Share Facebook LINE Twitter
หน้าแรก เว็บบอร์ด Chat ตรวจหวย ควิซ คำนวณ Pageแชร์ลิ้ง
หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

รู้เรื่องชุดไทย

โพสท์โดย varietyart

 

หลายคนที่ชอบดูละครก็คงสงสัยว่าชุดในละครที่ใส่มีมากันตั้งแต่เมื่อไหร่เพราะส่วนใหญ่ก็เห็นทำให้ห่มสไบก็นุ่งเสื้อหมูแฮมซึ่งวันนี้เราจะมาพูดคุยถึงวิวัฒนาการและพัฒนาการของการแต่งกายของคนไทยแต่ละยุคแต่ละสมัยกันนะคะ

พัฒนาการของเครื่องแต่งกายตั้งแต่สมัยสุโขทัยมาจนถึงรัตนโกสินทร์ไม่เพียงเกี่ยวข้องกับบริบททางสภาพอากาศแต่อีกแง่หนึ่งยังสะท้อนถึงบริบทอีกหลายประการ ตั้งแต่ยุคสมัยที่เปลือยอกจนถึงช่วงยุคกำเนิดราชปะแตน เสื้อลูกไม้ มาจนถึงเสื้อและกางเกงตามแบบสากลนิยม

หลักฐานเกี่ยวกับการแต่งกายยุคสุโขทัยยังไม่สามารถหาเครื่องบ่งชี้อย่างชัดเจนนอกเหนือจากเครื่องถ้วยสังคโลกรูปชายหญิงเป็นหลักฐานพอช่วยเทียบเคียงได้บ้าง จนมาเมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยาที่กินระยะเวลายาวนานกว่า 400 ปี ซึ่งมีหลักฐานที่สามารถพออธิบายได้

อยุธยา

ในสมัยช่วงต้นอยุธยา ผู้ชายที่เป็นชาวบ้านทั่วไปมักไม่สวมท่อนบน หรือแม้แต่ขุนนางถึงพระมหากษัตริย์ก็สวมเสื้อบ้างตามแต่ความเหมาะสม หลักฐานหนึ่งที่พบข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องแต่งกายคือกฎมณเฑียรบาล เมื่อ พ.ศ. 1901 สมัยพระเจ้าอู่ทอง มีข้อความส่วนหนึ่งว่า "ขุนหมื่นพระกำนัลก็ดี ราชยานก็ดี อภิรมก็ดี โภกหูกระต่าย เสื้อขาว นุ่งขาว ผ้าเชีงวรรณ”

เสื้อผ้ายังเป็นอีกหนึ่ง "รางวัล” ที่พระมหากษัตริย์พระราชทานให้ผู้ประกอบความดีความชอบเช่นรบชนะศัตรู รางวัลเป็นทั้งขันเงิน ขันทอง และ "เสื้อผ้า” ซึ่งทำให้เห็นได้ว่า "เสื้อ” (แบบอยุธยา) มีปรากฏมานานกว่า 500 ปีแล้ว แต่ไม่ได้ใส่ในชีวิตประจำวันทั่วไปซึ่งนั่นทำให้ชาวต่างชาติที่เข้ามาในไทยสมัยพระนารายณ์มหาราช เมื่อ 300 ปีก่อนอย่างนิโกลาส์ แชร์แวส แสดงความคิดเห็นว่า "อาชีพที่อัตคัดที่สุดในราชอาณาจักรสยามก็คืออาชีพช่างตัดเสื้อ เพราะพลเมืองสามัญเขาไม่สวมเสื้อกัน” ก็เป็นแนวความคิดของชาวต่างชาติที่พูดถึงการใส่เสื้อผ้าของคนในยุคนั้นแต่เอาเข้าจริงๆแล้วน่าจะเป็นส่วนสำคัญที่คนไทยไม่ใส่คือเรื่องของสภาวะอากาศจะให้มาแต่งตัวเลิศหรูปิดทุกส่วนแบบชาวยุโรปที่แต่งมาอยุธยาอันนั้นก็คงจะร้อนตายกันทีเดียว

