคว้า "ทริปเปิลแชมป์" ในปี 1999 เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการฟุตบอลอังกฤษ
__________
ปี 2015 เจอร์เก้น คล็อปป์ เข้ามาปลุกไฟคน ลิเวอร์พูล ไฟที่ไม่เคยมอดดับ มันแค่รอคอยใครสักคนเข้ามาเติมเชื้อไฟเท่านั้นเอง
"ได้โปรดขอเวลาเรา วันนี้จะเป็นวันที่พิเศษมากเลยถ้าเราอดทนมากพอ ในวันพิเศษของ ลิเวอร์พูล เราจะประสบความสำเร็จได้ ในอีก 4 ปีข้างหน้าผมอาจจะมานั่งตรงนี้แล้วบอกได้ว่า เราคว้าแชมป์ลีกได้ 1 สมัย หรือถ้าไม่อย่างนั้น ผมก็คงได้ไปคุมทีมในสวิตเซอร์แลนด์แล้วมั้ง"
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตามหลัง ลิเวอร์พูล ในช่วงที่ คล็อปป์ กุมบังเหียน พร้อมกับแชมป์ลีกที่รอคอยมานานกว่า 30 ปี
และศึกแดงเดือดที่น่าจดจำที่สุดในประวัติศาสตร์ กับชัยชนะถึง 5-0 ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด และ 7-0 ที่แอนฟิลด์ ความสุขในฐานะแฟนบอลท่านนึง มันล้นจนเกินจะบรรยาย
ช่วงเวลาที่รอคอย ช่วงเวลาแห่งความอิ่มเอม ผ่านไปแล้วในยุคสมัยหนึ่ง
__________
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะครับ แล้วพบกันกระทู้หน้าครับ
อ้างอิงจาก: บทความทั่วไป