Share Facebook LINE Twitter
หน้าแรก เว็บบอร์ด Chat ตรวจหวย ควิซ คำนวณ Pageแชร์ลิ้ง
หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

เรื่องสั้นกรุงเทพเมืองซอมบี้ ตอนที่ 9 หัวลำโพง

โพสท์โดย yongyee

ตอนที่ 9 หัวลำโพง

"นานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ตั้งแต่วันนั้น วันที่ทุกอย่างจบลงแบบพังพินาศวอดวาย ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเคยมีเคยสร้างสมกันมาเป็นร้อยๆ พันๆ ปีกลับจบลงภายในวันเดียว เมื่อจู่ๆ กองทัพคนตายที่มาจากไหนก็ไม่รู้ ลุกขึ้นออกมาไล่ฆ่าจับคนมากินเป็นอาหาร คนที่ถูกกัดจะติดเชื้อและกลายเป็นผีดิบแบบเดียวกันกับพวกมัน วงจรการแพร่เชื้อจึงขยายอย่างรวดเร็วและควบคุมมิอยู่มาจนถึงตอนนี้"

 

ที่มุมตึกแห่งหนึ่งแถวเยาราชชายหนุ่มวัย 30 ปีเศษผมสั้นเคราขึ้นเล็กน้อย สวมเสื้อยืดสีขาวกางเกงยีนส์ขายาวสีดำ สะพายเป้สีเขียวขี้ม้าเก่าๆ กำลังวิ่งจากถนนฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว โดยมีพวกศพสามตัวกำลังส่งเสียงร้องวิ่งไล่ตามเขามาอย่างไม่คิดชีวิต

 

"คนเหล่านี้ถูกเรียกว่าพวกศพเดินได้ เป็นชื่อที่ถูกเรียกโดยนักข่าวทางทีวีเมื่อหลายเดือนก่อน สมัยที่ยังมีไฟฟ้าใช้ได้และทีวียังออกอากาศ ตอนนั้นทั่วทุกมุมโลกต่างเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นพร้อมกัน ตามข่าวที่รายงานมาทางทีวี มันสร้างความแตกตื่นก่อนที่ทุกอย่างจะจบลงพร้อมกับการออกอากาศในวันนั้น"

 

ชายหนุ่มทั้งวิ่งและกระโดดข้ามรถที่จอดอยู่เต็มถนนได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่พวกศพยังวิ่งชนรถหกล้มหกลุกไม่เป็นท่า จนเขาสามารถข้ามถนนเข้ามาในซอยตรงข้ามได้สำเร็จ....

 

"วันที่เกิดเรื่องวันนั้นผมเองเพิ่งกลับมาจากทำงานที่หัวลำโพง ผมเป็นพนักงานขับรถไฟสายใต้ พ่อแม่ผมตายตั้งแต่ยังเล็ก ส่วนป้าที่เลี้ยงมากับลุงก็เพิ่งจะเสียหลังผมเรียนจบไม่นาน ชีวิตผมอยู่ด้วยตัวคนเดียวมาตลอด จนรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว"

 

เมื่อเข้ามาในซอยชายหนุ่มก็หันไปเห็นประตูที่เป็นทางเข้าห้องเช่า เขาจึงถีบประตูบานนั้นด้วยเท้าเต็มแรง ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปในนั้นพร้อมกับเล็งปืน เบเร็ตต้า M92F ในท่าเตรียมพร้อมก่อนจะรีบปิดประตูเพื่อแอบพวกศพที่วิ่งตามมาทีหลังได้อย่างหวุดหวิด

 

"คงเพราะการอยู่คนเดียวจนชิน จึงทำให้ไม่ค่อยมีเพื่อนฝูงที่สนิทไม่มีแฟนไม่มีเพื่อนร่วมงานที่จะไปกินเหล้าด้วย ทำงานเสร็จกลับบ้านนั่งเช็ดปืน วันหยุดก็ไปสนามยิงปืนซ้อมมือเพื่อความสนุก ไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำว่าปืนที่ใช้ยิงเป้ากระดาษจะได้ใช้ยิงสิ่งมีชีวิตกับเขาด้วย"

 

ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งหอบด้วยความโล่งอก ในมือของเขามีแผนที่กระดาษที่บังเอิญไปเจอมาจากศพของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติคนหนึ่ง เพื่อสิ่งนี้เขาจึงยอมเสี่ยงวิ่งไปเพื่อให้ได้มันมา

 

"ตอนที่เกิดเรื่องพอได้รู้ข่าวจากทีวีก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก นอนเครียดนั่งเครียดทนฟังเสียงร้องโหยหวนเสียงระเบิด เสียงร้องขอความช่วยเหลือจากนอกห้องอยู่หลายวัน จนปลากระป๋องกับไข่ที่มีในตู้เย็นหมด จึงต้องคว้าปืนกับของจำเป็นใส่เป้ออกมาข้างนอก จากนั้นก็หนีมาเรื่อยๆ อาศัยที่เป็นคนวิ่งเร็วเลยรอดมาได้ทุกครั้ง จนมารู้สึกตัวอีกทีก็หลงมาอยู่ส่วนไหนของกรุงเทพแล้วก็ไม่รู้"

 

เมื่อหายเหนื่อยชายหนุ่มก็ลุกขึ้นเดินสำรวจภายในห้องเช่าของตึกสามชั้นแห่งนี้ทีละห้อง เขาค่อยๆ เดินทีละก้าวอย่างช้าๆ และระมัดระวังตัว ไฟฉายที่มีช่วยได้มากในการเดินสำรวจภายในตึกห้องเช่าที่มืดสนิท เสียงที่ชายหนุ่มได้ยินตอนนี้มีเพียงเสียงฝีเท้าเดินของเขาเท่านั้น ความเงียบนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสียไปพร้อมๆ กัน

 

"แอ๊ดดดด!!!! " เสียงประตูที่ดังจากบานพับขึ้นสนิมชวนให้เสียวสันหลังทุกครั้งเมื่อประตูเปิด เขาต้องลุ้นว่าด้านหลังประตูห้องทีละห้องนั้นจะมีอะไรอยู่บ้าง

 

"เฮ้อ..." ชายหนุ่มอุทานอย่างโล่งอก เมื่อส่องไฟไปในห้องไม่พบอะไรนอกจากห้องเปล่าๆ เขาจึงเข้าไปสำรวจหาอาหารและของที่พอจะใช้ได้ทีละห้อง

 

"ก็ยังดี" ชายหนุ่มบอกกับตัวเองเมื่อค้นเจอปลากระป๋องกับขนมสองสามห้อตามห้องต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่เจ้าของห้องเหล่านี้จะทิ้งห้องของตัวเองเมื่อตอนที่เกิดเรื่อง

 

"อุ๊บ...!!! บ้าเอ็ย...!!! " เมื่อเปิดเข้าไปในห้องหนึ่งที่ชั้นสอง เข้าก็พบศพของพ่อแม่ลูกสามคนแขวนคอตายอยู่ในห้อง คาดว่าทั้งสามคนคงจะกลัวจนทำอะไรไม่ถูก จึงปลิดชีวิตของตนเองแทนที่จะออกไปข้างนอกแล้วถูกพวกศพกินทั้งเป็น

 

"ผมไม่รู้หรอกนะว่าอันไหนจะดีกว่ากัน ระหว่างตัดช่องน้อยแต่พอตัวไปจากโลกนี้ หรือต้องทนเอาชีวิตรอดไปวันๆ แบบนี้ อันไหนจะดีกว่ากัน"

