หากย้อนไปวัยสิบสี่ได้อีกครั้ง
หากย้อนไปวัยสิบสี่ได้อีกครั้ง
โดย อักษราลัย
ค่ำคืนวันที่ 25 ธันวาคม อันเป็นคืนแห่งมนต์เสน่ห์ที่สร้างความหวังของเด็ก ๆ ทั่วโลก คืนแห่งจินตนาการที่มีชายแก่พุงพลุ้ยใจดี ใส่ชุดสีแดง มีเครายาวสีขาว นำของที่ต้องการมาให้ทางปล่องควัน
ตะวันเป็นอีกคนที่เฝ้ารอให้วันนี้มาถึง แม้จะเลยวัยฝันมานานแสนนานแล้วก็ตาม
เขาพยายามสวดมนต์อ้อนวอนขอให้ชายแก่ใจดีมีจริง สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่ของเล่น หากแต่เป็น…
“ได้โปรดเถอะครับ ด้วยมนตร์แห่งซานต้า ผมขอกลับไปคืนนั้นอีกครั้ง ผมขอแค่นี้ แล้วผมสัญญาว่าจะเป็นคนดีตลอดชีวิต จะช่วยเหลือคนอื่นเท่าที่ผมจะทำได้ นะครับ ได้โปรด”
หลายปีมาแล้วที่ตะวันเฝ้าวอนขอซานต้า สิ่งมหัศจรรย์เดียวที่เขารู้จักมาตั้งแต่เด็ก แม้ในใจจะรู้ดีว่าสิ่งที่ขอช่างเลื่อนลอย ไม่อาจเป็นจริง เพราะแม้แต่ตัวซานต้าเองจะมีจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่นี่ก็เป็นความหวังเล็ก ๆ ที่ซ่อนอยู่ในซอกหลืบของจิตใจ
คืนนั้นเขาเข้านอนแต่หัวค่ำ หลังสวดภาวนาอ้อนวอนขอในสื่งที่ขอมาทุกปีอีกครั้ง แต่ปีนี้ไม่เหมือนทุกปี เขากำลังเข้าสู่ห้วงภวังค์สะลึมสะลือ ครึ่งหลับครึ่งตื่น ในหูแว่วเสียงทุ้มต่ำที่พูดมาเป็นภาษาอังกฤษว่า
“Be careful what you ask for.”
จงระวังในสิ่งที่ขอ อย่างนั้นเหรอ?
แว่วสุดท้ายจากเสียงนั้นคือ
Tonight you will get your wish. Just for tonight
(คืนนี้เจ้าจะได้สมปรารถนา แค่คืนนี้เท่านั้นนะ)
ก่อนที่เขาจะรู้สึกว่าร่างกายของเขาเบาดุจขนนก หลุดขึ้นจากเตียง หมุนคว้างเป็นวงกลมค่อย ๆ เร็วขึ้น เร็วขึ้น จนเหมือนลอยละลิ่วผ่านอะไรต่ออะไรมากมายจนในที่สุดทุกอย่างก็สงบลง เขาค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้น มองไปรอบ ๆ ขยับแขนที่รู้สึกว่าเบาผิดปรกติ แขนที่เห็นนั้นลีบผอม ห้องที่นอนอยู่นั้นมีรถของเล่นแบบโมเดลจำลองขนาดเล็กของรถยนต์ยี่ห้อดัง ๆ ที่เขาชื่นชอบ จัดเรียงอยู่ในตู้โชว์ปลายเตียงมองเห็นได้ชัด
…เพล้ง…
เสียงที่ได้ยินดังมาจากชั้นล่าง จากนั้นเสียงเดินแบบคนลงเท้าหนักด้วยแรงอารมณ์ก็เดินขึ้นบันไดมา
…ปัง…
เสียงประตูปิดแรงตามอารมณ์ของคนที่เดินเข้าไปในห้อง แค่นี้ตะวันก็รู้แล้วว่าคืนที่เขาเฝ้าปรารถนาเป็นจริงขึ้นมาแล้ว
เขาค่อย ๆ เดินจรดปลายเท้าไปที่ประตู หมุนลูกบิดอย่างเบามือ แล้วค่อย ๆ ย่องลงบันไดไป
เศษแก้วแตกข้างโต๊ะกินข้าวมองเห็นได้ชัดทันทีที่ลงมายืนอยู่ชั้นล่างหน้าบันได และมองเห็นแม่ยืนอยู่ตรงนั้น ริมหน้าต่างในห้องนั่งเล่น ข้างม่านลูกไม้ฉลุเบาบางที่ปลิวไปมาตามแรงของพัดลมที่พัดส่ายไปมา สายตามองตรงไปยังด้านนอกหน้าต่าง อย่างคนกำลังใช้ความคิด บนโต๊ะเล็กหน้าโซฟามีเค้กสีขาวครีมรสวานิลลาประดับด้วยเยลลี่หลากสี บนเค้กมีข้อความ
“สุขสันต์วันอายุครบ 14 ปี”
คินนั้นเป็นคืนที่เขาควรมีแต่ความสุข พ่อกับแม่จัดงานวันเกิดเล็ก ๆ ให้เขา ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น หลังเป่าเทียนและตัดเค้กมากิน เมื่อเขาเดินขึ้นห้องนอนแล้ว กลับได้ยินเสียงพ่อตวาดใส่แม่เสียงดัง เสียงแก้วแตก และเสียงพ่อเดินปึงปังกระแทกเท้าขึ้นบันไดไป ตามด้วยเสียงปิดประตูห้องของพ่อดังปัง
