รักตราบวันสุดท้าย
รักตราบวันสุดท้าย
โดย อักษราลัย
ฝนพรำฉ่ำตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ฉันลุกแหวกมุ้งตั้งแต่เสียงเปาะแปะเริ่มดังกระทบหลังคาสังกะสี เดินไปหยิบกะละมังที่ซ้อนกันไว้ใต้ตู้กับข้าว วางตามจุดที่ฝนทะลุร่วง หันวางไปมาสองสามจุด มือเล็ก ๆ ก็แย่งกะละมังไปวางแทนจนครบ
"ลุกออกมาทำไมล่ะลูก แค่นี้แม่ทำเองได้ ฟ้ายังไม่สว่างเลย" ฉันยิ้มให้เปี๊ยกลูกชายคนโต ที่ลุกออกมาช่วยโดยไม่ได้ร้องขอ
มองฟ้าที่ยังคงมีฝนเทลงมา ถอนหายใจยาว ก่อนเดินไปจุดเตาหุงข้าว ทำกับข้าวสำหรับลูกทั้งหก และเพื่อนำไปขายหน้าโรงงาน
"ฝนตกแบบนี้แม่จะขายได้เหรอ?" คำทักออกจากปากลูกกระทบตรงกับความหวั่นใจของฉัน ชะงักมือที่กำลังจัดเตรียมของ
“ยังไงลูกกับน้องก็ต้องกินข้าวนี่นา” ลูกยิ้มรับคำพลางหันไปมองน้อง ๆ ที่ยังนอนหลับสบายเรียงกันอยู่ในมุ้ง อย่างไม่รู้ทุกข์ร้อนอะไร
มองตามพลางครุ่นคิด ฉันเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวมานานถึงสามปี พ่อของเขาประสบอุบัติเหตุตายในโรงงานนั้นนี่เอง อาชีพของฉันคือแม่ค้าขายอาหารอยู่หน้าโรงงาน จนกระทั่งรู้จักเขา ชีวิตตอนมีเขาอยู่เคยดีกว่านี้มาก เขาเป็นพ่อและสามีที่ดี ช่วยทำของขาย ช่วยดูแลลูก โดยเฉพาะเปี๊ยกลูกชายคนแรกของเรา หลังมีเปี๊ยก เราทั้งคู่ก็มีลูกชายหญิงเพิ่มมาอีกห้าคน แม้ว่าเราจะไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่ลูก ๆ ก็ไม่เคยอด สำหรับเขาทุกเรื่องเป็นเรื่องเล็กเสมอ คำพูดติดปากเขาคือ “จะคิดมากทำไม พรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว”
ครอบครัวเล็ก ๆ ของเรามีความสุขตามอัตภาพ ความทุกข์มาเยือนตอนเขาจากไปนี่เอง แม้ลูกทุกคนจะเป็นเด็กดี แต่ภาระหนักกลับตกอยู่ที่เปี๊ยกทุกอย่าง ทั้งการดูแลบ้านและดูแลน้อง ๆ เขากลายเป็นเหมือนพ่อของน้อง ๆ
.
วันที่ฉันลืมไม่ลงและรู้สึกผิดที่สุด คือวันจบชั้นประถมปีที่หกของเขา
“เปี๊ยก... แม่รู้นะว่าลูกอยากเรียนต่อ แต่...” ฉันพูดยังไม่ทันจบลูกก็พูดแทรกขึ้นมา
“ผมจะไม่เรียนต่อ ผมจะช่วยแม่เอง” แม้จะเป็นคำที่ฉันอยากได้ยินที่สุด แต่ก็อดลอบมองสีหน้าของเปี๊ยกไม่ได้ ใบหน้าของเด็กชายตรงหน้ากร้าวแกร่ง แววตามีความมุ่งมั่น เข้มแข็ง และฉันทันเห็นแวววูบไหวในแววตานั้นแว่บหนึ่ง มือของฉันลูบเบา ๆ ที่ศีรษะของเขาก่อนจะดึงตัวเข้ามากอด
“ขอบใจนะลูกที่เข้าใจแม่”
..................................
.