 

ชายหนุ่มเลือกที่จะพักที่ชั้นสามห้องริมสุดใกล้ประตูดาดฟ้า เข้าสำรวจที่ห้องครัวเจอถังแก๊สปิคนิคใบเล็กและน้ำก๊อกที่ยังไหลอยู่ เพราะแท็งค์เก็บน้ำบนดาดฟ้ายังมีน้ำอยู่ เขาจึงเอาน้ำมาต้มเก็บไว้ดื่มในครั้งต่อไป

 

"ท้องฟ้าใกล้มืดลงแล้วแสงอาทิตย์กำลังจะหมดลงอย่างรวดเร็ว กลางคืนนับว่าเป็นอะไรที่อันตรายมากๆ เพราะพวกศพจะออกวิ่งไล่ล่าหาอาหารเหยียบบนหลังคารถส่งเสียงดังโครมคราม บ้างก็กรีดร้องอย่างโหยหวนชวนขนลุกอย่างบอกไม่ถูก"

 

ชายหนุ่มล็อกประตูห้องอย่างแน่นหนา เขาแง้มหน้าต่างเอาไว้เล็กน้อยเพื่อเปิดรับลมในวันที่ร้อนอบอ้าว แสงจันทร์เต็มดวงที่สาดส่องลงทำให้มองเห็นทุกสิ่งบนถนนตอนนี้ชัดเจน

 

"นานๆ ครั้งเมื่อมีโอกาสผมจะแอบมองสิ่งต่างๆ ด้านนอกยามค่ำคืน" ชายหนุ่มชะโงกหน้าไปที่หน้าต่างแอบดูสิ่งต่างๆ บนถนนจากด้านบนห้อง

 

"ก๊ากกกก!!! ก๊ากกกก ตึง!!! ตัง!!! โครม!!! คราม!!! " เสียงของพวกศพที่มีดวงตาสีแดงก่ำสะท้อนในความมืด กำลังวิ่งกระโดดอยู่บนหลังคารถบนถนนส่งเสียงดังตลอดทาง ทุกตัวสอดส่ายสายตาไปมาในความมืดเพื่อหาอาหาร ซึ่งก็คือมนุษย์เป็นๆ อย่างชายหนุ่ม พวกศพนั้นสามารถล่าเหยื่อ (มนุษย์) ได้ทั้งกลางวันกลางคืน แต่ในช่วงกลางคืนมันจะมีสายตาที่ดีกว่ามองเห็นได้ชัดกว่าตอนกลางวัน ที่พวกมันต้องอาศัยเสียงในการล่าเหยื่อ

 

"ข้อดีของการเป็นคนช่างสังเกตสิ่งต่างๆ รอบตัว โดยเฉพาะพฤติกรรมของพวกศพว่ามันออกล่าตอนไหน จึงทำให้ผมสามารถมีชีวิตรอดมาได้จนถึงตอนนี้"

 

ชายหนุ่มเลิกดูที่หน้าต่าง เข้าเดินมาสำรวจโต๊ะภายในห้องที่มีคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คตั้งอยู่ ชายหนุ่มลองเปิดดูก็พบว่ามันยังพอมีแบตอยู่ หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นรูปของชายหนุ่มหน้าตี๋สวมแว่นกำลังยืนคู่กับหญิงสาวหน้าหมวยอีกคนที่เป็นแฟน โดยมีวิวด้านหลังเป็นน้ำตก ทั้งคู่ยิ้มอย่างมีความสุข

 

"จะว่าไปตั้งแต่ที่ผมหนีตายมาจนถึงตอนนี้ ยังไม่เจอคนอื่นที่เป็นผู้รอดชีวิตเลย ไม่รู้ว่าตอนนี้จะยังมีคนเป็นๆ เหลืออยู่ไหม หรือจะมีผมคนเดียวที่เป็นผู้รอดชีวิตคนสุดท้าย"

 

ชายหนุ่มถอนหายใจแรงๆ ด้วยความหดหู่ เขาปิดคอมพิวเตอร์แล้วล้มตัวนอนคุดคู้ภายในห้องอันมืดมิด ท่ามกลางเมืองที่เต็มไปด้วยความตาย....

 

"กรี๊ดดดดด!!!! กรี๊ดดดดด!!! " รุ่งขึ้นชายหนุ่มต้องสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจ เมื่อได้ยินเสียงร้องของหญิงสาวดังขึ้นใกล้ๆ กับที่ที่ตนอยู่

 

ชายหนุ่มรีบลุกขึ้นมาที่ประตูเพื่อฟังเสียงที่ได้ยินอย่างระมัดระวัง เขากำปืนในมือจนแน่นนิ้วชี้ข้างขวาอยู่ที่ไกปืนในท่าเตรียมพร้อม ใจของเขาเต้นรั่วไปด้วยความตื่นเต้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเสียงร้องของคนที่ไม่ใช่เสียงร้องของพวกศพ

 

"ก๊ากกกก ก๊ากกกก!!!! ปัง!!! ปัง!!! ตึง!!! ตึง!!! " หลังจากเสียงร้องของหญิงสาวก็มีเสียงร้องของศพที่ร้องตามมา พร้อมกับเสียงทุบประตูห้องที่อยู่ใกล้ๆ กับห้องที่เขาอยู่

 

"พี่คะนี่หนูเองนะ!!! พี่จ๋า!!! " เสียงหญิงสาวดังขึ้นอีกครั้ง สร้างความมั่นใจให้ชายหนุ่มมากขึ้นว่าเขาได้ยินไม่ผิด นั่นคือเสียงของมนุษย์คนอื่น

 

ชายหนุ่มค่อยๆ แง้มประตูห้องของตนเองอย่างช้าๆ สิ่งที่เขาเห็นคือชายหนุ่มคนหนึ่งอายุราว 30 ต้นๆ ที่เปลี่ยนสภาพเป็นศพที่กระหายเลือด กำลังทุบประตูห้องที่อยู่ฝั่งตรงข้ามห้องของตนอย่างบ้าคลั่ง ที่แขนขวาของเข้ามีผ้าพันแผลที่ชุ่มเลือดอยู่

 

"กรี๊ดดดดด!!!! " เสียงของหญิงสาวร้องด้วยความหวาดกลัวภายในห้อง

 

"ก๊ากกกก!!! ก๊ากกกก!!! " ผีดิบชายคนนั้นก็ส่งเสียงร้องและทุบประตูห้องอย่างบ้าคลั่ง

 

"ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง ไม่นานคงมีพวกศพตัวอื่นที่ได้ยินเสียงร้องมาสมทบที่นี่แน่ๆ " ชายหนุ่มคิดในใจ ซึ่งถ้าถึงตอนนั้นเขาที่อยู่ห้องตรงข้ามก็คงต้องเดือดร้อนไปด้วยแน่ๆ เพราะพวกมันจะไม่หยุดร้องหยุดทุบประตูจนกว่าจะพังเข้าไปได้

 

เขามองปืนในมือที่เป็นสิ่งเดียวที่สามารถฆ่ามันได้รวดเร็วที่สุด แต่มันก็มีเสียงดังซึ่งอาจจะเรียกพวกศพมาเพิ่มได้ด้วย เขาหันซ้ายหันขวาเพื่อหาอาวุธชิ้นอื่นที่พอจะหาได้ จนไปเจอค้อนที่วางอยู่ในห้องพร้อมตะปูและไม้ คาดว่าเข้าของห้องคงคิดจะต่อเติมห้องจึงมีอุปกรณ์การช่างวางอยู่

