ประวัติสามเหล่าทัพ
ปัจจุบันนี้เราคนไทยส่วนใหญ่รู้จักกับกองทัพไทยหรือทหารไทยกันทุกท่าน แต่มีใครทราบบ้างที่มาหรือการถือกำเนิดของกองทัพต่างๆมีความเป็นมาอย่างไร วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับความเป็นมาเป็นของ กองทับบก กรองทัพเรือ และกองทัพบอากาศของไทยกั
กองทัพบก
ประวัติกองทัพบก
กองทัพบกถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับการก่อตั้งชาติไทย วิวัฒนาการของกองทัพบกเริ่มตั้งแต่ชนเผ่าไทยได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานและรวมกลุ่มตั้งเป็นนครรัฐเล็ก ๆ ในดินแดนประเทศไทยปัจจุบันและบริเวณใกล้เคียง มีการจัดกำลังกองทัพเพื่อทำสงครามกับชนชาติที่เข้ามารุกราน และแผ่ขยายอาณาเขต จนสามารถสถาปนาอาณาจักรไทยขึ้นทางตอนเหนือของประเทศ และได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาโดยลำดับจนถึงกรุงสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์
สมัยอยุธยา (พ.ศ. ๑๙๘๓ - ๒๓๑๐)
มีการปรับปรุงด้านการควบคุมกำลังไพร่พล และยุทธวิธีให้รัดกุมยิ่งขึ้น โดยแยกกิจการด้านการทหารออกจากกิจการด้านพลเรือน และจัดตั้งกรมพระสุรัสวดี รับผิดชอบทำทะเบียนไพร่พล เพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการเรียกระดมพลเมื่อเกิดศึกสงคราม โดยกำหนดให้ชายไทยทุกคนต้องรายงานตัวเป็นทหาร เข้ารับราชการปีละ ๖ เดือน ในสมัยนี้มีการจัดทำตำราพิชัยสงคราม กำหนดรูปแบบการจัดกำลังในการรบเพื่อเอาชนะกองทัพของข้าศึก การรบทางบกครั้งสำคัญ คือ "สงครามยุทธหัตถี" ซึ่งสมเด็จพระนเรศวรมหาราชมีชัยชนะต่อสมเด็จพระมหาอุปราชา ในวันที่ ๑๘ มกราคม พ.ศ. ๒๑๓๕ และเป็นที่มาของการกำหนด "วันกองทัพบก" ในเวลาต่อมา
เกียรติยศและความภาคภูมิใจ
นับตั้งแต่อดีต กำลังพลของกองทัพบกภายใต้การนำทัพของพระมหากษัตริย์ได้ทำศึกสงครามเพื่อขยายอาณาเขตและปกป้องมิให้ข้าศึกศัตรูรุกล้ำดินแดนของชาติสามารถรักษาเอกราชอธิปไตยตลอดมา รวมทั้งยังมีบทบาทในการทำสงครามร่วมกับประเทศต่าง ๆ ทำให้ได้รับการยอมรับจากประเทศพันธมิตรอีกหลายครั้งนับตั้งแต่การส่งกำลังทหารไปร่วมรบกับฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ ๑ ณ ทวีปยุโรป เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๑ กรณีพิพาทอินโดจีน การรบในสงครามมหาเอเชียบูรพา สงครามเกาหลี และสงครามเวียดนาม ในทุกสมรภูมิกำลังพลของกองทัพบกได้ปฏิบัติภารกิจด้วยความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว จนได้รับเหรียญกล้าหาญ เครื่องหมายแสดงความสามารถ และการยกย่องเชิดชูเกียรติจากประเทศที่เข้าร่วมสงคราม ส่งผลต่อศักดิ์ศรีและความน่าเชื่อถือของประเทศในระดับนานาชาติจนถึงปัจจุบัน
ตัวอย่างการปฏิบัติการของกองทัพบก
สงครามโลกครั้งที่ ๑
