นิทานสอนใจ: ชายชรากับก้อนเนื้องอกและเท็งงุ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น มีชายชราชาวบ้านสองคนอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันที่ตีนเขาแห่งหนึ่ง คนที่หนึ่งมีนามว่าทาโร่ เป็นคนนิสัยดี ชอบเล่นกับเด็กๆ เพราะทำให้นึกถึงลูกหลานที่ย้ายไปต่างเมืองเพื่อหางานแล้ว เขาอยู่คนเดียวเพราะภรรยาตายไปหลายปีก่อนหน้า เขามีก้อนเนื้องอกก้อนโตที่แก้มข้างขวาหนึ่งข้างมาตั้งแต่กำเนิด และก้อนเนื้อนี้หนักมากจนทำให้เขาปวดคอเวลาไปทำงาน จึงอยากจะหาวิธีตัดเอาก้อนเนื้อได้ แต่ด้วยการแพทย์ยุคนั้นที่ไม่ก้าวหน้า เขาจึงต้องทำใจยอมรับมันไว้
อีกคนหนึ่งเป็นชายชราที่เป็นม่ายเช่นกัน เขามีนามว่าจิโร่ แต่ชายชราคนนี้ขี้เมา ขี้เกียจ และชอบไล่ด่าทอคนที่มาหัวเราะเยาะเนื้องอกของเขา เขาเองก็อยากจะกำจัดเนื้องอกเช่นกัน
วันหนึ่งทาโร่แวะไปหาจิโร่เช่นเคยเพื่อชวนกันขึ้นไปหาขุดมันเทศบนภูเขามาขายที่ตลาดในหมู่บ้าน เมื่อเขาแวะไปที่บ้านก็เปิดประตูเข้าไปและเห็นจิโร่นอนก่าย ข้างตัวมีขวดเหล้าอยู่
"จิโร่เอ้ย อยากไปช่วยฉันขุดหัวมันไหมล่ะ? เราจะได้แบ่งกันกินแบ่งกันขายด้วย"
"ไม่เอาหรอก ฉันไม่อยาก ต้องมาขุดมันที่ไม่รู้จะได้เยอะไหมจนปวดเอวนี่ก็ไม่เอาล่ะ อยู่บ้านดื่มเหล้าสบายใจกว่า" ว่าแล้วจิโร่ก็หยิบเหล้ามากระดกดื่มต่อและพลิกตัวนอนหันก้นให้ทาโร่ไป ทาโร่จึงออกมาอย่างเงียบๆ และหยิบย่ามกับเสียมขุดเพื่อขึ้นไปบนภูเขา
เมื่อขึ้นมาบนภูเขา ตาเฒ่าทาโร่ก็แวะพักใกล้กับศาลเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ เขารู้ได้ว่าตรงนี้คือศาลของเทพอสูรครึ่งอีกาครึ่งคน ซึ่งชาวบ้านรู้จักในนาม "เท็งงุ" ในศาลไม้สีแดงนั้นมีรูปของเทพที่หัวเป็นอีกาตัวเป็นคนยืนอยู่ ทาโร่กราบไหว้และมองดูเทพอสูรผู้สง่างามสวมชุดเกราะดั่งโชกุนผู้ทรงเกียรติ เมื่อมองไปด้านข้าง เขาเห็นรูปปั้นหญิงสาวที่มีหัวเป็นอีกาในชุดผ้าไหมสีแดงแสนงดงามเอียงอยู่ นี่คงเป็นเจ้าแม่เท็งงุผู้เป็นภรรยาของท่านเท็งงุด้านซ้ายอย่างแน่นอน
ทาโร่รู้จักตำนานของเมืองของเหล่าเทพอสูรหัวอีกาเป็นอย่างดี เพราะทุกคนในหมู่บ้านอยู่กันมาโดยพึ่งบารมีของเทพอสูรเหล่านี้ทั้งสิ้น พวกเขาเคารพและตั้งศาสให้ เท็งงุในภูเขานี้ก็จะทำให้หมู่บ้านมีผลผลิตดีด้วยการสร้างลมและฝน และยังขับไล่โจรร้ายและปีศาจชั้นเลวทำให้หมู่บ้านปลอดภัยมาโดยตลอด ทาโร่ที่ศัทธาจึงเข้าไปข้างหลังแท่นบูชาของเจ้าแม่หัวอีกาแล้วออกแรงดันเล็กน้อยให้เทวรูปตั้งตรง