 

"เอาว่ะ" ชายหนุ่มกลั้นใจก่อนจะรีบเปิดประตูห้องตัวเอง แล้ววิ่งไปที่ผีดิบชายคนนั้นที่กำลังหันหลังให้ตน

 

"พลั๊ก!!! พลั๊ก!!! ตุบ!!! ตุบ!!! " เสียงของค้อนเหล็กทุบลงบนกะโหลกศีรษะของผีดิบที่ด้านหลังโดยที่มันไม่ทันตั้งตัว

 

"แฮ่ก แฮ่ก!!! " ชายหนุ่มกระหน่ำทุบไม่ยั้งจนผีดิบแน่นิ่งล้มลงไปนอนชักกระตุกบนพื้น

 

"ปลอดภัยแล้วคุณ ออกมาเถอะ!!! " ชายหนุ่มตะโกนเรียกหญิงสาวภายในห้องเมื่อเห็นว่าผีดิบตัวนั้นตายสนิทแล้ว เขาจึงลากศพมันออกไปพ้นประตูก่อนจะเรียกหญิงสาวออกมาจากห้อง

 

"คุณเป็นคนใช่ไหม??? " เสียงหญิงสาวตะโกนออกมา

 

"คิดว่าน่าจะใช่ เพราะพวกศพ....เอ่อ...ผมหมายถึงพวกผีดิบมันพูดไม่ได้ แต่ผมพูดได้" ชายหนุ่มใช้แขนเสื้อเช็ดหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดระหว่างพูด

 

"คุณไม่ทำร้ายฉันใช่ไหม" หญิงสะตะโกนออกมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

 

"ถ้าคุณถูกกัดนั่นก็อีกเรื่อง ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ต้องกลัวผมไม่ทำร้ายคุณหรอก คิดว่างั้น" ชายหนุ่มนั่งลงที่หน้าห้องอย่างหมดแรง เมื่อทุ่มสุดตัวในการฆ่าศพตนนั้น

 

หญิงสาวภายในห้องช่างใจอยู่นานสองนานก่อนจะเปิดประตูออกมาด้านนอกห้อง

 

"ขอบคุณคะ" หญิงสาวสวมแว่นอายุราวๆ 20 ต้นๆ ไว้ผมยาวถักเปียสวมเสื้อยืดเก่าๆ สีชมพูกางเกงยีนส์ขายาวร้องเท้าผ้าใบขาดๆ พูดกับชายหนุ่มด้วยท่าทางหวาดระแวง

 

"เข้ามาในนี้เถอะ ตรงนั้นมันอันตราย" ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนและชวนหญิงสาวเข้ามาในห้องของตน

 

หญิงสาวเดินตามชายหนุ่มเข้ามาโดยไม่พูดอะไร เธอหันไปมองรอยเลือดที่เป็นรอยถูกลากอยู่บนพื้นก่อนจะเดินเช้ามาในห้อง

 

"คุณฆ่าเขาใช่ไหม" หญิงสาวถามชายหนุ่มที่กำลังรินน้ำใส่แก้วส่งให้เธอ

 

"ใช่ ผมใช้ค้อนทุบเขาที่หัว เขาเป็นพี่ชายคุณใช่ไหม" ชายหนุ่มถาม

 

"!!!! ???? " หญิงสาวรับแก้วมาด้วยท่าทางตกใจ

 

"ก็เห็นคุณร้องตะโกนว่าพี่คะอย่าทำหนู ผมเลยเดาว่าคนๆ นั้นคือพี่ชายคุณ" ชายหนุ่มเทน้ำอีกแก้วมาดื่มเอง

 

"ค่ะ เขาคือพี่ชายของฉันเอง เขาถูกกัดเมื่อตอนรุ่งสางตอนที่เรากำลังเก็บของจะเดินทางต่อ ระหว่างทางเขาก็เปลี่ยนไปแล้วก็มาทำร้ายฉัน จนฉันวิ่งหนีมาที่นี่" หญิงสาวดื่มน้ำจนหมดแก้วเมื่อพูดจบ

 

"เสียใจด้วยนะครับ ผมชื่อสินยินดีที่รู้จัก" ชายหนุ่มแนะนำตัว

 

"อ้อมคะ" หญิงสาวตอบ

 

"คุณจะไปที่ไหนหรออ้อม" ชายหนุ่มล้วงกระเป๋าเพื่อหาของกิน เขาเทปลากระป๋องที่เจอใส่จานที่หยิบมาจากห้องครัวพร้อมช้อนส่งให้หญิงสาว

 

"ไม่รู้คะ แค่หนีไปเรื่อยๆ เอาชีวิตรอดไปวันๆ ขอบคุณค่ะ" อ้อมยกมือไหว้ก่อนรับจานที่ใส่ปลากระป๋องมา

 

"แล้วคุณสินล่ะคะจะไปไหนต่อ" อ้อมถามคืนระหว่างตักปลากระป๋องขึ้นมาทาน

 

"ไปจากกรุงเทพ ไปที่ต่างจังหวัดที่ไกลจากผู้คน ที่ไม่มีพวกศพออกไล่กินเรา คงเป็นหมู่บ้านตามป่าเล็กๆ ตามสวนจะได้ปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ได้" สินตอบระหว่างหยิบมันฝรั่งทอดกรอบที่เหลืออยู่ก้นถุง มัดด้วยหนังยางอย่างดีออกมากินเป็นอาหารเช้า

 

"เป็นความคิดที่ดีมากๆ เลยคะ" อ้อมพูดด้วยแววตาแปลกใจมองมาทางสิน "แต่เราจะออกไปจากที่นี่ได้ยังไงกันคะ ถนนทุกสายในกรุงเทพมีรถติดเต็มไปหมด ไหนจะพวกผีดิบที่อยู่ข้างนอกอีกแทบไม่มีทางที่เราจะขับรถออกไปได้เลย"

 

"ไปทางรถคงยากครับ แต่ถ้าทางรถไฟคงไม่ยากอะไร" สินเอาแผนที่ที่ได้มาจากนักท่องเที่ยวเมื่อวันก่อนให้อ้อมดู

 

"ผมบังเอิญไปเจอแผนที่มาจากศพนักท่องเที่ยวฝรั่ง" เขากางแผนที่ลงบนโต๊ะ "ถ้าเราไปทางรถไฟลงใต้เราจะผ่านชนบทลงบนสถานีที่ไม่ค่อยมีคนที่เป็นหมู่บ้านเล็กๆ แถวๆ ชานเมือง ที่นั่นเราอาจจะปลอดภัย เพราะคงไม่มีพวกผีดิบมากแบบในเมือง"

 

"ทางรถไฟหรอคะ" อ้อมอุทานออกมาเบาๆ

 

"ครับ พอดีผมเป็นพนักงานขับรถไฟสายใต้พอดี ถ้าไปถึงที่นั่นผมอาจจะหาทางขับมันออกไปต่างจังหวัดได้" สินมองหน้าอ้อมเมื่อพูดจบ

 

"หรอค่ะ" อ้อมหันมามองหน้าสินเมื่อรู้ว่าเธอกำลังถูกมอง ทั้งสองจึงกระเด้งตัวออกมาจากกันโดยอัตโนมัติด้วยความเขินอาย

 

"คุณจะไปด้วยไหมครับ" สินถามเบาๆ ด้วยความเขินอาย

 

"ถ้าคุณไม่ว่าอะไรฉันก็ขอไปด้วยคนค่ะ" อ้อมตอบด้วยท่าทางอายไม่แพ้กัน

 