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๑ อุบัติขึ้นในทวีปยุโรปเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๗ ประเทศไทยยังคงประกาศตัวเป็นกลาง ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตัดสินพระทัยเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๐ และเริ่มจัดกำลังไปร่วมรบที่ฝรั่งเศสเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๑ เรียกว่า “กองทหารซึ่งไปในงานพระราชสงครามทวีปยุโรป” ประกอบด้วย กองบินทหารบก กองทหารบกรถยนต์ และหมวดพยาบาล ทั้งนี้กองทหารบกรถยนต์ปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายด้วยความกล้าหาญ รัฐบาลฝรั่งเศสจึงได้มอบเหรียญครัวซ์เดอแกร์ ประดับธงชัยเฉลิมพลของกองทหารบกรถยนต์เพื่อเป็นเกียรติยศ นับว่าเป็นการเผยแพร่ชื่อเสียงและเกียรติคุณของประเทศไทยให้เป็นที่ประจักษ์ในระดับนานาชาติ
ประวัติกองทัพเรือ
ประวัติกองทัพเรือ
กองทัพเรือ มีกำเนิดควบคู่มากับ การสร้างอาณาจักรไทย นับตั้งแต่ กรุงสุโขทัย เป็นราชธานี กองทัพไทย ในสมัยนั้น มีเพียง ทหารเหล่าเดียว มิได้แบ่งแยกออกเป็น กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ อย่างเช่น ในสมัยปัจจุบัน หากยาตราทัพ ไปทางบก ก็เรียกว่า "ทัพบก" หากยาตราทัพ ไปทางเรือ ก็เรียกว่า "ทัพเรือ" การจัดระเบียบ การปกครอง บังคับบัญชา กองทัพไทย ในยามปกติ สมัยนั้น ยังไม่มี แบบแผน ที่แน่นอน ในยามศึกสงคราม ได้ใช้ทหาร "ทัพบก" และ"ทัพเรือ" รวมๆ กันไป
ในการ ยาตราทัพ เพื่อทำศึกสงคราม ภายในอาณาจักร หรือ นอกอาณาจักร ก็มีความจำเป็น ต้องใช้เรือ เป็นพาหนะในการ ลำเลียงทหาร เครื่องศาสตราวุธเรือ นอกจาก จะสามารถ ลำเลียง เสบียงอาหาร ได้คราวละมากๆ แล้ว ยังสามารถ ลำเลียง อาวุธหนักๆ เช่น ปืนใหญ่ ไปได้สะดวก และ รวดเร็ว กว่าทางบกด้วย จึงนิยม ยกทัพ ไปทางเรือ จนสุดทางน้ำ แล้วจึงยกทัพต่อ ไปบนทางบก
เรือรบ ที่เป็นพาหนะ ของกองทัพไทย สมัยโบราณ มี ๒ ประเภท ด้วยกันคือ เรือรบในแม่น้ำ และ เรือรบในทะเล เมื่อสันนิษฐาน จากลักษณะ ที่ตั้ง ของราชธานี ซึ่งมี แม่น้ำล้อมรอบ และ มีแม่น้ำลำคลอง เป็นเส้นทาง ในการคมนาคม ตลอดจน ชีวิตความเป็นอยู่ ที่ต้องใช้น้ำ ในการบริโภค และ การเกษตรกรรม แล้ว เรือรบ ในแม่น้ำ คงมีมาก่อน เรือรบในทะเล เพราะสงคราม ของไทย ในระยะแรกๆ จะเป็น การทำสงคราม ในพื้นที่ ใกล้เคียงกับ ประเทศไทย กล่าวคือ เป็นการ ทำสงคราม กับพม่า เป็นส่วนมาก
เรือรบในแม่น้ำ
ในสมัย กรุงศรีอยุธยา ภายหลัง จากสมเด็จ พระไชยราชาธิราช (พ.ศ. ๒๐๗๖ - ๒๐๘๙) ทรงยกกองทัพ ไปตีเมืองเชียงกราน ซึ่งเป็น เมืองขึ้นของไทย คืนจากพม่า ใน พ.ศ. ๒๐๘๑ ต่อจากนั้น ไทยก็ได้ ทำศึกสงคราม กับพม่า มาโดยตลอด เรือรบในแม่น้ำ ในสมัยนี้ จะมีบทบาท สำคัญ ในการ เป็นพาหนะใช้ทำศึก สงคราม มากกว่า เรือรบ ในทางทะเล เรือรบ ในแม่น้ำ เริ่มต้น มาจาก เรือพาย เรือแจว ก่อน เท่าที่พบหลักฐาน ไทยได้ใช้ เรือรบ ประเภท เรือแซ เป็น เรือรบ ในแม่น้ำ เพื่อใช้ ในการ ลำเลียงทหาร และ เสบียงอาหาร มาช้านาน โดยใช้พาย ๒๐ พาย เป็นกำลังขับเคลื่อน ให้เรือแล่นไป