ขณะที่กางเกงก็เชื่อว่ามีขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน ศัพท์ที่คนยุคนี้อาจคุ้นเคยกันคือ "สนับเพลา” หมายถึง กางเกงขาสั้นครึ่งน่อง ในกฎมณเฑียรบาลก็มีเอ่ยถึงสนับเพลาไว้ในส่วนพระสนมที่ต้องโทษถึงประหารชีวิต ให้ใส่ "สนับเพลาจึ่งมล้าง”

ส่วนผู้หญิงมีทั้งเสื้อ-ผ้าสไบ และผ้านุ่ง หลักฐานเกี่ยวกับเครื่องแต่งตัวเจ้านายผู้หญิงยังปรากฏในกฎมณเฑียรบาล อธิบายว่า ลูกเธอ เอกโท "เสื้อโภคลายทอง” หลานเธอเอกโท "เสื้อแพรพรรณ” แต่เชื่อว่าโดยผู้หญิงทั่วไปแล้วก็นิยมห่มสไบ ท่อนล่างนุ่งผ้าจีบ หรือนุ่งแบบโจงกระเบนแต่บางคนในยุคสมัยนี้ก็มาเถียงกันบอกว่าในสมัยนั้นผู้หญิงไม่ใส่เสื้อเดินโทงๆที่ว่าไม่ใส่เสื้อคงจะมีแหละแต่ว่าคงไม่ใช่ทุกคนจะไม่ใส่เสื้อเพราะมีหลักฐานเห็นจากที่ยกตัวอย่างแล้วว่ามีการบันทึกถึงเจ้านายฝ่ายหญิงว่ามีการนุ่งห่มเสื้อผ้าและไอ้คนธรรมดาจะไม่มีเสื้อผ้านุ่งห่มได้อย่างไร

เมื่อมาถึงสมัยกรุงธนบุรี เชื่อว่า การแต่งกายน่าจะยังไม่เปลี่ยนแปลงจากสมัยกรุงศรีอยุธยามากนักจากที่กรุงธนบุรีมีระยะเวลาประมาณ 12 ปี และเวลาผ่านมาถึงยุครัตนโกสินทร์ตอนต้นก็ยังพบเห็นลักษณะการแต่งกายที่ใกล้เคียงกับกรุงศรีอยุธยาเพราะในยุคนั้นคนยังเรียกตัวเองอยู่เลยว่าเป็นชาวอยุธยาดังนั้นเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายก็คงจะไม่ได้แตกต่างกันมากมาย

รัตนโกสินทร์ : รัชกาลที่ 1 – รัชกาลที่ 3

สมัยรัตนโกสินทร์ ในช่วงต้นยุคตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ถึง รัชกาลที่ 3  การแต่งกายยังเป็นแบบสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ผู้ชายเปลือยท่อนบน หรือพาดผ้าบ้าง สวมเสื้อบ้างตามโอกาส แต่เชื่อว่าส่วนหนึ่งน่าจะขึ้นกับสภาพอากาศและกาลเทศะ สำหรับชนชั้นเจ้านายก็มักพบเห็นภาพถ่ายไม่สวมท่อนบนอยู่หลายรูป แต่ในช่วงฤดูหนาวก็จะมีการแต่งกายอีกลักษณะ ดังที่เห็นจากเนื้อความในพระราชพงศาวดารรัชกาลที่ 3 ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) มีใจความตอนหนึ่งว่า

"…ถ้าฤดูหนาว เจ้าทรงเสื้อสีชั้นเดียว คาดส่านบ้าง แพรสีบ้าง ขุนนางสวมเสื้อเข้มขาบอัตลัด แพรสี 2 ชั้น ที่ได้พระราชทาน เสนาบดีคาดส่าน ถ้าวันไหนที่ไม่หนาว หรือฤดูร้อน ผู้ใดสวมเสื้อเข้ามาก็ไม่โปรด…”

นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานเกี่ยวกับการแต่งกายเมื่อเข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์อีก โดยเว็บไซต์สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ยกข้อความจากสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่ทรงอธิบายว่า

"ข้าราชการมาจากบ้านมักเอาเสื้อคลุมมาด้วย ถ้าพระเจ้าแผ่นดินไม่ทรงฉลองพระองค์ ก็ต้องถอด หนาวแสนหนาวก็ต้องทนเอา บางคราวกำลังเฝ้า พระเจ้าแผ่นดินทรงเรียกฉลองพระองค์มาสวมก็มี จนเป็นที่สังเกตกันว่า เมื่อไรพระถันหด ข้าราชการก็ดีใจจะได้สวมเสื้อ”