"ดีเลย งั้นพรุ่งนี้เราค่อยเดินทางกัน" สินรีบเก็บแผนที่ด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ ทำอะไรไม่ถูก เมื่ออยู่กับสาวสวยสองต่อสองในห้อง

 

"เอ่อ...ห้องน้ำใช้ได้นะครับ น้ำยังพอมีแก๊สก็พอจะใช้ได้คุณต้มน้ำอาบได้เลยครับ เอ่อ เดี๋ยวผมขอไปสำรวจห้องอื่นๆ ที่เหลือต่อแล้วกัน เพื่อจะเจอของกินหลงเหลืออยู่บ้าง" สินพูดจบก็คว้าค้อนในมือแล้วรีบออกไปจากห้องทันที

 

ชายหนุ่มหัวใจเต้นแรงเมื่อออกมาจากห้อง ใจเขาเต้นไม่เป็นปกติตั้งแต่เจอหน้าอ้อม นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกแบบนี้ ปกติเขาแทบไม่มีโอกาสได้คุยกับสาวๆ เลย เพราะมัวแต่ทำงานและหมกมุ่นอยู่กับปืนอยู่กับตัวเองคนเดียวด้วยความเคยชินมาตั้งแต่เด็ก พอมาเจอสาวสวยน่ารักที่ตรงใจในโลกที่สาบสูญ ก็ทำให้ชายหนุ่มที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

 

"ทำงานๆ " เขารวบรวมสติให้กลับมา ก่อนจะเดินสำรวจห้องต่างๆ ที่เหลืออยู่สองสามห้องเพื่อหาอาหาร

 

จนเมื่อสำรวจครบทุกห้องเขาก็ได้ยาพารากับยาล้างแผล และอาหารแห้งจำพวกขนมขบเคี้ยวมาพอสมควร แม้จะไม่อิ่มท้องและอาจจะทำให้สูญเสียน้ำไปกับผงชูรส แต่ในโลกที่ของกินหายากพอๆ กับการมีชีวิตอยู่ การเจอสิ่งเหล่านี้ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย

 

เมื่อเข้ามาในห้องสินก็ไม่พบอ้อมอยู่ในห้องแต่อย่างใด ข้าวของๆ เธอก็ไม่อยู่แล้ว เหลือเพียงอาหารและสิ่งของๆ เขาเท่านั้นที่วางอยู่ในห้อง....

 

"ไปแล้วหรอ" สินพูดเบาๆ กับตัวเองอย่างหมดหวัง เมื่อหญิงสาวหายตัวไปตอนที่เขาไม่อยู่

 

"กลับมาแล้วหรอคะ" เสียงหญิงสาวเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับชุดใหม่ที่เธอเปลี่ยนหลังอาบน้ำ

 

"กะกลับมะมาแล้วครับ ดะได้อาหารกับยามาด้วย" สินลุกขึ้นยืนตอบเบาๆ ด้วยท่าทางเขินอาย ความจริงเธอแค่เอากระเป๋าที่ใส่เสื้อผ้ามาด้วยเปลี่ยนชุดเท่านั้น

 

"คุณสินนี่เก่งจังเลยนะคะที่อยู่คนเดียวมาได้จนถึงตอนนี้" อ้อมพูดยิ้มๆ "ต่างกับอ้อมที่ถ้าไม่มีพี่อุ้มอ้อมคงตายไปนานแล้ว เขาช่วยชีวิตอ้อมมาหลายต่อหลายครั้งตั้งแต่เกิดเรื่องวันนั้น" อ้อมนั่งบนเก้าอี้พูดกับสิน

 

"วันนั้นอ้อมต้องไปสอบที่มหาลัย พี่อุ้มเป็นคนขับรถพาไปส่ง ระหว่างทางบนถนนก็เกิดอุบัติเหตุวุ่นวายเต็มไปหมด รถของเราถูกรถเมล์ชนที่ท้ายจนเสียหลักพุ่งไปชนร้านขายของเข้า จากนั้นพี่อุ้มก็พาอ้อมหนีออกมาจากตรงนั้น มาซ่อนในร้านขายของอยู่หลายวันโดยไม่ไปไหน" อ้อมนั่งก้มหน้าเล่าเสียงสลด

 

"มีการยื้อแย่งอาหารตอนที่เกิดเรื่องในร้านที่เราอยู่ พี่อุ้มเป็นไปเอาอาหารมาตุนเอาไว้เพื่อความอยู่รอดของเราสองคนพี่น้อง จนอาหารหมดเราสองคนก็ออกเดินทางมาเรื่อยๆ จนพี่เขาถูกกัดเมื่อเช้าวันนี้" อ้อมน้ำตาไหลเมื่อพูดถึงตรงนี้

 

"พี่ชายของคุณคือคนเก่งครับ ผมเองไม่เก่งเท่าครึ่งของพี่ชายคุณเลย" สินพูดปลอบใจ "เอาอย่างนี้ไหมครับ เรามาทำพิธีศพเขากัน อย่างน้อยเราก็จะได้ล่ำลาเขาเป็นครั้งสุดท้าย" สินออกความเห็น

 

อ้อมที่ก้มหน้าร้องไห้พยักหน้ารับคำที่สินพูด

 

"งั้นรอตรงนี้นะครับ" สินรีบออกไปจากห้องเพื่อไปเอาผ้าปูเตียงมาจากห้องพักห้องอื่น ก่อนจะเอามาห่อศพของอุ้มพี่ชายของอ้อมที่เขาทิ้งเอาไว้ที่บนดาดฟ้า เมื่อห่อศพเสร็จเรียบร้อยเขาก็เรียกอ้อมให้ออกมาที่ดาดฟ้า พร้อมกับส่งดอกไม้แห้งที่ไปเจอมาบนหิ้งพระให้กับอ้อม เพื่อเป็นการไวอาลัยครั้งสุดกับพี่ชายของเธอ

 

"ขอบคุณนะค่ะพี่อุ้มที่ดูแลอ้อมมาตลอด หนูสัญญาคะว่าหนูจะมีชีวิตรอดต่อไปตามที่พี่สั่ง หนูให้สัญญา" อ้อมวางดอกไม้ลงบนศพก่อนจะร้องไห้วิ่งมากอดสิน

 

"เข้าไปข้างในเถอะครับ เดี๋ยวทางนี้ผมจัดการต่อเอง" สินบอกกับอ้อมในอ้อมกอด

 

"ขอบคุณคะที่ช่วยทำศพพี่อุ้มให้" อ้อมเช็ดน้ำตาพูดกับสิน

 

"ผมต่างหากที่ต้องขอโทษคุณ เพราะผมเป็นคนที่ฆ่าพี่ชายคุณ ผมไม่มีทางเลือก" สินบอก

 

"คุณไม่ผิดหรอกค่ะ ความจริงตอนนั้นพี่อุ้มก็บอกอ้อมเป็นครั้งสุดท้ายให้อ้อมฆ่าเขา แต่อ้อมทำไม่ลงจนเขาเปลี่ยนอ้อมจึงต้องหนีมา" อ้อมบอกกับสิน

 

"ค่อยสบายใจหน่อย คุณไปเถอะเดี๋ยวผมจะเอาศพพี่ชายคุณไปนอนในห้องว่างๆ บนที่นอนเอง" สินบอกกับอ้อมก่อนจะลากศพของอุ้มไปไว้ในห้องว่างๆ ห้องหนึ่ง และจัดเขาให้นอนบนที่นอนในห้องว่างห้องนั้นก่อนจะออกมา

 