ในสมัย สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ กษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. ๒๐๙๑ - พ.ศ. ๒๑๑๑) ได้ทำศึกสงคราม กับ พม่า หลายครั้ง พระองค์ ทรงคิดดัดแปลง เรือแซ เป็น เรือไชย เพื่อใช้ในการ ลำเลียงทหาร ได้มากขึ้น เนื่องจาก เรือแซ ที่ใช้เป็น พาหนะ มาแต่เดิม ลำเลียงทหาร และ เสบียงอาหาร ได้น้อย จึงไม่เหมาะ ที่จะใช้ เป็นพาหนะ ในการ ทำสงคราม ในครั้งนั้น จึงได้มี การเปลี่ยน หน้าที่ ของเรือแซ โดยใช้ เป็นพาหนะในการลำเลียง เสบียงอาหาร และ เครื่องศาสตราวุธ สำหรับ เรือไชย ที่ทรงดัดแปลงใหม่นั้น เป็น เรือ ที่มี ลักษณะ ลำเรือยาว ใช้ฝีพาย ประมาณ ๖๐ - ๗๐ คน แล่นได้รวดเร็ว กว่าเรือแซ ปรากฏว่า ในคราว ที่พม่า ตั้งค่าย ล้อมกรุงศรีอยุธยา สมเด็จ พระมหาจักรพรรดิ ได้นำปืนใหญ่ ไปติดตั้ง ที่เรือไชย ออกแล่นยิง ค่ายพม่า จนพม่า ต้องถอยทัพ กลับไป
ในเวลาเดียวกัน สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ทรงคิดสร้าง เรือรบ รูปศีรษะสัตว์ เพื่อใช้ ทำสงคราม ขึ้นอีกประเภทหนึ่ง มีลักษณะ เช่นเดียวกับ เรือไชย โดยทำหัวเรือ ให้กว้างขึ้น เพื่อให้สามารถ ติดตั้งปืนใหญ่ ที่หัวเรือได้ ต่อมา ยังได้มี การคิดสร้าง เรือรบในแม่น้ำ ขึ้นอีก ประเภทหนึ่ง คือ เรือกราบ แต่ไม่ปรากฏแน่ชัดว่า เป็น พระมหากษัตริย์ องค์ใด สร้างขึ้น เรือกราบ ที่คิดสร้าง ขึ้นใหม่นี้ มีลักษณะ เช่นเดียวกับ เรือไชย แต่แล่น ได้รวดเร็ว กว่าเรือไชย
เรือรบในทะเล
สำหรับ เรือรบ ในทะเล ในสมัยแรก ยังไม่มี บทบาท สำคัญ ในการ เป็นพาหนะ เท่าเรือรบ ในแม่น้ำ เนื่องจาก ลักษณะ ที่ตั้ง ตัวราชธานี อยู่ไกล จาก ปากแม่น้ำเจ้าพระยา ความจำเป็น ในการ ใช้เรือ จึงมีน้อยกว่า ในยามปกติ ก็นำเอาเรือ ที่ใช้ ในทะเล มาเป็น พาหนะ ในการ บรรทุก สินค้า ออกไป ค้าขาย ยังหัวเมือง ชายทะเล ต่างๆ และประเทศ ข้างเคียง ครั้นเมื่อ บ้านเมือง มีศึก สงคราม ก็นำเรือ เหล่านี้ มาติดอาวุธปืนใหญ่ เพื่อใช้ ทำสงคราม แต่ครั้งโบราณ ในสมัย กรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และ กรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ไทยได้เริ่ม ใช้เรือรบ ในทะเล ในการ ทำศึก สงคราม บ้างแล้ว เช่น ในสมัย สมเด็จพระนเรศวรมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้ยกทัพเรือ ไปตี เมืองทวาย เมื่อ พ.ศ.๒๑๓๕ และ ในสมัย พระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ยกทัพเรือ ไปตี เมืองบันทายมาศ เมื่อ พ.ศ.๒๓๘๔ เป็นต้น ส่วนเรือรบ ในทะเล จะมีเรือ ประเภทใดบ้าง ยังไม่อาจ ทราบได้แน่ชัด แต่สันนิษฐาน ว่า คงจะเป็น เรือใบ หลายประเภท ด้วยกัน ถ้าเป็น เรือขนาดใหญ่ ส่วนมาก จะเป็น เรือสำเภา แบบจีน เรือกำปั่นแปลง แต่ถ้าเป็น เรือขนาดย่อม ลงมา จะเป็น เรือสำปั้นแปลง เรือแบบญวน เรือฉลอม เรือเป็ดทะเล และ เรือแบบแขก เป็นต้น
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ราชธานี ตั้งอยู่ ใกล้ปากแม่น้ำ เจ้าพระยา มากขึ้น จึงทำให้ มีการติดต่อ ค้าขาย กับต่างชาติ โดยเฉพาะ ประเทศในยุโรป เรือรบ ในทะเล ของไทย แต่เดิม ซึ่งนิยม สร้างเรือ แบบสำเภาจีน เริ่มเปลี่ยนแปลง หันมา นิยมสร้าง เรือกำปั่นใบ แบบยุโรป มากขึ้น เนื่องจาก เรือกำปั่น ใบแบบยุโรป สามารถสร้าง ให้มี ขนาดใหญ่ มีใบรับลม มากกว่า เรือสำเภาจีน ทำให้ สามารถ บังคับเรือ ได้ง่าย และ แล่นได้เร็วกว่า พระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ เกรงว่า ต่อไป อนุชน รุ่นหลัง จะไม่รู้จัก เรือสำเภาจีน ที่เคย มีความสำคัญ มาในอดีต จึงได้ โปรดเกล้าฯ ให้สร้าง เรือสำเภาจีน ไว้ที่ วัดยานนาวา กรุงเทพมหานคร