ส่วนการแต่งกายท่อนล่างของผู้ชาย จะนุ่งโจงกระเบนผืนเดียว หรือหากเป็นทหารอาจนุ่งโจงกระเบนทับสนับเพลา สำหรับกรณีที่อยู่ในบรรยากาศแบบตามสบาย บางคนก็อาจนุ่งผ้าลอยชาย หรือปล่อยชายลงมาไม่ม้วนไปเหน็บท้าย ขณะที่ผู้หญิงเมื่อสังเกตจากภาพจิตรกรรมฝาหนัง ก็จะพบว่ายังนุ่งโจงกระเบน ส่วนหญิงชาววังอาจนุ่งจีบ (ใกล้เคียงกับที่ตัวนางที่อยู่ในพวกละครนุ่ง)

รัชกาลที่ 4

ครั้นสมัยรัชกาลที่ 4 การแต่งกายจึงเริ่มเปลี่ยนแปลงไปตามแบบตะวันตกหลังจากติดต่อกับยุโรปมากขึ้น รัชกาลที่ 4 ทรงโปรดให้สวมเสื้อเข้าเฝ้าฯ สืบเนื่องจากช่วงก่อนหน้าพระราชพิธีบรมราชาภิเษก มีข้าราชการมาเข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พลับพลาที่ประทับชั่วคราว ทรงพบว่า ข้าราชการที่เข้าเฝ้าไม่สวมเสื้อ พระองค์ทรงเห็นว่าข้าราชการในประเทศมหาอำนาจสวมเสื้อกันหมด มีเพียงแต่ชาวป่าที่ยังเปลือยท่อนบน ดังพระราชพงศาวดารรัชกาลที่ 4 ตอนหนึ่งว่า

"ครั้งนั้นยังไม่มีธรรมเนียมที่จะสวมเสื้อเข้าเฝ้า จึงดำรัสว่า ดูคนที่ไม่ได้สวมเสื้อเหมือนเปลือยกาย ร่างกายจะเป็นกลากเกลื้อนก็ดีหรือเหงื่อออกมาก็ดี โสโครกนัก…”

หลังจากนั้นจึงเริ่มมีธรรมเนียมข้าราชการสวมเสื้อมาเข้าเฝ้า แต่ช่วงแรกยังไม่เป็นแบบแผนที่ชัดเจน ภายหลังจึงเริ่มเป็นเสื้อกระบอกแบบเสื้อบ้าบ๋า (เสื้อของบุตรชาวจีนที่เมืองปัตตาเวีย) ซึ่งกลายเป็นต้นแบบของเสื้อข้าราชการในราชสำนักในภายหลังก่อนที่รูปแบบตะวันตกจะแพร่หลายในช่วงการปกครองแบบประชาธิปไตย

กรณีนี้หม่อมราชวงศ์แน่งน้อย ศักดิ์ศรี ยังวิเคราะห์ว่า การที่รัชกาลที่ 4 โปรดให้ข้าราชการสวมเสื้อเข้าเฝ้า ส่วนหนึ่งมาจากที่พระองค์ทรงเคยเป็นพระภิกษุ เมื่อลงอุโบสถกรรม พระสงฆ์ต้องแต่งกายให้เรียบร้อย แต่แทนที่จะทรงนำการแต่งกายของพระสงฆ์มาเทียบ พระองค์ทรงใช้ตัวอย่างประเทศใหญ่มาเปรียบเทียบแทน (หม่อมราชวงศ์แน่งน้อย ศักดิ์ศรี, 2549)

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยอีกส่วนหนึ่งอาจมองได้ว่ามาจากอิทธิพลจากการติดต่อกับตะวันตก ดังเช่นพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 4 ซึ่งทรงสวมสนับเพลา (กางเกง) และฉลองพระองค์ (เสื้อ) แบบฝรั่งฉายพระรูปหลายครั้ง