"ขอบคุณอีกครั้งคะพี่สิน" อ้อมยกมือไหว้สินอีกครั้งเมื่อเขาเดินกลับมาที่ห้อง

 

"ไม่เป็นไร" สินพูดเขินๆ "พักผ่อนเถอะพรุ่งนี้เราจะได้เดินทางแต่เช้าไปที่หัวลำโพงกัน" สินพูดกับอ้อมก่อนที่จะแยกไปเตรียมอาหารเย็น

 

ทั้งสองทานอาหารเย็นด้วยขนมและปลากระป๋องที่พอมีอยู่ภายในห้องที่ค่อยๆ เริ่มมืดลงช้าๆ

 

"คืนนี้คุณนอนบนเตียงไป เดี๋ยวผมจะนอนข้างล่างเอง" สินบอกกับอ้อมเมื่อทานอาหารเสร็จ เขาจุดเทียนเล่มหนึ่งเมื่อความมืดเริ่มมาเยือนภายในห้อง "และห้ามชะโงกออกไปนอกหน้าต่างแล้วก็ห้ามจุดไฟทุกชนิดด้วยนะ พวกมันอาจจะเห็นได้" สินบอกกับอ้อม

 

"ค่ะ" อ้อมรับคำก่อนจะเห็นโน๊ตบุ๊คที่วางอยู่ "มันยังใช้ได้อยู่ไหมคะ" อ้อมถามสิน

 

"ยังพอมีแบตอยู่ เปิดฟังเพลงก็ได้นะในคอมน่าจะมีเพลงอยู่" สินเปิดเพลงที่เซพอยู่ในคอมเบาๆ ให้อ้อมฟัง

 

"คิดถึงจังเลยนะคะ วันเวลาก่อนหน้านี้ที่เราเคยมีชีวิตที่ปกติ มันเหมือนเป็นความฝันยังไงก็ไม่รู้" อ้อมที่นั่งอยู่บนที่นอนฟังเพลงฝรั่งที่เปิดเบาๆ

 

"นั่นซิ ถ้ามันเป็นความฝันก็อยากให้มันตื่นเร็วๆ จริงๆ " สินพูดยิ้มๆ ก่อนที่แบตของโน๊ตบุ๊คจะหมดหน้าจอดับลงพร้อมกับความมืดมิดในห้อง

 

"ฝันดีนะคะพี่สิน" อ้อมบอกกับสินในความมืด

 

"เช่นกัน" สินรับคำ....

 

รุ่งขึ้นทั้งสองคนก็เตรียมพร้อมออกเดินทาง อาหารและน้ำทั้งคู่แบ่งกันเก็บใส่กระเป๋าคนล่ะครึ่ง เพื่อให้ง่ายต่อการเดินทาง

 

"ตอนนี้เราอยู่แถวเยาวราชไปตามถนนสายนี้เรื่อยๆ จนไปถึงถนนไมตรีจิตต์ มาจนถึงถนนพระรามที่ 4 ข้ามสะพานคลองผดุงกรุงเกษม มาตามทางถนนเส้นนี้เรื่อยๆ ก็จะถึงหัวลำโพง" สินบอกเส้นทางตามแผนที่ให้อ้อมฟัง

 

"แล้วเราจะไปตามถนนได้อย่างไรคะ พวกผีดิบเดินเพ่นพ่านเต็มถนนไปหมด" อ้อมถามสิน

 

"เราเดินทางถนนไม่ได้ ขี่รถไปก็ไม่ได้ คงต้องเดินไปอย่างเดียว แต่เราไม่ต้องไปเดินบนถนนหรอก เราเดินบนดาดฟ้าของตึกไปเรื่อยๆ ได้" สินชี้ไปยังตึกข้างๆ ที่ต่อเรียงกันพอจะข้ามไปได้ไม่ยาก "ถ้าตึกไหนไม่ต่อกันเราก็ลงไปด้านล่างข้ามถนนไปตึกอีกฝั่ง ค่อยๆ เคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ไม่นานเราก็ไปถึงหัวลำโพง" สินบอกแผนกับอ้อม ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เขาคิดเอาไว้นานแล้วตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นมา

 

"ต้องใช้เวลาหลายวันแน่ๆ " อ้อมพูดกับสินก่อนจะเดินไปที่ริมตึกบนดาดฟ้า "แถวนี้มีร้านอาหารหลายร้านมีร้านขายของอยู่มาก ระหว่างทางเราน่าจะพอหาอาหารได้บ้างก็ได้" อ้อมบอก

 

"ไปกันเถอะ" สินบอกกับอ้อมทั้งสองจึงออกเดินทางทันที

 

ทั้งสองใช้วิธีการเดินบนดาดฟ้าจากอาคารของตึกหนึ่งไปอีกตึกหนึ่งอย่างช้าๆ เพราะตึกในย่านเยาวราชนั้นติดกันเป็นแถวยาว จึงง่ายต่อการเดินข้ามไปแทนการเดินบนถนนที่เสี่ยงกับการเจอพวกศพ และระหว่างทางเมื่อมาถึงตึกที่เป็นร้านอาหารจีนทั้งสองคนก็แวะลงไปหาเสบียงอาหารเท่าที่พอจะหาได้

 

"ของกินส่วนมากจะเน่าหมดแล้ว มีแต่พวกเส้นบะหมี่กับน้ำอัดลม แต่ก็ดีกว่าไม่ได้เลย" อ้อมหยิบห่อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในร้านขายบะหมี่ชื่อดังของเยาวราชมาใส่เป้

 

"ดูสิพี่เจออะไร" สินเจอกล่องใส่ขนมที่เป็นจำพวกผลไม้ที่แพ็คอยู่ในถุงอย่างดี ที่หน้าถุงเขียนภาษาจีนบนห่อ

 

"รอดตายไปอีกวัน" อ้อมพูดยิ้มๆ กับสิน ก่อนที่คืนนี้คนทั้งสองจะนอนค้างกันที่ร้านแห่งนี้ พอเช้าก็เดินทางต่ออย่างช้าๆ เรื่อยๆ

 

โชคดีของทั้งสองคนที่ไม่มีพวกศพที่บนดาดฟ้าของตึกเหล่านี้เลย คงเพราะตอนที่เกิดความวุ่นวาย ทุกคนต่างก็หนีเอาตัวรอดออกจากตึกที่ตนอาศัยอยู่ไปบนถนนจนหมด จึงไม่มีพวกศพวนเวียนอยู่แถวดาดฟ้า

 

ทั้งสองมาจนถึงสุดทางของตึกซึ่งอีกไม่ไกลก็จะไปถึงหัวลำโพงแล้ว

 

"นั่นไงเห็นอยู่ลิบๆ นั่นแล้ว" อ้อมชี้ไปที่หัวลำโพงที่อยู่ไกลๆ

 

"พรุ่งนี้เราต้องข้ามสะพานเจริญสวัสดิ์ไป ตรงนั้นไม่มีตึกเป็นเพียงถนนทอดยาวจนกระทั่งไปถึงหัวลำโพง คราวนี้คือของจริงกันล่ะ" สินก้มมองลงไปบ้างล่างระหว่างพูด เขาเห็นพวกศพสองตัวเดินชนนั่นนี่ไปมาบนถนน

 

"มาถึงตรงนี้คงถอยกลับไม่ได้แล้ว" อ้อมพูดให้กำลังใจตัวเองและสิน

 

