ถ้าเราดื่มน้ำน้อยหรือมากเกินไปจะเกิดอะไรกับร่างกายของเรา?
การดื่มน้ำน้อยไม่เพียงทำให้ร่างกายขาดน้ำและรู้สึกอ่อนเพลียไม่สดชื่นเท่านั้น แต่ยังส่งผลเสียร้ายแรงต่อสุขภาพของคุณอีกด้วยเราจึงมี 5 โรคร้ายที่มาจากการดื่มน้ำน้อย มานำเสนอเพื่อให้คุณรีบหันมาใส่ใจสุขภาพและดูแลตัวเองก่อนโรคร้ายจะถามหา:
-
สมองเสื่อม: การดื่มน้ำน้อยอาจส่งผลเสียจนเสี่ยงต่อการเป็นโรคสมองเสื่อมได้ ขาดน้ำทำให้เลือดมีความข้นหนืดมากขึ้น ทำให้หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงสมองได้เพียงพอ อาจเป็นสาเหตุของอาการสมองเสื่อม เช่น ความคิดช้า ไม่กระฉับกระเฉง และอื่นๆ
-
ริดสีดวงทวาร: การดื่มน้ำไม่เพียงพอตามที่ร่างกายต้องการ อาจทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ยากลำบากมากขึ้น และอาจทำให้คุณไม่สามารถขับอุจจาระออกมาได้ ทำให้เกิดอาการท้องผูก
-
ปวดข้อ: กระดูกอ่อนในหลายๆ ส่วนของร่างกาย มีส่วนประกอบเป็นน้ำมากถึง 80% หากข้อต่อหรือหมอนรองกระดูกแห้ง อาจทำให้ข้อต่อต่างๆ ดูดซับแรงกระแทกได้ไม่ดีพอ หรืออาจอักเสบได้ง่ายเมื่อต้องออกแรงเดิน ยก เหวี่ยง รวมไปถึงการออกกำลังกาย
-
ทางเดินปัสสาวะอักเสบ-กระเพาะปัสสาวะอักเสบ: หากคุณมีอาการปวดปัสสาวะ แต่ไม่มีปัสสาวะไหลออกมา หรือไหลออกเพียงหยดสองหยด คุณอาจกำลังเป็นโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ หรือกระเพาะปัสสาวะอักเสบ อันเนื่องมาจากการดื่มน้ำไม่เพียงพอ การติดเชื้อ และการกลั้นปัสสาวะนาน
การดื่มน้ำมากเกินไปก็สามารถส่งผลเสียต่อร่างกายได้เช่นกัน นี่คือบางข้อที่อาจเกิดขึ้น:
-
ภาวะน้ำมากในร่างกาย (Hyponatremia): การดื่มน้ำมากเกินไปอาจทำให้ระดับโซเดียมในเลือดลดลง ซึ่งอาจส่งผลให้คุณรู้สึกอ่อนเพลีย มีอาการคลื่นไส้ หรืออาจเกิดปัญหาทางสมอง
-
การขับถ่ายบ่อย: การดื่มน้ำมากอาจทำให้คุณต้องขับถ่ายบ่อยขึ้น ซึ่งอาจทำให้คุณรู้สึกไม่สบาย และมีความรู้สึกบวมท้อง
-
การทำงานของไต: การดื่มน้ำมากเกินไปอาจทำให้ไตต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อขับของเสียออกมา ซึ่งอาจส่งผลให้คุณต้องไปห้องน้ำบ่อยขึ้น
-
การทำงานของหัวใจ: การดื่มน้ำมากเกินไปอาจทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อส่งเลือดไปทั่วร่างกาย ซึ่งอาจส่งผลให้คุณรู้สึกหายใจหอบ หรือมีอาการเหนื่อย
ดังนั้น ควรดื่มน้ำให้เหมาะสม ตามความต้องการของร่างกาย และระมัดระวังไม่ให้ดื่มน้ำมากเกินไปเพื่อรักษาสุขภาพของคุณให้ดีที่สุด
-
การดื่มน้ำแบบพอดีเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสุขภาพของร่างกาย นี่คือวิธีที่คุณสามารถดื่มน้ำแบบพอดีได้:
-
ตามความต้องการของร่างกาย: ควรดื่มน้ำตามความต้องการของร่างกาย หากคุณรู้สึกกระหายน้ำ หรืออยู่ในสภาวะที่ต้องการน้ำมากขึ้น (เช่น หลังจากการออกกำลังกายหนัก หรือในสภาวะอากาศร้อน) ควรดื่มน้ำมากขึ้น
-
ตามสีของปัสสาวะ: สีของปัสสาวะสามารถบ่งบอกถึงระดับน้ำในร่างกายได้ หากปัสสาวะสีเหลืองอ่อน แสดงว่าคุณดื่มน้ำเพียงพอ แต่หากเป็นสีเหลืองเข้ม อาจเป็นสัญญาณว่าคุณต้องดื่มน้ำมากขึ้น
-
ตามอาการของร่างกาย: ควรสังเกตอาการของร่างกาย หากคุณรู้สึกกระหายน้ำ มีอาการคลื่นไส้ หรืออ่อนเพลีย อาจเป็นสัญญาณว่าคุณต้องดื่มน้ำมากขึ้น
-
ตามสภาพอากาศและกิจกรรม: ในสภาวะอากาศร้อน หรือหลังจากการออกกำลังกาย ควรดื่มน้ำมากขึ้นเพื่อรักษาความสดชื่นให้กับร่างกาย
-
ตามอายุและสภาพร่างกาย: ควรพิจารณาตามอายุ น้ำหนัก และสภาพร่างกายของคุณ ควรปรับปรุงปริมาณน้ำที่คุณดื่มให้เหมาะสม
อย่าลืมดื่มน้ำเพียงพอ และรักษาสุขภาพของคุณให้ดีที่สุด
การดื่มน้ำตามอายุเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสุขภาพของร่างกาย ปริมาณน้ำที่ควรได้รับต่อวันขึ้นอยู่กับช่วงอายุและเพศ นี่คือคำแนะนำในการดื่มน้ำตามอายุ:
- อายุ 4-8 ปี: ควรดื่มน้ำประมาณ 5 แก้วหรือ 1.2 ลิตรต่อวัน
- อายุ 9-13 ปี: ควรดื่มน้ำประมาณ 8 แก้วหรือ 1.9 ลิตรต่อวัน
- อายุ 14-18 ปี: ควรดื่มน้ำประมาณ 11 แก้วหรือ 2.6 ลิตรต่อวัน
- อายุ 19 ปีขึ้นไป: ควรดื่มน้ำประมาณ 9-13 แก้วหรือ 2.1-3 ลิตรต่อวัน