"เอาล่ะ เจ้าพ่อเจ้าแม่แห่งขุนเขาเอ๋ย ลูกช้างดันท่านให้กลับมาตั้งตรงแล้ว ขอให้ความดีนี้ข้าได้ขุดเจอมันเทศจำนวนมากด้วยเถิด" เมื่อกล่าวขอพรจบ ชายชราก็เก็บสัมภาระและเดินทางต่อ
วันนี้เอง เขากลับขุดมันได้จำนวนมาก จึงคิดว่าเขานั้นได้รับพรมาแล้ว ทาโร่ขุดมันจนลืมดูเวลา เมื่อแหงนดูท้องฟ้าก็เห็นว่าพระอาทิตย์ลับของฟ้าจนมืดค่ำไปแล้ว ทาโร่จึงเดินไปเรื่อยๆ ด้วยคบเพลิงกะว่าจะไปหยุดในจุดที่ปลอดภัย และแล้ว เขาก็เดินกลับมาที่ศาลแห่งเดิมและคิดจะนอนค้างตรงนี้ รอจนเช้าแล้วค่อยออกไป อย่างน้อยก็มีเทพอสูรคอยปกป้องให้อุ่นใจ
เมื่อชายชราพลอยหลับไปจนถึงช่วงเที่ยงคืน มีเสียงดังของกลอง ขลุ่ยดังขึ้นคล้ายวงมโหรี มีคนร้องระบำพร้อมกับเสียงกระพือปีกขนาดใหญ่ และมีเสียงของหญิงสาวอ่อนวัยกำลังหัวเราะอยู่ด้วยความครึกครื้น ชายชราตื่นขึ้นและลุกขึ้นมาดูด้วยความสงสัย
เมื่อชะโงกหน้ามา ก็เห็นเหล่าเทพอสูรเท็งงุ ไม่ได้มีหนึ่งตน แต่มีจำนวนมากราวกับเป็นกองทัพ มีเท็งงุตนหนึ่งที่สวมเกราะเหล็กแบบครบชุดกำลังกระดกเหล้า ข้างๆ กันนั้นมีหญิงสาวสวยที่มีหัวเป็นอีกานั่งคลอเคลียอยู่ คงจะเป็นหัวหน้าของเท็งงุและภรรยาของเขาเป็นแน่ ทั้งหมดทั้งกินดื่มตามเสียงเพลงที่เหล่าสมุนเท็งงุบรรเลงกันอยู่อย่างครึกครื้น
ด้วยจังหวะเพลงสุดเร้าใจ ทาโร่กลับทนไม่ไหวและเริ่มเข้ามาเต้นด้วย ชายชราโยกย้ายอย่างงดงามและเผลอปรากฏตัวเข้ามา เหล่าเท็งงุตกใจมากจนจะหยุด แต่เจ้าแม่เท็งงุที่เห็นการโยกย้ายของชายชราก็รู้สึกสนุกและขอให้วงดนตรีของนางเต้นต่อ ผู้เป็นสามีก็ชอบใจในลีลาของทาโร่เช่นกัน พวกเขาจึงได้เต้นต่อไปจนจบเพลง เมื่อดนตรีหยุดลง ทาโร่ที่เห็นว่าตนถูกเหล่าเท็งงุล้อมเอาไว้ก็ตกใจจนล้มลงกับพื้น
"ไม่ต้องตกใจไปท่าน ข้าคือเท็งงุแห่งภูเขานี้ เป็นผู้อารักขาภูเขาแห่งนี้ในมิติลับแล ข้าเห็นและคุ้นเคยกับท่านมาตั้งแต่ท่านยังหนุ่มแล้ว" หัวหน้าเท็งงุกล่าวขึ้น ทาโร่ที่รู้สึกไม่กลัวก็ยอมกลับมานั่งพับเพียบอย่างเรียบร้อย
"ลีลาของท่านยอดเยี่ยมไปเลยนะ ท่านไปเรียนมาจากที่ไหนเหรอ?" ภรรยาของหัวหน้าเท็งงุถามขึ้น
"เจ้าแม่ ข้าน้อยฝึกฝนมาตั้งแต่หนุ่มๆ แล้วขอรับ การเต้นช่วยให้จิตใจเบิกบาน ข้าจึงชอบเต้นน่ะขอรับ" ทาโร่กล่าวไป
"งั้นก็มาดื่มด้วยกันสิ วันนี้วันครบรอบวันแต่งงานของข้ากับภรรยา เราจัดกันสองคืนน่ะ งานเลี้ยงคืนแรกเริ่มแล้วนะ มาสิ ข้าเลี้ยงเอง" เมื่อได้ฟังที่เจ้าพ่อเท็งงุกล่าว ชายชราตอบรับและมานั่งที่ม้านั่ง แต่เขาก็มีมารยาทดี เขานั่งข้างล่างและนั่งฝั่งซ้ายแทนการนั่งทางขวาให้ห่างจากภรรยาของท่านเท็งงุ อหนึ่งว่าหญิงที่มีสามีแล้วไม่ควรไปนั่งใกล้เพื่อไม่ให้เสียมารยาท