ตกกลางคืนทั้งสองคนก็นอนพักกันในห้องพักห้องหนึ่งของตึกนั้น นี่เป็นคืนที่ 7 แล้วที่ทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน จนถึงตอนนี้ทั้งคู่รู้สึกสนิทกันมากขึ้นกว่าแต่ก่อน และความรู้สึกของทั้งสองก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป จากความรู้สึกที่เหินห่างของความเป็นชายหนุ่มกับหญิงสาว แต่เมื่อทั้งคู่อยู่ด้วยกันตลอดเวลาพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวกันมากขึ้น ทั้งสองคนก็เริ่มจะรู้สึกที่ต่างไปจากเดิม

 

"วันนี้มีมาม่าคะ สนไม๊ค่ะพี่" อ้อมถือบะหมี่ถ้วยร้อนๆ มาให้สินพร้อมกับรอยยิ้ม

 

"นานๆ จะได้กินของร้อนๆ สักที แทบจะลืมไปแล้วนะเนี้ยว่ามาม่าร้อนๆ รสชาติเป็นยังไง" สินรับถ้วยบะหมี่มาทานอย่างเอร็ดอร่อย

 

"โชคดีที่นี่ตึกนี้มีห้องครัวค้นไปค้นมาก็เจอมาม่าในตู้แก๊สก็พอใช้งานได้ หนูเลยต้มมาให้ทานค่ะ" อ้อมเป่าถ้วยบะหมี่ของตนระหว่างพูด "นี่ถ้าเป็นของต่างประเทศคงจะหาแก๊สต้มน้ำไม่ได้แน่ๆ โชคดีของประเทศไทยที่เราใช้แก๊สถัง

 

"นั่นซิ บางทีความล้าหลังก็มีประโยชน์เหมือนกัน" สินพูดยิ้มๆ

 

"ก๊ากกกกก ก๊ากกกก!!!! " ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังทานบะหมี่อยู่ก็มีเสียงร้องของศพที่ด้านนอกพร้อมกับเสียงปืนดังขึ้นมา

 

"ดับเทียนซะ!!!! " สินบอกกับอ้อมก่อนจะมาแอบดูที่หน้าต่าง

 

ด้านนอกถนนตอนนี้มืดสนิทไม่มีแสงสว่างของพระจันท์เลย จะมีก็แต่เสียงร้องของพวกศพที่วิ่งกระโดดบนหลังคารถไปหลายตัว เมื่อพวกมันได้ยินเสียงปืนที่ดังไกลๆ

 

"พวกมันไวต่อเสียง ตอนกลางคืนพวกมันจะเห็นเราชัดกว่าตอนกลางวัน" สินบอกกับอ้อม

 

"แล้วจมูกล่ะคะ หนูหมายถึง การดมกลิ่นล่ะ พวกมันจะได้กลิ่นเราไหมคะ" อ้อมถามคำถามที่น่าสนใจ

 

"เป็นคำถามที่ดี" สินบอก "ดูนั่นซิ" สินชี้ให้อ้อมดูศพตัวหนึ่งวิ่งผ่านศพคนตายที่นอนเน่าอยู่บนถนนโดยไม่สนใจ "อ้อมว่าศพนั้นจะเหม็นแค่ไหน"

 

"คงจะเหม็นสุดๆ เลย" อ้อมทำหน้าเบ้จมูกย่นเมื่อพูดถึงกลิ่น "พวกผีดิบเองก็คงจะกลิ่นแรงไม่แพ้กัน"

 

"ใช่ พี่คิดว่าพวกมันคงจะไม่ได้กลิ่น เพราะถ้าพวกมันจมูกดีแบบเดียวกับหู ป่านี้มันคงจะรู้แล้วว่าพวกเราอยู่ที่นี่" สินเดา "เพราะมันคงจะแยกแยะระหว่างศพคนตายกับคนเป็นออกไปแล้ว"

 

"ถ้าเป็นแบบนั้นหนูก็พอจะมีแผนในการเดินทางพรุ่งนี้แล้วคะ" อ้อมพูดยิ้มๆ

 

รุ่งขึ้นเมื่อถึงช่วงสายที่แดดออกสว่างจ้าที่สุด ทั้งคู่ก็ลงมาที่ชั้นล่างสุดของตึกพร้อมกับลังกระดาษใบใหญ่ 2 ใบที่เป็นลังใส่ตู้เย็น ทั้งคู่ค่อยๆ เดินออกมาจากประตูหน้าตึกอย่างช้าๆ โดยที่สินเป็นคนเดินนำหน้า

 

ย้อนไปก่อนหน้านั้นเมื่อทั้งคู่จะออกเดินทาง อ้อมก็ไปหยิบเอาลังใส่ตู้เย็นสองอันที่หาได้แถวนั้นพอดีมาให้สิน

 

"ถ้าพวกนั้นไม่ได้กลิ่นเราแล้วก็มองเห็นไม่ชัดตอนกลางวันอย่างที่พี่ว่า นั่นก็แปลว่าถ้าเราแอบซ่อนตัวโดยที่ไม่ทำให้เกิดเสียงหรือน่าสงสัยจนเกินไป เราก็น่าจะเดินผ่านบนถนนไปที่หัวลำโพงได้โดยที่พวกผีดิบไม่เห็น" อ้อมออกความคิด

 

แม้จะดูเสี่ยงและดูบ้าบิ่นแต่มันก็ยังดีกว่าแอบๆ ซ่อนๆ ค่อยๆ ไปตามถนน

 

ทั้งคู่ค่อยๆ เดินอย่างช้าๆ ตามๆ กันไปบนถนน ค่อยๆ เดินลดเลี้ยวผ่านรถที่จอดทิ้งไว้บนถนนไปอย่างช้าๆ เบาๆ

 

"!!!!! " สินตกใจสุดขีดเมื่อตรงหน้าคือศพหญิงสาวในชุดนักศึกษารัดรูป กำลังยืนเหม่ออยู่ตรงข้างรถเก๋งสีฟ้า โดยที่สินไม่ทันเห็นเมื่อเดินมาจากทางหลังรถ ทั้งคู่นิ่งเงียบใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ในใจก็ได้แต่ภาวนาให้ศพที่ยืนเหม่อนั้นมองไม่เห็นตน

 

"อืมมมมมม อืมมมมม อืมมมม" ศพนักศึกษาสาวเดินครางมาทางสินและอ้อมในกล่องกระดาษ ใบหน้าของนักศึกษาสาวนั้นยุบไปครึ่งหน้าที่ด้านซ้าย เสื้อผ้านักศึกษาสีขาวมอมแมมกระโปรงสีดำสั้นจุ๊ดจู๋ขาดจนเห็นกางเกงในสีชมพู "ตุบ...อืมมม อืมมมม" ศพนักศึกษาสาวชนกล่องของสินเบาๆ โดยไม่สนใจว่ามีอะไรข้างใน ก่อนจะเดินผ่านไปอย่างช้าๆ ท่ามกลางความโล่งอกของคนทั้งสอง

 

ทั้งสองค่อยๆ เดินอย่างช้าๆ เรื่อยๆ เหมือนนกเพนกวิน จนข้ามสะพานเจริญสวัสดิ์มาถึงหัวลำโพงได้ในที่สุด

 

"เฮ้อ...." สินถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อมายืนตรงทางเข้าหัวลำโพง ที่ตอนนี้มีซากรถตุ๊กๆ รถแท็กซี่จอดทิ้งเอาไว้เต็มหน้าถนนฝั่งทางเข้าสถานีหัวลำโพง

 