หลายปีที่ผ่านมาเปี๊ยกอยู่เคียงข้างฉันทุกอย่าง และยังคอยดูแลน้อง ๆ จนแต่ละคนจบการศึกษามีงานทำที่ดี เมื่อป๋องน้องชายคนสุดท้องเรียนจบปริญญาตรี ทุกคนก็ขอให้ฉันหยุดพัก เลิกทำอาหารไปขาย ฉันต่อรองด้วยการขายของเล็ก ๆ ในบ้านหลังใหม่ ที่ทุกคนรวบรวมเงินช่วยกันผ่อน ยอมรับว่าฉันสบายขึ้นกว่าก่อนมาก ไม่ต้องตื่นแต่เช้ามืดเพื่อลุกขึ้นมาหุงข้าว ทำกับข้าว เร่งรีบให้ทันกับเวลาเข้างาน เหนื่อยจนเหงื่อไหลเป็นสายไม่ต่างกันทั้งฉันและเปี๊ยก
“แม่ครับ ผมจะไปทำงานต่างประเทศ” เขาเดินมาบอกฉันหลังอาหารมื้อเช้า ในมือมีกระเป๋าเดินทาง นี่ไม่ใช่การขอแต่คือการบอก ฉันใจหายอย่างคนที่จะต้องจากคนที่รักที่สุด ใครจะบอกว่าแม่รักลูกเท่ากัน ฉันขอเถียง เชื่อเถอะว่าทุกคนต้องมีคนโปรดในบรรดาลูก ๆ ทั้งหมด และคนโปรดของฉันคือเปี๊ยก แม้ทุกคนจะเข้าใจว่าคือป๋อง ลูกชายคนสุดท้อง ฉันก็ไม่เคยแก้ความเข้าใจผิดนั้นเลย
“ไปที่ไหนล่ะลูก” น้ำเสียงฉันสั่นอย่างอารมณ์ภายใน แววตาวูบไหว แม้ใจจะอยากห้าม แต่เขาก็เสียสละเพื่อครอบครัวนี้มามากเกินพอแล้ว หากฉันเหนี่ยวรั้งไว้ คงเห็นแก่ตัวเกินไป
“ที่แรกน่าจะเป็นสิงคโปร์ แล้วคงไปประเทศอื่น ๆ ด้วย” คำบอกนั้นทำให้ฉันรู้ว่าเขาจะไปแบบผิดกฎหมาย
“แน่ใจแล้วเหรอลูก แม่เป็นห่วง” เปี๊ยกชะงักไปนิดหนึ่งกับคำว่าเป็นห่วงของฉัน ไหล่ของเขาสั่นสะท้านอย่างพยายามสะกดกั้นอารมณ์อ่อนไหว ฉันเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าข้างตัว หยิบสร้อยพระที่ถอดออกไว้ ยื่นคล้องใส่ลงไปในคอเขา
“แม่... นี่มัน” คำพูดหยุดเพียงเท่านั้น ก่อนที่ฉันจะดึงเขาเข้ามากอดนิ่งนาน หวังว่าความรักจะส่งผ่านไปถึงเขาได้
“ให้พระคุ้มครอง ให้สร้อยนี้เป็นตัวแทนของแม่ไปกับลูกในทุก ๆ ที่นะลูกนะ” น้ำตาที่กลั้นไว้ไหลลงมาเป็นทาง
“ลำบากยังไงก็กลับบ้านเรานะลูกนะ” นั่นคือคำสุดท้ายที่ฉันพูดกับเขา
...........................................
.
“แม่จ๊ะ กินโจ้กนี่หน่อยนะ” เสียงแป๋วลูกสาวคนโตดังแว่วมา ฉันเม้มปาก พลางสั่นหน้าเบา ๆ รู้ตัวดีว่าวาระสุดท้ายของฉันใกล้เข้ามาแล้ว
มาฉันป้อนเอง เสียงป้อมลูกคนถัดมาพูด พลางยื่นช้อนเข้ามาจนชิดริมฝีปาก โจ้กบางส่วนไหลเข้ามาในปาก บางส่วนไหลลงข้าง ๆ ย้อยลงไปจนถึงคาง ก่อนที่ป้อมจะเอากระดาษเปียกมาเช็ดให้จนสะอาด
“แม่ ...” เสียงที่ฉันอยากได้ยินมานานดังขึ้น ฉันลืมตาขึ้นเพื่อดูให้ชัดว่าใช่คนที่รอคอยหรือไม่
“พี่เปี๊ยกลองป้อนโจ้กแม่บ้างเถอะ เราทุกคนผลัดกันป้อนยังไงแม่ก็ไม่ยอมกิน เอาแต่เม้มปาก แม่อาจจะรอพี่อยู่ก็ได้” เสียงเปิ้ลลูกสาวคนที่สี่พูดขึ้น
“พี่เปิ้ล พูดบ้าอะไรน่ะ” ป๋องดุพี่สาว ที่พูดเหมือนเป็นลาง
“เปี๊ยก มาแล้วเหรอลูก เป็นไงบ้าง แม่นึกว่าจะไม่ได้เห็นหน้าลูกแล้วเสียอีก” เสียงฉันสั่นไม่ต่างจากวันลาในคราวนั้น เพียงแต่ครั้งนี้ฉันรู้ตัวดีว่า คงเป็นการลาจากกันไปอย่างไม่มีวันกลับ พยายามจ้องมองไปที่เขา แปลกตากลับเคราเข้มดก ที่ไม่เคยเห็น เขาดูโตขึ้นมากกว่าเดิม กลายเป็นหนุ่มใหญ่ที่หล่อที่สุดในสายตาของฉัน
“แม่กินโจ้กนี่ซะหน่อยนะ มาเปี๊ยกป้อน” ฉันอ้าปากรับโจ้กนั้นอย่างยินดีและรอคอย ความคิดโลดแล่นไปถึงวันฝนพรำ นึกถึงมือเล็ก ๆ ที่แย่งกะละมังไปรองตามจุดที่ฝนรั่ว มือน้อย ๆ ที่เติบใหญ่ตามกาลเวลา มือที่คอยประคองรถเข็นเคียงข้างฉันแทนที่พ่อของเขา ตอนนี้ฉันหมดห่วงแล้ว ยิ้มน้อย ๆ ออกจากริมฝีปากซีดบางก่อนที่ความรู้สึกทุกอย่างจะดับวูบไปเหมือนปิดสวิตช์ ไม่รับรู้ถึงเสียงร้องระงมจากลูก ๆ ทั้งหก ไม่รับรู้ความคิด ความรู้สึกใด ๆ อีกต่อไป ...