"ข้าเห็นท่านมาตั้งแต่เย็นแล้ว ท่านเป็นคนดี ไม่เคยเอาชีวิตสัตว์และเอาแต่พืชป่าเท่านั้น แถมยังมีน้ำใจช่วยดันเทวรูปของภรรยาของข้าขึ้นมาอีก มีอะไรให้ข้าช่วยก็บอกมาได้นะ" ท่านหัวหน้าเท็งงุกล่าวขึ้น
"อ่า... นั่นสินะ เอาอะไรดีนะ"
"เอ๊ะ ท่านพี่ ข้าอยากรู้อยากได้ก้อนกลมๆ ที่แก้มของชายผู้นั้นจังเลย" ภรรยาของหัวหน้าเท็งงุชี้ขึ้น
"เอ่อ...ท่านเจ้าแม่ขอรับ ก้อนเนื้อนี้เป็นสิ่งที่ติดกับหน้าของข้ามาตั้งแต่กำเนิด ไม่มีใครผ่ามันออกมาให้ข้าได้อย่างปลอดภัยหรอกขอรับ แล้วถึงเอาไปก็เอาไปทำอะไรไม่ได้"
"หึๆ อย่ากังวลไปเลย ข้าช่วยเจ้าเอาก้อนเนื้อนั่นออกมาได้นะ และสำหรับชาวเท็งงุแล้ว เราสามารถเพิ่มมูลค่าได้ด้วยคาถามายาของพวกเรา ก้อนเนื้อนั่นจะเป็นของขวัญที่ดีแน่นอน" เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ชายชราพยักหน้าตกลงที่จะรับการตัดก้อนเนื้อ เพราะถ้าทำให้เทพทั้งสองพอใจก็คงจะดีไม่น้อย
เมื่อเริ่มการผ่า ท่านหัวหน้าเท็งงุพนมมือขึ้นบริกรรมคาถาลงไปที่ใบดาบขึ้นมา เหล่าลูกสมุนจับชายชรานอนหงายและกดตัวของเขาเอาไว้ไม่ให้ดิ้นจนเกิดอันตราย เพียงแค่ใบดาบกดผ่าลงแล้วใช้แรงนิดเดียว ก้อนเนื้อนั้นกลิ้งออกมาเป็นก้อนกลมๆ ใบหน้าของทาโร่ไม่มีแผลหรือเลือดไหลเลย ตอนนี้เขารู้สึกบางเบาและสบายมากๆ และในที่สุด เขาก็จะได้มีใบหน้าเช่นเดียวกับคนธรรมดาสักที
"โอ้ ขอบคุณมากขอรับ! ในที่สุดข้าก็ได้มีใบหน้าเช่นคนอื่นแบบเขาสักที!" ทาโร่โห่ร้องด้วยความดีใจและก้มลงคำนับให้กับเทพทั้งสองตรงหน้า เมื่อหัวหน้าเท็งงุส่งก้อนเนื้อให้ภรรยาของตนถือ ก้อนเนื้อนั้นกลายเป็นลูกแก้วสุกใสสว่างทันที
"แปลงเป็นลูกแก้วเสียด้วย!" ทาโร่อุทาน
"ไม่ใช่ลูกแก้วธรรมดา เป็นลูกแก้วอาคมที่จะคอยอวยพรให้โชคแก่ท่านผู้เฒ่านะ ขอจากนี้ไปท่านจนดำรงอยู่ในศีลธรรมและใช้ชีวิตอย่างสุจริตเถิด แล้วสิ่งดีๆ จะตกแก่ท่าน ตอนนี้มืดมากแล้วและพวกเราจะต้องกลับยังที่พำนักแล้ว เราจะให้สมุนหนึ่งคนนำท่านไปส่งถึงบ้านนะ"
"ขอบใจท่านเจ้าพ่อเจ้าแม่มากเลยขอรับ ข้าสัญญาว่าข้าจะเป็นคนดีมีแต่ความสุจริตตลอดไป"
เมื่อกล่าวจบ ชายชราก็แบกสัมภาระเดินไปทางลูกน้องของเท็งงุที่เจ้าแม่เลือกมาให้ เขาคนนั้นร่ายคาถาเปลี่่ยนร่างของเขากลายเป็นอีกาตัวใหญ่เท่าวัว ชายชราขึ้นหลังของนกนั้นแล้วออกขึ้นบินข้ามภูเขาในยามราตรีจนมาถึงบ้านของตนในที่สุด แล้วเมื่อหลงจากหลังของเท็งงุจำแลง เขาคำนับพลางมองเท็งงุที่บินหายไปในความมืดของท้องฟ้ายามราตี
