หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

11 คำถามที่ต้องถามตัวเองก่อนตัดสินใจเริ่มธุรกิจ

เนื้อหาโดย machete007

 

สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าเจ้าของธุรกิจนั้นอาจจะไม่เหมือนกับคนที่ทำงานประจำ ฉะนั้นอยากให้ทุกคนที่มีความฝันหรือตั้งใจจะออกมาทำธุรกิจของตัวเองได้ลองตั้งคำถามเหล่านี้กับตัวเองก่อน

 

1.ทำไมเราต้องเริ่มทำธุรกิจของตัวเอง ทุกคนที่อยากเป็นเจ้าของธุรกิจ อาจไม่ใช่คนที่เหมาะกับการเป็นเจ้าของธุรกิจ คำถามแรกที่อยากให้ถามตัวเองเลยก็คือ ทำไมเราต้องเริ่มทำธุรกิจของตัวเอง?

เพราะ...เราอยากได้รายได้ที่มากขึ้นกว่าปัจจุบัน?

เราเห็นเพื่อนทำธุรกิจแล้วประสบความสำเร็จเลยอยากเป็นแบบนั้นบ้าง? เราอยากมีเวลาเป็นอิสระ อยากไปไหนมาไหนก็ได้? เราเบื่อกับการทำงานเป็นลูกน้องที่ต้องคอยมีปัญหากับหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงานตลอด? เราอยากหาอาชีพเสริมเพิ่มเติมจากงานประจำ?

 

  1. เราพร้อมจะอยู่กับสิ่งนี้เป็นเวลาหลายปีหรือเปล่า

เวลาเราทำงานประจำแล้วไม่ชอบงานหรือไม่ชอบเพื่อนร่วมงาน เรายังมีโอกาสที่จะลาออกไปหางานใหม่ได้ตลอด แต่เมื่อไหร่ที่เราตัดสินใจมาเป็นเจ้าของธุรกิจแล้ว เราไม่สามารถลาออกจากธุรกิจของตัวเราเองได้ เว้นแต่เราจะตัดสินใจปิดธุรกิจของเราเพราะขาดทุนหรือไม่อยากทำต่อแล้ว แต่นั่นก็หมายถึงเงินลงทุนที่เราลงไปทั้งหมดก็จะหายวับไปกับตา รวมถึงทีมงานที่อยู่กับเราก็จะต้องตกงาน

ก่อนที่เราจะตัดสินใจเริ่มต้นธุรกิจอะไรก็ตาม ไม่อยากให้คิดถึงแต่ตอนเริ่มธุรกิจที่ดูจะมีแต่ความสนุก ตื่นเต้นกับสิ่งใหม่ ๆ ที่ต้องเจอเพียงอย่างเดียว อยากให้คิดถึงวันที่เราต้องอยู่เฝ้าร้านเป็นปี ๆ

โดยไม่ได้ออกไปเจอเพื่อน อยากให้คิดถึงวันที่เราไม่มีลูกค้าเลย วันที่เรารู้สึกอิ่มตัวกับธุรกิจที่กำลังทำอยู่แล้ว เพราะการทำธุรกิจไม่ได้มีแต่ช่วงเวลาที่มีความสุขเสมอไป

 

 

  1. เรามีความรู้ความเข้าใจในการทำธุรกิจมากน้อยแค่ไหน การเป็นเชฟที่เก่งไม่ได้การันตีว่าจะทำธุรกิจร้านอาหารได้ดี การเป็นหมอที่เก่งก็อาจไม่ใช่เจ้าของคลินิกที่ประสบความสำเร็จเสมอไป เพราะขึ้นชื่อว่าธุรกิจมันไม่ได้มีแต่เรื่องสินค้าและบริการ

แต่ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ประกอบกันอีกมากมาย

ต่อให้เราจะทำสินค้าได้ดีแค่ไหน แต่ถ้าเราไม่สามารถบริหารทีมงานให้ทำงานแทนเราได้ เราไม่รู้วิธีการทำการตลาดออนไลน์เพื่อเข้าถึงลูกค้าใหม่ ๆ หรือเราสนใจแต่การผลิตสินค้าจนละเลยเรื่อง