ภายในสถานีรถไฟหัวลำโพงนั้นเงียบสนิท ด้านในที่เป็นห้องโถงของสถานีรถไฟนั้นโล่งอย่างน่าประหลาด เก้าอี้รอผู้โดยสารนั้นไร้ผู้คนมีแต่ซากศพนอนตายกับคราบเลือดเท่านั้น

 

"ที่นี่คงเป็นที่แรกๆ ที่คนวิ่งหนีออกมาตอนเกิดเรื่องแน่ๆ " สินพอจะวาดภาพตอนที่เกิดเรื่องออก เพราะเขาเคยทำงานที่นี่จึงรู้ว่าที่แห่งนี้นั้นมีผู้คนมากมายแค่ไหน และตอนเกิดเรื่องวุ่นวายผู้คนคงจะหนีตายออกไปจากที่นี่จนหมด เพราะที่นี่เป็นสถานที่โล่งจึงไม่น่าจะปลอดภัยถ้าจะอยู่ ผู้คนจึงน่าจะวิ่งออกไปจนหมด

 

"ออกมาเถอะ" เมื่อคิดว่าปลอดภัยเขาจึงออกมาจากกล่อง

 

"เอาไงต่อคะพี่สิน" อ้อมถามสิน

 

"ตามมา" สินพาอ้อมเดินมาตามทางเพื่อมายังตัวสถานีที่มีรถไฟจอดอยู่บนรางเป็นจำนวนมาก

 

"เราจะขับเจ้านี่ไปได้จริงๆ หรอคะ" อ้อมที่ยืนดูรถไฟจอดบนรางหลายคันพูดขึ้นมาด้วยท่าทางแปลกใจ

 

"เราเอาแค่หัวรถจักรเท่านั้นก็พอ แค่เติมน้ำมันจนเต็มถังเราก็วิ่งไปได้แล้วล่ะเชื่อพี่" สินบอกระหว่างเดินสำรวจรถไฟทีละคันอย่างละเอียด

 

"คันนี้ล่ะ" สินเจอหัวรถจักรที่ตนเคยขับจึงขึ้นไปตรวจสอบระบบภายในห้องคนขับ โดยที่ให้อ้อมยืนถือปืนคุมเชิงอยู่ข้างนอก จนเมื่อแน่ใจเขาก็ลงมาจากห้องคนขับ "ไปรอในรถก่อน เดี๋ยวพี่จะสอนวิธีควบคุมแบบง่ายๆ ให้" สินบอกกับอ้อม

 

"แล้วพี่จะไปไหนคะ" อ้อมถามสินด้วยสีหน้าหวาดระแวงด้วยความกลัว

 

"พี่จะไปสับรางเพื่อให้รถออกไปบนรางหลักได้ แค่ตรงนี้เองไม่ไกลหรอก เธอรออยู่นี่ล่ะเดี๋ยวพี่มา" สินบอกกับอ้อม

 

"รีบมานะค่ะ พี่ชาย" อ้อมน้ำตาไหลเมื่อต้องไกลจากสินเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่พบกัน

 

"เดี๋ยวพี่ก็มาแล้ว ยัยสี่ตาร้องไห้เดี๋ยวไม่สวยนะ" สินพูดยิ้มๆ

 

หลังจากผ่านเรื่องราวมามากมาย ความผูกพันของทั้งสองคนก็พัฒนาขึ้นจนกลายเป็นความรักในแบบของพี่ชายที่ปกป้องน้องสาวจากอันตรายไปโดยที่ทั้งคู่ไม่รู้ตัว

 

เมื่อสอนการควบคุมรถไฟอย่างง่ายๆ และตรวจเช็คน้ำมันในหัวรถจักรจนพร้อม สินก็รีบวิ่งมาสับรางรถไฟทันที เพื่อให้หัวรถจักรสามารถวิ่งบนทางสายหลักไปได้

 

"มาเลย" สินโบกมือเรียกอ้อมให้ขับรถมาเมื่อตนสับรางเสร็จ

 

รถไฟค่อยๆ เคลื่อนมาอย่างช้าๆ จนมาจอดที่ชานชาราสถานีรอรถไฟที่สินยืนอยู่

 

"เก่งมากยัยสี่ตา พี่บอกแล้วไงว่ามันง่ายๆ " สินพูดกับอ้อมเมื่อเดินไปที่ห้องคนขับ

 

แต่ไม่ทันที่จะเดินไปถึงรถไฟ อ้อมก็เดินออกมาจากห้องคนขับพร้อมกับชายแก่ลงพุงคนหนึ่ง ที่ล็อกคอของอ้อมเอาไว้และเอาปืนที่สินให้อ้อมไว้จ่อที่หัวของเธอ

 

"โอ้...มิน่าล่ะ ถึงว่าทำไมสาวน้อยคนนี้ถึงขับรถไฟเป็น มีแกเป็นคนสอนที่เอง" ชายแก่พูดยิ้มๆ กับสินขณะที่จับอ้อมเป็นตัวประกัน

 

"ปล่อยเธอนะ!!! " สินตะโกนออกไปด้วยความโมโห แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้เพราะอ้อมถูกจับเป็นตัวประกันอยู่

 

"พี่จ๋าช่วยหนูด้วย!!!! " อ้อมร้องไห้เรียกสิน

 

"ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่ไปช่วย เธอจะปลอดภัยเชื่อพี่" สินจ้องตาอ้อมและพูดกับเธอเพื่อให้สาวน้อยสบายใจ

 

"แกต้องการอะไร จะเอารถไฟก็เอาไป แล้วปล่อยน้องสาวฉันซะ!!! " สินตะโกนบอกชายแก่

 

"รถไฟก็ต้องการอยู่แล้ว เมื่อกี้ดูสาวน้อยคนนี้กดปุ่มก็พอจะเดาออกว่าจะต้องขับยังไง แต่ที่ต้องการคงไม่ใช่แค่รถไฟแล้วล่ะ" ชายแก่เอาจมูกมาสูดลมหายใจแรงๆ ที่แก้มของอ้อม "ขอตัวสาวสวยคนนี้ไปด้วยแล้วกัน อยู่กับแกคงจะไม่ช่วยอะไรหรอก"

 

"อย่านะ!!! " สินตะโกนพร้อมกับจะวิ่งเข้าไป แต่เขาก็ต้องชะงักงันเมื่อถูกปืนเล็งมา "เห็นกับว่าเราเป็นคนที่รอดชีวิตที่เหลืออยู่ไม่มาก ฉันไม่อยากยิงคนด้วยกันให้เปลืองกระสุน" ชายแก่ค่อยๆ เดินเข้าไปในรถไฟเมื่อพูดจบ

 

"พี่จ๋า พี่!!! " อ้อมตะโกนเรียกสินเมื่อรถไฟเริ่มวิ่งมาทางตนอย่างช้าๆ

 

"ไปก่อนนะจ๊ะคุณพี่ชาย....ปัง ปัง!!! " เมื่อรถไฟวิ่งผ่านสินไปชายแก่ก็ยิงปืนออกมา

 

"พี่จ๋า...!!! " อ้อมตะโกนสุดเสียงเรียกร้องหาสินเมื่อเสียงปืนดัง

 

สินหลบคุดคู้ตัวอยู่บนพื้นด้วยความตกใจ แต่ชายแก่ไม่ได้ยิงสินแต่ยิงขึ้นฟ้า

 

"ก๊ากกกก ก๊ากกกก!!! " พวกศพแถวนั้นที่ได้ยินเสียงปืนจึงรีบวิ่งมาทันทีหลายตัว

 