เรือรบ ในทะเล ได้พัฒนา จากเรือ สำเภาจีน มาใช้ เรือกำปั่น แบบใช้ใบแล้ว ต่อมา เมื่อได้มี การประดิษฐ์ เครื่องจักรไอน้ำขึ้น ในยุโรป และ ได้เริ่ม นำมา ใช้กับ เรือ เรือรบ ในทะเล ของไทย ก็ได้เปลี่ยน การขับเคลื่อนเรือ จากใช้ใบ มาเป็น เรือแบบ เรือกลไฟ ในสมัยรัชกาลที่ ๔ โดยเริ่ม จากเรือ ใช้จักร ข้างก่อน แล้วต่อมา จึงเปลี่ยน มาใช้ จักรท้าย ได้พัฒนา การขับเคลื่อน ของเรือ จากเครื่องจักร ไอน้ำ มาเป็น เครื่องยนต์ดีเซล จากเครื่องยนต์ดีเซล ก็พัฒนา มาใช้ เครื่องยนต์ แบบเทอร์ไบน์ ผสมแก๊ส และไอน้ำ มาถึง ปัจจุบัน ส่วนตัวเรือ แต่ก่อน ใช้ไม้สร้าง ก็เปลี่ยน มาสร้าง ด้วยเหล็ก เช่นกัน ในสมัย พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่ง
ในสมัยต้น ของรัชกาลที่ ๕ การปกครอง ประเทศ ยังเป็น ระบบ จตุสดมภ์ อยู่ มีกรมพระกลาโหม ว่าการ ฝ่ายทหาร ในขณะนั้น กิจการ ฝ่ายทหารเรือ แบ่งออกเป็น ๒ ส่วนใหญ่ ๆ คือ ส่วนหนึ่ง ขึ้นในบังคับบัญชา ของสมุหพระกลาโหม เรียกว่า กรมอรสุมพล อีกส่วนหนึ่งขึ้น ในบังคับบัญชา ของ กรมพระราชวัง บวรสถานมงคล เรียกว่า ทหารเรือ ฝ่ายพระราชวังบวร หรือ ทหารเรือวังหน้า กรมอรสุมพล มีหน่วย ขึ้นในสังกัด คือ กรมเรือกลไฟ กรมอาสามอญ และกรมอาสาจาม ทหารเรือวังหน้า มีหน่วยขึ้น ในสังกัด คือ กรมเรือกลไฟ กรมอาสาจาม และ กองทะเล บางทีเรียกว่า กองกะลาสี ใน พ.ศ. ๒๔๑๕
ภายหลัง จากที่ พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้า เจ้าอยูหัว ได้เสด็จ กลับจาก การเสด็จ ประพาส อินเดีย ได้ทรง ปรับปรุง หน่วยทหาร ในกองทัพ ขึ้นใหม่ โดยแบ่ง ออกเป็น ๙ หน่วย ดังนี้
กรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์
กรมทหารรักษาพระองค์
กรมทหารล้อมวัง
กรมทหารหน้า
กรมทหารปืนใหญ่กรมทหารช่าง
กรมทหารฝีพาย
กรมทหารเรือพระที่นั่ง (เวสาตรี)
กรมอรสุมพล
กรมทหารเรือ
ใน พ.ศ.๒๔๒๘ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล (กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ) เสด็จทิวงคต ทหารฝ่ายพระราชวังบวรทั้งทหารบก และทหารเรือ ได้ถูกยุบเลิกไป จึงทำให้ ทหารเรือ ในขณะนั้น มี ๒ ส่วนใหญ่ ๆ คือ กรมเรือ พระที่นั่ง ขึ้นตรงกับ พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ส่วนกรมอรสุมพล ขึ้นตรงกับ สมุหพระกลาโหม