ต้นทุนสินค้าและราคาขายที่เหมาะสม ธุรกิจของเราก็อาจเป็นธุรกิจที่มีสินค้าดี แต่ผลประกอบการไม่เป็นไปตามเป้าหมายก็เป็นได้

ฉะนั้น ก่อนเริ่มต้นทำธุรกิจ อยากให้ถามตัวเองให้ชัดว่า เรามีความรู้ในด้านที่จำเป็นต่อธุรกิจมากน้อยแค่ไหน เพื่อที่เราจะได้พัฒนาตัวเองให้เป็นเจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จได้ในอนาคต

 

4.เราพร้อมที่จะเหนื่อยและเจอปัญหาตลอดเวลาหรือเปล่า วางมือจากงานแล้วออกไปใช้ชีวิตได้ หรือตอนที่เพื่อนร่วมงานเราลา ตอนที่เราทำงานประจำ พอวันหยุดเสาร์อาทิตย์เราก็สามารถ

ออกก็อาจไม่ได้กระทบกับการทำงานของเรามากนัก แต่พอเรามาเป็นเจ้าของธุรกิจ เราจะไม่สามารถสนใจเฉพาะตำแหน่งงานของเราเพียงอย่างเดียวได้อีกต่อไป เพราะปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับธุรกิจนั้น ก็คือปัญหาของเราด้วย เขาถึงบอกกันว่าเป็นพนักงานประจำ ภาระหน้าที่อาจอยู่แค่จันทร์ถึงศุกร์ 9.00-17.00 น. แต่พอเป็นเจ้าของธุรกิจภาระหน้าที่ของเราคือ 24 ชม. 7 วัน

 

 

  1. เราเป็นคนที่รู้ลึก รู้กว้างในธุรกิจที่จะทำมากน้อยแค่ไหน รู้สึกในธุรกิจอย่างเดียวไม่พอ จะต้องรู้กว้างในเรื่องอื่น ๆ ด้วยแล้วตามให้ทันความเปลี่ยนแปลงของโลก จึงจะขับเคลื่อนธุรกิจไปได้อย่างราบรื่น และประสบความสำเร็จ การทำธุรกิจไม่ได้มีแค่เรื่องสินค้าหรือบริการเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องประกอบด้วยบัญชี การเงิน การขาย การตลาด การพัฒนาผลิตภัณฑ์ ฯลฯ รวมไปถึงเราต้องรู้เรื่องเศรษฐกิจ การเมือง การปกครองในภาพรวมด้วย เพราะเรื่องเหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

 

หลายคนคงเคยได้ยินว่า ความรู้จากการเรียนในมหาวิทยาลัยที่สามารถนำไปใช้ได้กับการทำงาน หรือการทำธุรกิจอาจจะมีไม่ถึง 5% ด้วยซ้ำ

ให้ถามตัวเองก่อนว่า...เราเป็นคนชอบหาความรู้ใหม่ ๆ ตลอดเวลาหรือเปล่า เราต้องมีความรู้ที่จะนำมาใช้ในชีวิตจริงได้ต้องตามให้ทันความเปลี่ยนแปลง แล้วสักวันเราจะเป็นคนที่สร้างความเปลี่ยนแปลงขึ้นมาเอง จำไว้เสมอว่า ลูกค้าไม่ได้ซื้อของด้วยเหตุผลเสมอไป ลูกค้าจำนวนมากซื้อของด้วยอารมณ์ ดังนั้นเราต้องเล่าเรื่อง (Story Telling) ได้ การหาความรู้มาใส่ตัวมาก ๆ ติดตามข้อมูลข่าวสารจากช่องทางต่าง ๆ และการอ่านหนังสือมาก ๆ จะทำให้เรามีเรื่องใหม่ ๆ มาเล่าได้ตลอดเวลา ฉะนั้น ถ้าเราอยากเริ่มธุรกิจ ต้องถามตัวเองว่า....เราพร้อมเรียนรู้เรื่องที่ยังไม่รู้ไหม?

ธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และปัจจุบันเปลี่ยนแปลงในอัตราเร่งที่เร็วกว่าแต่ก่อนมาก

ดังนั้น เราต้องปรับธุรกิจให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงด้วย เตือนตัวเองไว้เสมอว่า...ถ้าอยากได้ผลลัพธ์ใหม่ อย่าทำแบบเดิม

 

6.เราชอบตัดสินใจอะไรด้วยตัวเองหรือไม่

ตัวเอง ไม่เหมือนตอนเราเป็นลูกจ้าง ที่จะมีฝ่ายต่าง ๆ รับผิดชอบในการเป็นเจ้าของธุรกิจ หมายถึงเราต้องรับผิดและรับชอบด้วย แต่ละเรื่องเป็นหน้าที่ของเจ้าของกิจการที่ต้องตัดสินใจไม่ว่าจะตัดสินใจ

ถูกหรือผิด เพราะการไม่ตัดสินใจ ก็ถือเป็นการตัดสินใจอย่างหนึ่ง ซึ่งผลของการไม่ตัดสินใจจะทำให้เรื่องต่างๆ ค้างคาอยู่ หรือถ้าเป็นปัญหาที่ไม่ได้ตัดสินใจดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งปัญหานั้นก็อาจจะลุกลามบานปลาย กลายเป็นปัญหาที่ใหญ่ขึ้นได้ ถ้าเราเป็นคนประเภทชอบรับคำสั่ง ชอบทำตาม เราอาจจะไม่เหมาะกับการเป็นเจ้าของธุรกิจ

ในกรณีที่เรามีหุ้นส่วน แม้ว่าเราแบ่งความรับผิดชอบกันไปแล้ว แต่ในบางเรื่องเราก็ต้องมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ มีส่วนร่วมในการออกความคิดเห็นอยู่ดี ไม่ใช่อะไรก็ได้ มันคือการตัดสินใจร่วมกัน ถ้าเราปล่อยให้หุ้นส่วนตัดสินใจ แล้วผิดพลาดก็โทษเขาไม่ได้ เพราะเราให้อำนาจเขาในการตัดสินใจไปแล้ว

 

 

7.เรามีศักยภาพรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหนคงไม่มีใครอยากเริ่มต้นธุรกิจแล้วนึกถึงวันที่เจ๋งถูกไหม แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ทำธุรกิจแล้วจะประสบความสำเร็จ ในตลาด ร้านอาหารมีคนประสบความสำเร็จในธุรกิจนี้ไม่เกิน 10% เท่านั้น

นั่นหมายถึง 9 ใน 10 จะล้มเหลวตอนที่เราเริ่มต้นทำธุรกิจอยากให้คิดถึงการลงด้วย อย่าคิดถึงแต่ตอน Take Off แล้วไม่เคยคิดว่าจะลงยังไง เราต้องรู้ว่าเรารับความเสี่ยงในธุรกิจได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าวันหนึ่งธุรกิจไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราคิด เรายังจะมีเงินทุนก๊อกสองเพื่อเริ่มต้นใหม่หรือเปล่า หรือเราใช้เงินทุนจนหมดหน้าตัก เอาเงินทั้งหมดที่มีมาลงทุนกับธุรกิจที่ทำ ซึ่งถ้าวันหนึ่งมันเจ๋งไปไม่รอด เราจะอยู่ต่อไปได้ยังไง

อย่ารอให้เงินหมดแล้วค่อยออกจากธุรกิจ ให้ออกจากธุรกิจก่อนเงินจะหมด เพราะเราจะได้เหลือเงินก้อนหนึ่งเพื่อไปทำธุรกิจอื่นต่อได้

 

8.เราเป็นคนมีวินัยในการทำงานมากน้อยแค่ไหน

ตอนเราเป็นพนักงานประจำ บริษัทก็จะมีกฎระเบียบออกมาเพื่อให้ทุกคนในองค์กรปฏิบัติ และอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็นการขาดลามาสาย การเข้าออกงาน การสรุปรายงานประจำเดือนของงานที่ทำ แต่พอเรามาทำธุรกิจเอง ก็เหมือนกับเราเป็นฟรีแลนซ์ที่ไม่มีใครมาควบคุมว่าต้องตื่นกี่โมง วันไหนต้องทำอะไร จะไปไหน แต่นั่นหมายถึงว่าถ้าหากเราเป็นคนที่ไม่มีวินัยในการทำงาน หรือไม่มีการวางแผนการทำงานอย่างเป็นระบบแล้ว