รัชกาลที่ 5

การเปลี่ยนแปลงเรื่องเครื่องแต่งกายมาเริ่มแบบจริงจังในสมัยรัชกาลที่ 5 เริ่มเกิดเสื้อราชปะแตน อีกทั้งทรงผมผู้ชายก็เลิกไว้ทรงมหาดไทย หลังจากที่รัชกาลที่ 5 ทรงเสด็จไปต่างประเทศครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2413 ทรงทอดพระเนตรความเจริญของบ้านเมืองใกล้เคียงอย่างสิงคโปร์และชวา โปรดฯ ให้ผู้ตามเสด็จไว้ผมยาวตั้งแต่ก่อนออกเดินทาง จากนั้นพระองค์ทรงเปลี่ยนแบบพระเกศาด้วย ข้าราชการทั้งหลายก็เปลี่ยนตามพระราชนิยม ทำให้ทรงมหาดไทยเริ่มเสื่อมความนิยม

ช่วงการเปลี่ยนทรงผมขุนนางผู้ใหญ่บางรายยักย้ายตัดผมข้างล่างสั้นข้างบนยาว เรียกกันว่า "ผมรองทรง” (ครึ่งไทยครึ่งฝรั่ง) จึงถือว่าผมแบบรองทรงเริ่มเกิดมาตั้งแต่สมัยนั้น

สำหรับเสื้อราชปะแตนนั้นเกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2415 เริ่มต้นจากที่รัชกาลที่ 5 ทรงเห็นว่าเสื้อนอกแบบฝรั่งใส่แล้วร้อนอบอ้าวเพราะต้องมีเสื้อใน ผ้าผูกคอ จึงทรงคิดฉลองพระองค์คอปิด กระดุม 5 เม็ด ไม่ต้องสวมเสื้อชั้นใน เรียกกันว่า "ราชปะแตน” เพราะมาจาก "ราช” กับ "Pattern” (รูปแบบ)

ขณะที่ผู้หญิงก็มีเปลี่ยนแปลงทรงผมเช่นกัน เปลี่ยนจากผมปีกแบบเก่ามาไว้ผมยาว เริ่มเพิ่มเสื้อแขนยาวแล้วจึงห่มสไบทับในช่วง พ.ศ. 2416 โดยโปรดฯ ให้ผู้หญิงในราชสำนักใส่เสื้อแขนยาว ชายเสื้อเพียงบั้นเอว และห่มแพร สไบเฉียงบ่านอกเสื้อ และให้สวมเกือกบู๊ตกับถุงเท้าตลอดน่อง และยังเกิดเสื้อลายลูกไม้และเสื้อแขนพองแบบหมูแฮม

ส่วนเสื้อลายลูกไม้ที่เราเห็นใส่กันโดยทั่วทั้งในหนังในละครและภาพถ่ายมีมาอย่างช้าตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. 2428 คาดว่า เป็นอิทธิพลจากที่มีห้างขายเสื้อผ้าของฝรั่งและแฟชั่นในเมืองนอก สังเกตจากภาพถ่ายของเจ้านายผู้หญิง อาทิ พระวิมาดาเธอ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ขณะที่เสื้อผู้หญิงที่แขนพองตอนบนแบบขาหมูแฮม คาดว่านิยมกันเมื่อ พ.ศ. 2439 จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นสวมเสื้อแพรแขนยาวไม่โป่งตอนบน

รัชกาลที่ 6

สมัยรัชกาลที่ 6 ชาวบ้านก็เริ่มแต่งกายตามฐานะและสภาพสังคม ผู้ชายทั่วไปนุ่งกางเกงแพรของจีน หรือนุ่งผ้าม่วง ผ้าพื้น (ผ้าทอเอง) สวมรองเท้าบ้าง หรือไม่สวมบ้าง ข้าราชการสวมเสื้อราชปะแตน นุ่งผ้าม่วง สวมรองเท้า

ผู้หญิงทั่วไปเดิมทีก็นุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อ หรือคาดผ้าแถบ ห่มสไบ ต่อมาเริ่มมีพระราชนิยมให้นุ่งผ้าซิ่น ไว้ผมยาว และเกิดแฟชั่นเสื้อแขนสั้น ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 7 ก็เปลี่ยนแปลงอีกคราเป็นเสื้อไม่มีแขน