เมื่อทาโร่ได้เล่าข่าวลือนั้นให้กับทุกคนฟัง พวกชาวบ้านที่ศัทธาก็ขึ้นไปไหว้มากขึ้น มีเพียงจิโร่ที่รู้สึกว่าทาโร่นั้นเพ้อเจ้อ แต่ถ้าการเสี่ยงลองขึ้นไปดูที่ภูเขาช่วยให้เขากลับมามีใบหน้าปกติก็คุ้มค่า เมื่อตกเย็นจิโร่จึงหอบแค่ขวดเหล้าขึ้นไปรอหน้าศาลยามเที่ยงคืนตามที่ทาโร่เคยบอกไว้ พลางที่รอก็ดื่มเหล้าจนเมามายทำศาลเลอะเทอะจากขวดเหล้าและน้ำเหล้าที่กองไว้จนศาลสกปรกไปหมด
เมื่อรอ ก็มีเสียงดนตรีและเจ้าพ่อเจ้าแม่ตามมาพร้อมกับสมุนอีกสิบออกมาจัดงานเลี้ยงกันเป็นวันที่สอง จิโร่ที่ตอนนี้เมาได้เดินดุ่มๆ เข้าไปแล้วเริ่มเต้นท่าทางน่าเกลียดลามกจนแทบจะทำกางเกงหลุดเป็นที่อุดจาดตามาก ทำให้หัวหน้าเท็งงุที่เห็นชายคนนี้ถึงกับเลิกคิ้วยด้วยความโกรธที่มีคนมาถล่มงานเลี้ยงของตน เมื่อจิโร่เซไปเห็นลูกแก้ววิเศษที่ภรรยาของท่านเท็งงุถืออยู่บวกกับความเมาที่เห็นความงดงามนั้น เขาจึงเกิดความกลัดมันและความโลภวิ่งตรงเข้าไปกระโดดกอดเจ้าแม่เท็งงุพลางจะลวนลามและเอาลูกแก้ว โชคดีที่หัวหน้าเท็งงุเข้ามาจับตัวเขาทุ่มหัวกระแทกพื้นจนได้สติกลับมา
"อ้าก! เท็งงุ เจ้าพ่อเจ้าแม่ ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย!" ชายชราร้องด้วยความหวาดกลัว
"หน็อย! เจ้าไม่ใช่คนเมื่อวานนี่นา แถมยังกล้ามาป่วนงานของข้ากับจะทำร้ายขืนใจภรรยาของข้าอีก มันยอมไม่ได้แล้ว!" เจ้าพ่อเท็งงุชักดาบเตรียมจะตัดหัวชายชราไป
"ไว้ชีวิตข้าด้วย!"
"เรื่องอะไรต้องไว้ชีวิต ข้าเห็นแล้วว่าเจ้าขึ้นมาที่ศาลเมื่อหัวค่ำ เอาเหล้ามาดื่มเมาเละเทะจนศาลเหม็นหึ่ง คิดว่าพวกเราไม่ตาหูจมูกทิพย์รึไง!" เจ้าแม่เท็งงุกล่าวตวาดใส่ชายชราที่นอนขดตัวด้วยความกลัว
"ดีล่ะ ในเมื่อเจ้าทำลายความสงบ งั้นข้าจะสาปแช่งให้เจ้าไม่มีความสงบสุขในชีวิต และโทษฑัณท์ของการลวนลามภรรยาของข้านั้นก็เกินให้อภัย ข้าจะไม่สังหารเจ้าละกัน แต่ว่า... ถ้าอยากได้ลูกแก้วนั้นก็ย่อมได้!"
เมื่อพูดจบ เหล่าเท็งงุก็จับจิโร่ตรึงกับพื้นหงายขึ้นบน ลูกแก้วถูกนำไปวางนาบข้างแก้มอีกฝั่งทำให้แก้มข้างที่ไม่มีก้อนเนื้อกลับปูดขึ้นมาในทันทีพร้อมกับลูกแก้วที่คืนสภาพกลับเป็นก้อนเนื้อ ตอนนี้ชายชรามีก้อนเนื้อสองก้อนติดแก้มทั้งสองข้างดูอัปลักษ์ยิ่งกว่าเดิม เจ้าพ่อเท็งงุร่ายคาถาแล้วทุบไปที่พื้นดินสร้างลมกระแทกพัดชายชราผู้นั้นลอยหายไปในหมื่นลี้ไม่ถูกพบเห็นอีกเลย
นับจากวันนั้นมา เหล่าชาวบ้านและทาโร่ผู้ใจดีก็กลับมาบูชาศาลเท็งงุนั้นเช่นเคย โดยไม่ทราบว่าจิโร่นั้นได้หายตัวไปแบบไม่ทราบว่าเป็นตายร้ายดีเช่นไร แต่พวกเขาก็จะดำรงอยู่ด้วยความสุจริตตลอดไปและอยู่อย่างเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธ์เช่นนี้อีกตามเคย