ผ่านไปเดือนหนึ่งเราอาจไม่มีอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันเลยก็ได้ รายได้ของเรานั้นก็ขึ้นอยู่กับผลการทำงานของเราทุกวินาทีที่เราไม่ทำงาน มันคือทุกวินาทีที่รายได้จะหายไป

ฉะนั้นถ้าเราเป็นคนไม่มีวินัย เราอาจจะไม่เหมาะกับการเป็นเจ้าของธุรกิจก็ได้ วิธีการทำงานของเจ้าของธุรกิจ มันคือ การควบรวมเวลาส่วนตัวกับเวลางานเข้าไปด้วยกัน ที่เรียกว่า Work Life Integration คือ วันนี้เราอาจทำงานจนดึก วันรุ่งขึ้นอาจจะมีเวลาไปย่อยความคิดที่ร้านกาแฟ แล้วค่อยเข้าออฟฟิศตอน 10 โมง 11 โมงก็ได้ แต่อย่าง

น้อยให้รู้ไว้ว่าการเป็นเจ้าของธุรกิจ คือ การที่เราต้องมีวินัยต่อตัวเองเป็นอย่างมาก

 

 

9.เรารู้โครงสร้างต้นทุนในธุรกิจหรือเปล่า

โครงสร้างต้นทุนในธุรกิจของเราประกอบด้วยต้นทุนหลัก ๆอะไรบ้างธุรกิจประเภทค้าปลีกประเภทร้านอาหารร้านขายของ ต้นทุนหลักอย่างหนึ่ง คือ ค่าเช่า และค่าวัตถุดิบ ฉะนั้น ต้องเข้าใจว่าโดยเฉลี่ยแล้วสัดส่วนต้นทุนเหล่านี้ในธุรกิจของเราอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่หรือกี่เปอร์เซ็นต์ เป็นต้นทุนคงที่หรือต้นทุนที่ผันแปรตามยอดขาย

ในบางธุรกิจค่าเช่าอาจถูก ค่าต้นทุนสินค้าอาจแพง บางธุรกิจต้นทุนสินค้าไม่มาก แต่ต้นทุนการบริการ หรือต้นทุนค่าแรงอาจสูง ซึ่งเราต้องรู้ว่า ค่าแรงโดยเฉลี่ยในธุรกิจนี้อยู่ที่เท่าไหร่

วันที่เราเข้ามาในธุรกิจ เราต้องเข้าใจต้นทุนตรงนี้ทั้งหมด เมื่อนำมาวิเคราะห์โครงสร้างต้นทุน เราจะเปรียบเทียบกับตลาดได้ว่าเราทำได้ดีกว่าตลาด หรือเราทำแย่กว่าตลาดตรงไหน และจุดไหนที่

เราต้องปรับปรุงการรู้โครงสร้างต้นทุนธุรกิจ (Cost Structure) เป็นวิธีการ วิเคราะห์ต้นทุน ซึ่งแยกรายการต้นทุนของผลิตภัณฑ์ หรือบริการหนึ่ง ๆ ออกเป็นหมวดต่าง ๆ เช่น ต้นทุนค่าเช่า ต้นทุนแรงงาน ต้นทุนสาธารณูปโภค ต้นทุนสินค้า ต้นทุนการตลาด ต้นทุนค่าขนส่ง ฯลฯ

 

การรู้โครงสร้างต้นทุนธุรกิจที่เราทำอยู่ และสามารถแยกออกมาเป็นหมวดหมู่ต่างๆ ได้ชัดเจน รวมถึงรู้ค่าเฉลี่ยในตลาดในแต่ละหมวดหมู่ว่าอยู่ประมาณเท่าไหร่ จะทำให้เรารู้ว่าอะไรที่เราทำได้ดีอยู่ แล้วอะไรที่เราต้องรีบปรับปรุง

 