ต่อมา เมื่อ พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว ได้ทรง สถาปนา สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ดำรงตำแหน่ง เป็น ผู้บังคับบัญชา ทั่วไป ในกรมทหาร (Commander in chief) ตาม โบราณ ราชประเพณี พร้อมกับ ประกาศ จัดการทหาร เมื่อวันที่ ๘ เมษายน พ.ศ.๒๔๓๐ โดยจัดตั้ง กรมยุทธนาธิการ ขึ้นใน ประกาศนี้ ให้รวม บรรดา กองทหารบก กองทหารเรือ ทั้งหมด ขึ้นอยู่ ในบังคับบัญชา ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช แต่ในระหว่าง ที่ยังทรง พระเยาว์ ให้มี ผู้ทำการแทน ผู้บังคับบัญชา ทั่วไป โดยได้ ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จ พระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมพระภาณุพันธุวงศ์วรเดช เป็น ผู้แทน บังคับบัญชาการทั่วไปในกรมทหาร และ ให้รั้งตำแหน่ง เจ้าพนักงานใหญ่ ผู้จัดการ ในกรมทหาร สำหรับ ทหารเรือ ทรงตั้ง นายพลเรือโท พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ เป็น เจ้าพนักงานใหญ่ ผู้ช่วยบัญชาการทหารเรือ (Secretary to the Navy) มีหน้าที่ ดังนี้
๑. ให้จัดการทั้งปวง ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายข้อบังคับทหารรเรือ
๒. ให้จัดการทั้งปวง ที่เกี่ยวข้องกับจำนวนผู้คนในทหารเรือ
๓. ให้จัดการทั้งปวง ที่เกี่ยวข้องกับการฝึกหัดทหารเรือ
๔. ให้จัดการทั้งปวง ที่เกี่ยวข้องกับเรือรบหลวง
๕. ให้จัดการทั้งปวง ที่เกี่ยวข้องกับพาหนะทางเรือ
ต่อมา ใน พ.ศ.๒๔๓๓ ได้มีการ ยกเลิก ประกาศ จัดการทหาร ที่จัดตั้งขึ้น เมื่อ พ.ศ.๒๔๓๐ นั้นเสีย และได้มี การตรา พระราชบัญญัติ จัดการ กรมยุทธนาธิการ เมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ.๒๔๓๓ ขึ้นแทน พระราชบัญญัติ จัดการ กรมยุทธนาธิการ ฉบับใหม่นี้ ให้เรียก กรมยุทธนาธิการ เสียใหม่ว่า กระทรวงยุทธนาธิการ (Ministry of War and Marine) มีหน้าที่ บังคับบัญชา ราชการทหาร และพลเรือน ที่เกี่ยวข้อง แก่การ ทหารบก ทหารเรือ ตามพระราชบัญญัติใหม่นี้ ให้ยกเลิก ตำแหน่ง ผู้บังคับบัญชาการทั่วไป ในกรมทหารเรือ และตั้ง ตำแหน่งใหม่ เรียกว่า จอมพล (จอมทัพ) (Commander in chief) สำหรับ บังคับบัญชาราชการ ในกรมทหารบก กรมทหารเรือ โดยสิทธิ์ขาด โดย พระราชประเพณี พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว จะได้ ดำรง ตำแหน่ง ที่จอมพล นี้ สมเด็จ พระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร มีตำแหน่ง ทรงปฏิบัติ ในหน้าที่ จอมพล ด้วยเหมือนกัน กรมที่บังคับบัญชาทหาร แบ่งออก เป็น ๒ กรม คือ กรมทหารบก กรมทหารเรือ ในครั้งนี้ ได้ทรง พระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จ พระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมพระภาณุพันธุวงศ์วรเดช เป็นเสนาบดี ว่าการ กระทรวง ยุทธนาธิการ พระยาสุรศักดิ์มนตรี เป็น ผู้บัญชาการทหารบก นายพลโท พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นปราบปรปักษ์ (พระองค์เจ้าขจรจรัสวงศ์) เป็น ผู้บัญชาการทหารเรือ (Chief Staff of the Navy) สำหรับ กรมทหารเรือ แบ่งส่วนราชการ ออกเป็น
๑. กรมกลาง
๒. กองบัญชีเงิน
๓. กรมคลังพัสดุทหารเรือ
๔. กองเร่งชำระ
๕. กรมคุกทหารเรือ
๖. กรมอู่
๗. กรมช่างกล
๘. โรงพยาบาลทหารเรือ
๙. ทหารนาวิกโยธิน
๑๐. เรือรบหลวงและเรือพระที่นั่งประจำการ
กองทัพเรือ