รัชกาลที่ 8 – รัชกาลที่ 9 : รัฐนิยม ถึงชุดประจำชาติ

ในสมัยรัชกาลที่ 8 นโยบายของจอมพล ป. พิบูลสงครามก็เข้ามาปรับเปลี่ยนการแต่งกายอีกครั้ง หลังจากเข้ามาดำรงตำแหน่งพ.ศ. 2481 ให้ชายและหญิงสวมหมวก เสื้อมีแขน (ชาย) และรองเท้า ผู้หญิงต้องสวมเสื้อคลุมไหล่ และชักชวนให้สวมผ้าถุงแทนโจงกระเบน

เมื่อมาถึงสมัยรัชกาลที่ 9 ในช่วงก่อนพ.ศ. 2500 การแต่งกายใกล้เคียงกับสมัยรัชกาลที่ 8 มีรายละเอียดเปลี่ยนแปลงบ้างเล็กน้อยตามสมัยนิยม อาทิ กระโปรงนิวลุคของฝ่ายหญิง (กระโปรงบาน นั่งกับพื้นแล้วจะเห็นเป็นวงกลม) กับกระโปรงสุ่มไก่

หลังพ.ศ. 2500 จึงเริ่มมี "ชุดแต่งกายประจำชาติ” ทั้งหญิงและชาย โดยเกิดในฝ่ายหญิงก่อนในพ.ศ. 2503 สืบเนื่องมาจากพระราชดำริในสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 เมื่อครั้งเสด็จฯ เยือนยุโรปและอเมริกา 14 ประเทศ ทรงโปรดฯ ให้คิดชุดประจำชาติรวม 8 แบบเพื่อสวมในโอกาสต่างๆ ดังเรียกกันว่า "ชุดไทยพระราชนิยม”

ฝ่ายชายเริ่มเมื่อ พ.ศ. 2522 มาจากช่วงพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสมัยนั้นเยือนประเทศอาเซียน และเห็นแต่ละประเทศมีชุดประจำชาติ จึงนำความขึ้นกราบบังคมทูลปรึกษาสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 พระองค์ทรงพระราชทานฉลองพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 แก่พลเอกเปรม พร้อมทั้งพระราชทานแบบเสื้อ จึงเกิดเป็น "เสื้อพระราชทาน” พลเอก เปรม เผยแพร่เมื่อ พ.ศ. 2522 โดยมี 3 แบบ แขนสั้น, แขนยาวคาดผ้า และแขนยาวไม่คาดผ้า เป็นเสื้อคอตั้งมีสาบผ่าอก มีกระดุม 5 เม็ด

อีกด้านหนึ่งช่วงพ.ศ. 2511 ก็เริ่มเป็นยุคของ "แฟชั่น” สมัยนิยม ซึ่งเปลี่ยนแปลงกันตามกระแส ตั้งแต่ กระโปรงสั้น กระโปรงมิดี้ (ครึ่งน่อง) กระโปรงแม็กซี่ (ใส่ไปงานราตรี) เมื่อพ.ศ. 2513 มีกระแสฮิปปี้ (เสรีชนตะวันตก) ก็เริ่มมีไว้ผมยาว มาถึงกางเกงขายาว ที่มีศัพท์เรียกกันว่า กางเกงเด๊ฟ (ลีบทั้งขา) กางเกงม้อด (ลีบเฉพาะหัวเข่า) กางเกงเซลเลอร์ (หลวมตั้งแต่เอวถึงกรอมรองเท้า) และกลายเป็นกางเกงแบบสุภาพที่ดูเรียบแต่สุภาพ สวมใส่สบายในปัจจุบัน

เรียกว่าการแต่งกายตามยุคสมัยแต่ละยุคก็เหมาะสมกับเวลา ณ ช่วงนั้นๆพอมาสมัยนี้ก็จะมียุคของการแต่งกายแบบแฟชั่นของการร่วมสมัยแต่สิ่งหนึ่งที่เราควรภาคภูมิใจคือชุดไทยของเรางดงามจนกระทั่งชาวต่างชาติมองว่าหากมาเมืองไทยต้องสักครั้งหนึ่งได้ใส่ชุดไทยถ่ายภาพสวยๆ และคนไทยในปัจจุบันก็เช่นเดียวกันหากเดินทางไปตามโบราณสถานก็จะใส่ชุดไทยเพื่อถ่ายภาพเซลฟี่เก็บไว้เป็นที่ระลึก ซึ่งชุดไทยใครใส่ก็สวย