เพราะถ้าเราไม่ทำเช่นนั้นอาจทำให้เรามองต้นตอของปัญหาผิด และอาจส่งผลกระทบต่อการแก้ไขธุรกิจได้การเป็นพนักงานที่เก่งไม่ได้หมายถึงจะเป็นเจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จและเจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จก็อาจมาจากพนักงานประจำธรรมดาคนหนึ่ง

 

เช่นเดียวกัน สิ่งเดียวที่จะการันตีการประสบความสำเร็จ คือการเรียนรู้ลงมือทำอย่างมีกลยุทธ์ และการไม่ยอมแพ้ต่อปัญหาต่าง ๆ ที่เข้ามาเท่านั้น

 

 

10.เรามีแต้มต่ออะไรบ้างในธุรกิจ

การทำธุรกิจปัจจุบัน ไม่มีคำว่าแฟร์อีกต่อไป เราอาจจะบอกว่าร้านนี้ตัดราคาเรา ธุรกิจนี้กินรวบ แบรนด์นี้ได้เปรียบเพราะเป็นของทุนใหญ่ หรือเพราะคนนี้ที่บ้านมีเงินเลยมาทำธุรกิจนี้ได้ เราอาจ

พูดอะไรก็ได้ แต่ในมุมของลูกค้า ลูกค้าสนใจแค่ว่า เขาได้สินค้าและบริการดีที่สุด ในราคาที่เขาพอใจจ่ายหรือเปล่า

ถึงจะบอกว่า เราเป็นคนที่จริงใจ เป็นคนที่เข้าใจลูกค้ามาก แต่ถ้าสิ่งที่เราทำ ลูกค้าไม่สามารถสัมผัสได้ สิ่งเหล่านี้ก็ไม่มีประโยชน์

ทางบ้านเราอาจมีตึกแถวให้เช่าอยู่ใจกลางสุขุมวิท เลยทำให้เราสามารถเปิดร้านโดยมีค่าเช่าถูกกว่าคนอื่นอันนี้ก็ถือเป็นแต้มต่อในการทำธุรกิจ หรือเราอาจจะมีธุรกิจของพ่อแม่ ที่มาสนับสนุนหรือต่อยอดในธุรกิจที่กำลังจะทำ ทำให้เรามีซัพพลายอย่างต่อเนื่อง

ในขณะที่คู่แข่งอาจจะไม่มีตรงนี้ จุดนี้ก็ถือเป็นแต้มต่อในธุรกิจหรือเราเป็น Youtuber หรือ Blogger ชื่อดังที่มีผู้ติดตามอยู่มากกว่า 500,000 คน แล้ววันหนึ่งเรามาทำธุรกิจขายของออนไลน์ อันนี้ก็เป็นแต้มต่อในธุรกิจเช่นเดียวกัน ฉะนั้น หาให้เจอว่าอะไรคือแต้มต่อของเรา และเอาสิ่งนั้นมาต่อยอดให้เป็นจุดขายหรือข้อได้เปรียบทางธุรกิจ

 

 

11.เรามีจุดแข็งอะไรในธุรกิจ

 คำว่า “จุดแข็ง” คือ จุดที่ดีกว่าคู่แข่ง ไม่ใช่บอกว่าจุดแข็งของเราคือ เราทำอาหารอร่อย แต่พอลูกค้าไปกินที่ร้านคู่แข่ง แล้วบอกว่าร้านคู่แข่งอร่อยกว่า จุดแข็งของเราจะกลายเป็นจุดอ่อนทันที

 

ถ้าบอกว่าเราให้บริการได้รวดเร็วภายใน 20 นาที แต่ถ้าคู่แข่งของเราให้บริการได้ภายใน 10 นาที จุดแข็งของเราจะกลายเป็นจุดอ่อนทันทีเช่นกัน

 

เราต้องเข้าใจว่า จุดอ่อน จุดแข็ง เกิดจากการเปรียบเทียบกับคนอื่นเสมอ การที่บอกว่าธุรกิจของเรามีจุดแข็งอะไร เราต้องเปรียบเทียบกับคู่แข่งทั้งหมดในตลาด เพื่อให้มั่นใจว่า นี่คือจุดแข็งของเราจริงๆ คิดง่ายๆ ว่า อะไรที่เราทำได้ง่าย ๆ หรือทำได้ดีกว่า ใช้ทรัพยากรน้อยกว่า ในขณะที่คู่แข่งของเราทำได้ยาก ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก หรือมีต้นทุนที่สูง สิ่งนี้แหละเป็นจุดแข็งของเรา