ใน พ.ศ.๒๔๓๕ ได้มีการจัดระเบียบ การปกครอง แผ่นดินใหม่ และ ยกเลิก การปกครอง แบบจตุสดมภ์ กำหนดให้ มีกระทรวง ในราชการ ทั้งหมด ๑๒ กระทรวง กระทรวง มหาดไทย มีหน้าที่ ปกครอง บรรดา หัวเมือง ต่าง ๆ ทั่วพระราชอาณาจักร กระทรวงกลาโหม ไม่ต้อง เกี่ยวกับ การปกครอง ทางหัวเมือง อย่างแต่ก่อน คงมี หน้าที่ เกี่ยวด้วย ราชการทหาร อย่างเดียว ใน พ.ศ.๒๔๓๕ นี้ จึงได้ โอนกรมทหารเรือ ซึ่งเดิม ขึ้นอยู่กับ กระทรวง ยุทธนาธิการ มาขึ้นกับ กระทรวงกลาโหม กรมทหารเรือ ได้เจริญ ก้าวหน้า มาตาม ลำดับ จนถึง พ.ศ.๒๔๕๓ พระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อน ฐานะ กรมทหารเรือ เป็น กระทรวงทหารเรือ ๔ เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม และ ในวันเดียว กันนั้น ก็ได้ ประกาศ แต่งตั้ง เสนาบดี กระทรวงทหารเรือ เนื่องจาก การป้องกัน ประเทศ เป็นงานใหญ่ ที่ทหารบก และ ทหารเรือ จำเป็น ต้องร่วมกัน คิดอ่าน จัดการ ตามหน้าที่ ที่ประชุม เสนาบดี จึงเห็น สมควร จัดตั้ง สภาป้องกัน พระราชอาณาจักร ขึ้นเพื่อ ทำหน้าที่ ประสานงาน ระหว่าง ทหารบก และ ทหารเรือ ให้ดำเนิน ไปได้ โดย สอดคล้อง ร่วมกัน อย่างพร้อมเพรียง สภานี้ มีองค์พระประมุข เป็นประธาน และ โปรดเกล้าฯ ให้เสนาธิการ ทหารบก เป็นเลขานุการ ประจำ เสนาบดี กระทรวงกลาโหม เสนาบดี กระทรวงทหารเรือ พร้อมทั้ง จอมพล ในและนอก ประจำการ เป็นสมาชิกสภา แห่งนี้ทุกนาย นับตั้งแต่ มีการ เลื่อนฐานะ กรมทหารเรือ ขึ้นเป็น กระทรวงทหารเรือ ก็ได้ มีการปรับปรุง การจัด ระเบียบ ราชการ ทหารเรือ อยู่เสมอ แต่มิได้ เป็นการ เปลี่ยนแปลง ไปจาก หลักการเดิม เพียงแต่ว่า ส่วนราชการ ต่างๆ มีความจำเป็น ต้องขยาย กิจการ ให้กว้างขวาง ยิ่งขึ้น เมื่อราชการ บางส่วน มีกิจการ เพิ่มขึ้น ก็เลื่อน ฐานะ ขึ้นเป็น กรมหรือกอง ตามความ สำคัญ ในสมัย พระบาท สมเด็จ พระปกเกล้า เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ภาวะ ทางเศรษฐกิจ ทั่วโลก ตกต่ำ เป็นผล ทำให้ ประเทศไทย ได้รับ ผลกระทบ กระเทือน ดังกล่าว นี้ด้วย ทำให้ ฐานะ ทางการเงิน และ เศรษฐกิจ ของประเทศ อยู่ในภาวะ ตกต่ำ จำเป็น ต้องพิจารณา ตัดทอน รายจ่าย ของประเทศ ให้น้อยลง ให้สมดุล กับรายได้ เป็นผล ทำให้ มีการ ปรับปรุง การจัด ระเบียบ ราชการ เสียใหม่ เมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๗๔ โดย ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้รวม กระทรวงทหารเรือ กับ กระทรวงทหารบก เป็น กระทรวง เดียวกันเสีย กระทรวง ที่บังคับบัญชา ทั้งทหารบก และทหารเรือ ร่วมกันนี้ เรียกว่า กระทรวง กลาโหม เหมือนอย่าง แต่ครั้งก่อน
ใน พ.ศ.๒๔๗๕ ได้มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง ประเทศใหม่ ทางด้านกองทัพเรือ ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกัน โดยกระทรวงทหารเรือได้ลดฐานะ เป็นกรมทหารเรือ ในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อ ของการเปลี่ยนแปลง ระบอบการปกครองประเทศนี้ ได้จัดให้มีคณะกรรมการกลางกลาโหมขึ้น นอกจากนั้นส่วนราชการของทหารเรือ บางส่วนซึ่งได้เอาไปรวมกับฝ่ายทหารบก ก็กลับมาสังกัดอยู่ใน กรมทหารเรือตามเดิมอีก กรมต่างๆ ของทหารเรือลดฐานะมาเป็นกองทั้งหมด เว้นแต่กรมเสนาธิการทหารเรือ