โพสท์โดย: varietyart
อ้างอิงจาก: สารานุกรมไทย, เอนกนาวิกประมูล, กระทรวงวัฒนธรรม
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
varietyart's profile


โพสท์โดย: varietyart
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
10 VOTES (5/5 จาก 2 คน)
VOTED: varietyart, guh
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
รวยเงียบแต่รวยจริง! “ปุ๋ย Lกฮ.” ทำเงินมหาศาลบอกเลยไม่เบาสะเทือนใจ! โกบอยเผยภาพเด็ก 14 ที่ถ้ำกระบอก ส่งสารถึงนายกฯ ให้เร่งแก้ปัญหาเลี้ยงแมวดีไหมมีข้อเสียอะไรบ้างอาชีพ 5 อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามไม่ให้ทำ!รวมภาพเรียกรอยยิ้มประจำวันนี้ วันที่ 13/03/68 ท้องฟ้าครึ้มๆ แต่ก็ร้อนอบๆอยู่น๊าแต่งแล้วจ้า! อินฟลูสาวจับมือแฟนหนุ่มสละโสด วิวาห์ในโบสถ์สุดซึ้งหวยแม่จําเนียร งวด 16 มีนาคม 2568รวมภาพเรียกรอยยิ้มประจำวันนี้ วันที่ท้องฟ้าครึ้มๆ แต่อากาศอบอ้าวไม่เบา เขาว่ากันว่าจะ 40 องศา หลายพื้นที่เลยเด้อชายและหญิงชาวญี่ปุ่นถูกเนรเทศหลังถูกคุมขัง 2 สัปดาห์เพราะถ่ายรูปโชว์ก้นบนกำแพงเมืองจีนใบปลิวรับสมัครงานของกรมตำรวจนครบาลโตเกียว ใช้โคนันเป็นภาพประกอบVolkswagen ยอดขายรถยนต์ไม่ดี แต่ยอดขายไส้กรอกพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์เลขเด็ด เลขมาแรง เลขดัง "รวมหวยเด็ดสำนักดัง vol.23" งวดวันที่ 16 มีนาคม 2568
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
ชายและหญิงชาวญี่ปุ่นถูกเนรเทศหลังถูกคุมขัง 2 สัปดาห์เพราะถ่ายรูปโชว์ก้นบนกำแพงเมืองจีนเลขเด็ด เลขมาแรง เลขดัง “รวมหวยเด็ดสำนักดัง vol.17” งวดวันที่ 16/3/68เลขเด็ด เลขมาแรง เลขดัง "รวมหวยเด็ดสำนักดัง vol.23" งวดวันที่ 16 มีนาคม 2568ชวนนั่งรถ BTS ไปอโศก ปลอดทุกข์ ปลอดโศกสุดอาลัย! “แทน จันทรวิโรจน์” ดารารุ่นใหญ่ปลิดชีพ พร้อมจดหมายลาตๅย
กระทู้อื่นๆในบอร์ด สาระ เกร็ดน่ารู้
ชวนนั่งรถ BTS ไปอโศก ปลอดทุกข์ ปลอดโศกม็อบเขมรทวงเกาะกูด ถูกจับโป๊ะ มาหลักร้อยแต่โม้หลักพัน คอมเมนต์เดือดอาเซียนสาระน่ารู้เรื่องโปรตีนน้ำยาบ้วนปากจำเป็นไหม?
ตั้งกระทู้ใหม่
หน้าแรกเว็บบอร์ดหาเพื่อนChatหาเพื่อน Lineหาเพื่อน SkypePic PostตรวจหวยควิซคำนวณPageแชร์ลิ้ง
Postjung
เงื่อนไขการให้บริการ ติดต่อเว็บไซต์ แจ้งปัญหาการใช้งาน แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม ข่าวประชาสัมพันธ์ ลงโฆษณา
เว็บไซต์นี้ใช้ Cookie
เพื่อประสบการณ์ที่ดีและการใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ดูข้อมูลเพิ่มเติม อ่านนโยบายการใช้งาน
ตกลง