 

 

ทำไมถึงพูดถึงจุดแข็ง

ทำไมไม่พูดถึงจุดอ่อน

เพราะไม่มีใครเอาชนะสงครามโดยการลบจุดอ่อน มีแต่คนที่หาจุดแข็งของตัวเองเจอ และสร้างจุดแข็งให้แข็งกว่าคู่แข่ง แล้วเอาสิ่งนั้นมาเป็นจุดขาย ส่วนจุดอ่อน ถ้าเรารู้ก็ค่อยๆขจัดออกไปเพื่อไม่ให้คู่แข่งเอาจุดอ่อนนั้นมาตีเราและเมื่อไหร่จุดแข็งนั้นเราทำได้ดีมาก ๆ และชัดเจนในมุมของลูกค้า จากจุดแข็งจะกลายมาเป็นจุดขายในธุรกิจทันที

 

แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องระวังให้มาก ๆ คือ หลายสิ่งที่เราคิดว่าสิ่งนี้คือจุดแข็งของเรา แต่เรากลับไม่เคยไปดูคู่แข่งเลย กลายเป็นว่าจุดแข็งที่เราพยายามนำเสนอกลับสู้คู่แข่งไม่ได้ จากจุดแข็งเลยกลายเป็นจุดอ่อนทันที

เนื้อหาโดย: machete007
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
machete007's profile


โพสท์โดย: machete007
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
ด่วน! เลื่อนประกาศผลลงทะเบียนเงินดิจิทัล 10,000 บาท รมช.คลังเผยสาเหตุโหนกระแสเดือด! "ครูเบญ" สอบติดครูแต่ชื่อหาย ผอ.แจงกลางรายการ คนดูงงหนัก!สวยแต่มีพิษ แมงกระพรุน Carabelaวุ่นสนามบิน! สาวนอนโพสต์ท่าบนสายพานสัมภาระ ทำชาวเน็ตวิจารณ์สนั่นรีวิวหนังดัง JOKER โจ๊กเกอร์จงอางยักษ์!บุกเล้าหวังเขมือบไก่ ถูกตาข่ายพันยังไม่สิ้นฤทธิ์ผักกะโดน โดนใจ"กระบี่ไร้เทียมทาน" แต่โชคชะตาของ ‘ฮุ้นปวยเอี๊ยง’ นั้นแสนอาภัพ"มัสก์" เผยไม่สนว่าใครจะฆ่า "ทรัมป์" หรือ "แฮริส"
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
ผอ. อ้าง ‘ครูเบญ’ สอบไม่ผ่านแต่แรก จนท.ทำข้อมูลชื่อที่ 1 ผิดโหนกระแสเดือด! "ครูเบญ" สอบติดครูแต่ชื่อหาย ผอ.แจงกลางรายการ คนดูงงหนัก!โหนกระแสวันนี้ อย่างเดือด!!!! ครูเบญ มาเรียกร้องขอความเป็นธรรม จากที่มีชื่อว่าสอบได้ที่ 1 ผ่านไป 3 วันชื่อหาย กลายเป็นชื่อคนอื่นมาแทนวุ่นสนามบิน! สาวนอนโพสต์ท่าบนสายพานสัมภาระ ทำชาวเน็ตวิจารณ์สนั่นรีวิวหนังดัง JOKER โจ๊กเกอร์
กระทู้อื่นๆในบอร์ด สาระ เกร็ดน่ารู้
'บาร์ตี้ เคร้าช์' กว่าจะสำนึกได้ก็สายเกินไปแล้ว!"สเนปกับเบลลาทริกซ์" โวลเดอมอร์เชื่อใจใครมากที่สุด?นอนตะแคงซ้ายหรือขวา? ผู้เชี่ยวชาญไขข้อข้องใจ ท่านอนไหนดีต่อสุขภาพมากกว่ากันสวยแต่มีพิษ แมงกระพรุน Carabela
ตั้งกระทู้ใหม่