"โชคดี" ชายแก่ชะโงกหน้าออกมาบอกล่าสิน เขาจงใจยิงปืนเรียกพวกศพให้มาฆ่าสินแทนการยิงเขา

 

"!!!!! " สินที่เห็นพวกศพวิ่งมาทางตน เขาก็วิ่งหนีอย่างสุดชีวิตเพื่อเอาตัวรอด

 

"หวังว่าพี่ชายเธอคงจะวิ่งเร็วกว่าพวกมันนะ" ชายแก่หันมาพูดกับอ้อมด้วยท่าทางสะใจ

 

"แกต่างหากที่ต้องเป็นคนวิ่ง!!!! " อ้อมพูดกับชายแก่ ก่อนจะรวบรวมความกล้า วิ่งชนชายแก่อย่างแรงจนเขากระเด็นออกมาจากหัวรถจักลงไปนอนที่พื้นชานชาลา

 

สินที่เห็นชายแก่กระเด็นออกมาจากหัวรถไฟ เขาก็รีบวิ่งตามรถไฟทันทีอย่างไม่รอช้า

 

"ช่วยด้วย!!! " ชายแก่พยายามลุกขึ้นยืนระหว่างที่สินวิ่งผ่านเขาไป

 

"ตัวใครตัวมันนะเพื่อน" สินวิ่งคว้าปืนที่ตกอยู่บนพื้นก่อนจะรีบวิ่งตามรถไฟจนทันก่อนสุดชานชาราเพียงนิดเดียว

 

"อ๊ากกกก!!!! " เสียวชายแก่ถูกพวกศพที่วิ่งมารุมกินทั้งเป็นอย่างหมดทางสู้

 

สินที่ขึ้นมาบนรถไฟได้นั่งหอบจนพูดอะไรไม่ออก ขณะที่อ้อมวิ่งมากอดสินทันทีด้วยความดีใจ

 

"พี่จ๋า พี่จ๋า หนูคิดว่าจะเสียพี่ไปซะแล้ว!!! " อ้อมร้องไห้ในอ้อมกอดของสิน

 

"ขอบใจนะที่ช่วยพี่เอาไว้ ไม่มีเธอพี่คงไม่รอด" สินพูดยิ้มๆ กับอ้อม

 

จากชายที่เคยใช้ชีวิตเพียงลำพังมาตั้งแต่เล็ก ไม่เคยรับรู้ความรู้สึกของความรักมาก่อน จนเมื่อโลกถึงจุดจบ เขากลับได้พบความรักความอบอุ่นที่ไม่เคยได้รับมาก่อน มันเป็นความรักที่เรียกว่ามิตรภาพและความผูกพัน

 

"สุดท้ายแล้วผมกลับได้พบสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตมาจากโลกที่ไร้ซึ่งทุกสิ่ง ต่างจากก่อนหน้านี้ที่แม้โลกจะมีทุกสิ่งแต่ผมกลับรู้สึกว่าขาดอะไรบางอย่างไป แต่ตอนนี้ผมไม่รู้สึกแบบนั้นแล้ว ตั้งแต่ที่ผมมีน้องสาวที่ต้องคอยปกป้อง"

 

สินหันมายิ้มให้กับอ้อม ระหว่างที่ทั้งสองคนนั่งอยู่บนรถไฟมุ่งตรงสู่ชนบทเพื่อหาสถานที่ใช้ชีวิตต่อไปในอนาคต....

เนื้อหาโดย: yongyee
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
yongyee's profile


โพสท์โดย: yongyee
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
มาเป็นคนแรกที่ VOTE ให้กระทู้นี้
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
สิบเลขขายดีแม่จำเนียรงวด 16/3/68ย้อนรำลึกเรื่องราวสะเทือนขวัญของการจารกรรมที่ล้มเหลวของเกาหลีเหนือนทท.เยอรมันยิ้มไม่หุบ ชื่นชมตร.ท่องเที่ยวกระบี่ ช่วยติดตามหาโทรศัพท์จนได้คืนตัวร้ายในตอนจบของนารูโตะนั้นสุดยอดจริงๆ และพิสูจน์ให้เห็นว่าแฟนๆ เข้าใจผิดเกี่ยวกับซีรีส์นี้ไปอย่างสิ้นเชิง“แกงรัญจวน” เมนูสุดอร่อย มาจากอาหารเหลือ?“ครูเบียร์” โชว์หวาน ออกรอบตีกอล์ฟกับแฟนหนุ่ม แต่ทำแฟนๆ โฟกัสผิดจุดซะงั้นและ Gold Medalist ต้นสังกัดของคิมซูฮยอน ได้ออกแถลงเพิ่มเติม หลังมีทั้งภาพใกล้ชิดกับคิมแซรน และจดหมายรักที่เขียนสมัยเข้ากรมออกมาเจ้าตูบเรอเสียงดังลั่นบ้าน ทำเจ้าของถึงกับสะดุ้ง บอกไปใครจะเชื่อ!!โจ๋เมืองคอนดุ!มีดเดือยไก่ปักคาแผ่นเด็กเทคนิค เจ็บสาหัสเจ้าของสวนผงะ!ตัดหญ้าเจอยาบ้านับหมื่น ปืน1กระบอกศิลปะแห่งรักต้องห้าม ที่ยังยืนยาวมาถึงปัจจุบัน ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อนเงินบำนาญชราภาพแบบใหม่ VS แบบเดิม ต่างกันอย่างไร
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
ใจสั่น! หนุ่มหล่อระดับเทพ คัมแบ็กทวงบัลลังก์ Calvin Klein“แกงรัญจวน” เมนูสุดอร่อย มาจากอาหารเหลือ?Ford Ranger ขับรถข้ามที่กั้นถนน ชาวเน็ตวิจารณ์ยับนทท.เยอรมันยิ้มไม่หุบ ชื่นชมตร.ท่องเที่ยวกระบี่ ช่วยติดตามหาโทรศัพท์จนได้คืนและ Gold Medalist ต้นสังกัดของคิมซูฮยอน ได้ออกแถลงเพิ่มเติม หลังมีทั้งภาพใกล้ชิดกับคิมแซรน และจดหมายรักที่เขียนสมัยเข้ากรมออกมา“แยม ฐปณีย์” เสียดาย ไม่มีชื่อร่วมทริป “ภูมิธรรม” เยือนจีน ติดตามชีวิตชาวอุยกูร์ทั้ง 40 คน
กระทู้อื่นๆในบอร์ด นิยาย เรื่องเล่า
เทคนิคการเขียนและแต่งนิยายเบื้องต้นสำหรับมือใหม่ บทที่ 3 ตอนเริ่มและตอนจบนิยายเทคนิคการเขียนและแต่งนิยายเบื้องต้นสำหรับมือใหม่ บทที่ 2 ฝึกเขียนเรื่องสั้นนิยายชีวิตอันเสเพลของ "สุมาเอี๋ยน" หลังรวมแผ่นดินได้
ตั้งกระทู้ใหม่
หน้าแรกเว็บบอร์ดหาเพื่อนChatหาเพื่อน Lineหาเพื่อน SkypePic PostตรวจหวยควิซคำนวณPageแชร์ลิ้ง
Postjung
เงื่อนไขการให้บริการ ติดต่อเว็บไซต์ แจ้งปัญหาการใช้งาน แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม ข่าวประชาสัมพันธ์ ลงโฆษณา
เว็บไซต์นี้ใช้ Cookie
เพื่อประสบการณ์ที่ดีและการใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ดูข้อมูลเพิ่มเติม อ่านนโยบายการใช้งาน
ตกลง