เขาเดินช้า ๆ เข้าไปหาแม่ ก่อนจะส่งเสียงเรียก เสียงสะอื้นของแม่ก็ดังมาเข้าหู ทำเอาเท้าที่กำลังก้าวเดินชะงักนิ่งงันอยู่กับที่ แม่หันกลับมาทางเขา คงเพราะได้ยินเสียงฝีเท้า
“ลงมาทำไมอีกล่ะลูก แม่บอกให้ไปนอนแล้วนี่” น้ำเสียงแม่ยังคงเจือสะอื้น แต่สีหน้ากลับแย้มยิ้มให้เขาอย่างเคย
“ผมรู้นะครับว่าแม่กำลังจะทำอะไร ผมอยากขอให้แม่อยู่กับผมต่อไป ขอให้เราเป็นครอบครัวเหมือนเดิม ได้ไหมครับแม่” แม่ยังคงนิ่งฟังอย่างสงบมีเพียงแววตาเท่านั้นที่มีแววตระหนกกับสิ่งที่ได้ยิน
“หรือถ้าแม่จะไปจากเราพ่อลูกจริง ๆ ผมขอไปกับแม่ได้ไหมครับ ถ้ามีอะไรผมจะได้ช่วยแม่ได้ นะครับแม่” ผมพูดต่อในสิ่งที่ค้างคาใจผมมาตลอดหลายปี และนี่คือสิ่งที่ผมอยากทำหากผมจะได้ย้อนกลับมาในวัยสิบสี่อีกครั้งตามที่ผมเฝ้าร้องขอตลอดมา
แม่ยิ้มอ่อนโยน ดึงมือผมไปนั่งด้วยกันที่โซฟาตัวยาว นั่งหันหน้ามาหาแล้วจับใบหน้าของผมด้วยสองมือประคอง มือของแม่ยังคงนุ่มนิ่มและอบอุ่นเหมือนเคย สัมผัสที่ผมลางเลือนไปนานแสนนานทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก ผมเพ่งพิศใบหน้าของแม่อย่างพิจารณา แม่ของผมเป็นคนสวย ผมของแม่ซอยสั้นเป็นทรงทันสมัยที่ถูกแม่จัดแต่งอยู่เสมอ ผมไม่เคยเห็นแม่มีผมกระเซอะกระเซิงเลยสักครั้งไม่ว่าจะเป็นเวลาไหน
“สถานที่ที่แม่จะไป ลูกไปด้วยไม่ได้หรอก” แม่พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานเหมือนเคย
“ทำไมล่ะครับแม่”
“ฟังแม่ให้ดี ๆ นะลูก แม่เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย แม่จะไปเข้าคอร์สบำบัดทางธรรมชาติที่ต่างจังหวัด และหากมันไม่ได้ผล แม่ก็คงจะไม่ได้กลับมา แม่ไม่อยากให้ตัวของแม่เป็นภาระของพ่อ หรือของใคร แม่ขอเลือกเส้นทางนี้เอง และหากแม่ต้องจากไป แม่ก็บริจาคร่างกายของแม่เอาไว้แล้ว โดยไม่ขอให้มีการจัดงานศพจากญาติ ให้เผาและทำบุญโดยโรงพยาบาลเมื่อหมดวาระของการเป็นอาจารย์ใหญ่ แม่อยากให้ทุกความจำของพ่อกับลูกมีแต่ผู้หญิงที่สวยสดงดงาม ไม่ใช่แม่แบบคนใกล้ตาย”
“แม่...” ผมร้องออกมาสุดเสียง แต่เสียงที่ออกมาจริง ๆ กลับแผ่วเบาจนตัวผมเองแทบไม่ยินเสียงของตัวเองด้วยซ้ำ ผมคิดมาตลอดว่าแม่จากไปเพราะเลิกกับพ่อ อาจเพราะมีปัญหากับพ่อ หรือเพราะผม ผมไม่เคยรู้เลยว่าแม่มีอาการเจ็บป่วยขนาดนี้
หลังจากวันนั้นพ่อก็ไม่เคยบอกอะไรผม พ่อกับผมเราต่างอยู่ในภาวะของคนที่สูญเสียคนรักไปเหมือนกัน เพียงแต่ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไร ส่วนพ่อก็อยู่เหมือนคนที่มีชีวิตเหลือเพียงครึ่ง แม้จะอบอุ่นและดูแลผมเป็นอย่างดีจนผมโต แต่ก็ไม่อาจเติมเต็มความคิดถึงที่ผมมีต่อแม่ได้
ผมผวาตัวขึ้นจากที่นอนอย่างคนสะดุ้งตื่นจากฝัน มองไปที่ปลายเตียง ไม่มีตู้ใส่รถโมเดล มีแต่ตู้หนังสือที่บรรจุหนังสือหลากหลายชนิดเรียงอยู่เต็ม นี่ผมฝันไปเหรอเนี่ย มันดูจริงมากว่าผมได้ย้อนไปในวัยสิบสี่อีกครั้งและผมเพิ่งรู้ในวันนี้เองว่าความคิดที่คิดว่าตัวเองต้องสูญเสียแม่ไปนั้น เทียบไม่ได้เลยกับชายคนหนึ่งที่ต้องเสียผู้หญิงคนแรกที่เขารักอย่างสุดหัวใจไปอย่างไม่มีวันกลับ โดยไม่มีโอกาสแม้แต่จะเอ่ยคำลา และผมไม่รู้เลยว่าระหว่างเราสองคนพ่อลูก ใครเจ็บปวดมากกว่ากัน ...⚘