จนกระทั่งในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๗๖ จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เปลี่ยนชื่อ กรมทหารเรือ เป็น กองทัพเรือ และบริเวณพระราชวังเดิมของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทาน ให้แก่กองทัพเรือ เป็นที่ตั้งโรงเรียนนายเรือ และได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๔๙ และได้พระราชทาน ลายพระราชหัตถเลขา ไว้ในสมุดเยี่ยมว่า
" วันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ร.ศ.๑๒๕ เราจุฬาลงกรณ์ ปร. ได้มาเปิดโรงเรียนนี้ มีความปลื้มใจ ซึ่งได้เห็นการทหารเรือมีรากหยั่งลงแล้ว จะเป็นที่มั่นสืบไปในภายน่า"
กองทัพเรือ จึงได้ถือเอาวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน เป็นวันกองทัพเรือ
กองทัพอากาศ
ประวัติความเป็นมาของกองทัพอากาศ
กิจการบินของไทย เริ่มต้นในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จ พระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อมีชาวต่างประเทศ ได้นำเครื่องบิน มาแสดงให้ชาวไทย ได้ชมเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2454 อันทำให้ ผู้บังคับบัญชา ระดับสูง ของกองทัพ ในสมัยนั้น พิจารณาเห็นว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องมีเครื่องบิน ไว้เพื่อป้องกันภัย ที่จะเกิดแก่ประเทศชาติ ในอนาคต ด้วยเหตุนี้ กระทรวงกลาโหม จึงได้ตั้ง "แผนกการบิน" ขึ้นในกองทัพบก พร้อมทั้งได้คัดเลือกนายทหารบก 3 คน ซึ่งมีคุณสมบัติเหมาะสม ไปศึกษาวิชาการ ณ ประเทศฝรั่งเศส อันได้แก่ พันตรีหลวงศักดิ์ศัลยาวุธ ร้อยเอกหลวงอาวุธสิขิกร และ ร้อยโท ทิพย์ เกตุทัต ทั้ง 3 ท่านนี้ ในเวลาต่อมา ได้รับพระราชทานยศ และบรรดาศักดิ์ ตามลำดับ คือ พลอากาศโท พระยาเฉลิมอากาศ, นาวาอากาศเอก พระยาเวหาสยานศิลปสิทธิ์ และ นาวาอากาศเอก พระยาทะยานพิฆาต และ กองทัพอากาศได้ยกย่องให้เป็น "บุพการีของกองทัพอากาศ" ในขณะที่นายทหารทั้งสามกำลังศึกษาวิชาการบินอยู่นั้นทางราชการ ได้สั่งซื้อเครื่องบิน รวมทั้ง มีผู้บริจาคเงินร่วมสมทบซื้อด้วยเป็นครั้งแรก จำนวน 8 เครื่อง คือเครื่องบินเบรเกต์ปีก 2 ชั้น จำนวน 4 เครื่อง และ เครื่องบินนิเออปอรต์ปีกชั้นเดียว จำนวน 4 เครื่อง อันอาจกล่าวได้ว่า กำลังทางอากาศของไทย เริ่มต้นจากนักบินเพียง 3 คน และเครื่องบินอีก 8 เครื่องเท่านั้น การบินของไทยในระยะแรก ได้ใช้สนามม้าสระปทุม หรือราชกรีฑาสโมสรในปัจจุบัน เป็นสนามบิน แต่ด้วยความไม่สะดวกหลายประการ บุพการีทั้ง 3 ท่าน จึงได้พิจารณาหาพื้นที่ ที่มีความเหมาะสมต่อการบิน และได้เลือกเอาตำบลดอนเมือง เป็นที่ตั้งสนามบิน ท่าน จึงได้พิจารณาหาพื้นที่ ที่มีความเหมาะสมต่อการบิน และได้เลือกเอาตำบลดอนเมือง เป็นที่ตั้งสนามบิน พร้อมทั้งได้ก่อสร้างอาคาร สถานที่โรงเก็บเครื่องบินอย่างถาวรขึ้น เมื่อการโยกย้ายกำลังพล อุปกรณ์ และเครื่องบิน ไปไว้ยังที่ตั้งใหม่เรียบร้อยแล้ว ในวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2457 กระทรวงกลาโหม จึงได้สั่งยกแผนกการบินขึ้นเป็น "กองบินทหารบก" ซึ่งถือได้ว่า กิจการการบินของไทย ได้วางรากฐานอย่างมั่นคงขึ้นแล้ว ตั้งแต่บัดนั้นมา กองทัพอากาศจึงถือเอา วันที่ 27 มีนาคม ของทุกปีเป็น "วันที่ระลึกกองทัพอากาศ" นับแต่นั้นมา บทบาทของกำลังทางอากาศ ก็ได้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญ และมีการพัฒนาอย่างเป็นลำดับ นับตั้งแต่การเข้าร่วมรบ ในสงครามโลกครั้งที่ 1 กับพันธมิตรในยุโรป เมื่อปี พ.ศ. 2460 ซึ่งทำให้ชื่อเสียงและเกียรติภูมิ ของชาติ เป็นที่ยอมรับ และยกย่อง เป็นอันมาก และทางราชการได้ยกฐานะ กองบินทหารบกขึ้นเป็น "กรมอากาศยานทหารบก" ในเวลาต่อมา กำลังทางอากาศ ได้พัฒนาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง และเป็นกำลังสำคัญ ในการพัฒนาประเทศชาติทางด้านต่างๆ อันเป็นรากฐาน ของกิจการหลายอย่างในปัจจุบัน อาทิ การบินส่งไปรษณีย์ทางอากาศ การส่งแพทย์ และเวชภัณฑ์ทางอากาศ เป็นต้น
ในปี พ.ศ. 2464 กระทรวงกลาโหม ได้พิจารณาเห็นว่า กำลังทางอากาศ มิได้เป็นกำลังเฉพาะในด้านยุทธศาสตร์ทางทหารเท่านั้น แต่มีประโยชน์ อย่างกว้างขวางต่อกิจการด้านอื่นๆ อีกด้วย จึงได้แก้ไขการเรียกชื่อจาก กรมอากาศยานทหารเป็น "กรมอากาศยาน" และเป็น "กรมทหารอากาศ" ในเวลาต่อมา โดยให้อยู่ในบังคับบัญชาของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยตรง พร้อมทั้งได้มีการกำหนดยศทหาร และการเปลี่ยนแปลงเครื่องแบบ จากสีเขียว มาเป็นสีเทา ดังเช่นปัจจุบัน วันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2480 กรมทหารอากาศได้ยกฐานะเป็น"กองทัพอากาศ" มีนาวาอากาศเอก พระเวชยันต์รังสฤษฎ์ เป็นผู้บัญชาการทหารอากาศคนแรกกองทัพอากาศ จึงได้ถือเอาวันที่ 9 เมษายน ของทุกปีเป็น "วันกองทัพอากาศ
กำลังทางอากาศ ได้พัฒนาไปอย่างมากมาย และได้เป็นกำลังสำคัญในการปกป้อง รักษาอธิปไตยของชาติ อาทิ สงครามกรณีพิพาทอินโดจีนฝรั่งเศส และสงครามมหาเอเชียบูรพา รวมทั้งเข้าร่วมกับกองกำลังสหประชาชาติ ในสงครามเกาหลี และร่วมกับพันธมิตร ในสงครามเวียดนาม จากเครื่องบินใบพัดเพียง 8 เครื่องในอดีต จนมาถึงเครื่องบินไอพ่นที่ทันสมัย ในปัจจุบัน กองทัพอากาศ ขอยืนยัน ที่จะดำรงความมุ่งมั่นในภารกิจ ที่จะพิทักษ์ รักษาเอกราช และอธิปไตยของชาติ ไว้ให้มั่นคงสถาพรตลอดไป
ประวัติโดยสังเขป
• 27 มีนาคม 2457
ยกฐานะจากแผนกการบิน เป็น "กองบินทหารบก" ถือเอาวันนี้เป็น วันที่ระลึกกองทัพอากาศ
• 29 มีนาคม 2461
ยกฐานะเป็นกรมอากาศยานทหารบก
• 1 ธันวาคม 2464
เปลี่ยนชื่อเป็นกรมอากาศยาน ขึ้นตรงต่อกระทรวงกลาโหม
• 12 เมษายน 2478
ยกฐานะเป็นกรมทหารอากาศ
• 9 เมษายน 2480
สถาปนาเป็นกองทัพอากาศ ถือเอาวันนี้เป็น วันกองทัพอากาศ (ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อ 26 มีนาคม 2541)
ทางเราหวังว่าข้อมูลข้่งต้นจะเป็นประโยชน์ต่อทุกท่านไม่มากก็น้อย หรือทำให้ท่านรู้จักกับ กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ มาขึ้น