ย้อนรอยดูหนังกลางแปลงกับภาพยนต์ไทยอมตะ"มือปืน 2 สาละวิน"
"หนังกลางแปลง" ผู้เขียนเชื่อว่าหลายท่านที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไปคงเคยได้สัมผัสบรรยากาศและเคยดูหนังกลางแปลง โดยเฉพาะหลายคนที่อาศัยอยู่ตามพื้นที่ชนบท สำหรับผู้เขียนเองนั้น จำได้ว่าเมื่อ 29-30 ปี ตอนผู้เขียนอายุประมาณ 9-10 ปี ผู้เขียนได้มีโอกาสไปดูกลางแปลงกับพี่สาวบ่อยครั้ง วันไหนที่จะมีการฉายหนังกลางแปลงผู้เขียนจำได้ว่าตอนเย็นของวันนั้นก็จะมีโฆษกเจ้าของหนังที่มาฉาย จะประชาสัมพันธ์ให้กับคนในหมู่บ้านที่จะทำการฉายหรือหมู่บ้านระแวกใกล้เคียงให้ทราบว่าจะมีการฉายหนังกลางแปลงขึ้นในค่ำคืนนี้
พวกเราที่เป็นเด็กก็จะมีความตื่นเต้นที่จะมีโอกาสได้ดูหนังกลางแปลงอีกครั้ง บรรยากาศที่ทุกคนได้ล้อมวงดูหนัง นั่งเป็นกลุ่มครอบครัว เป็นกลุ่มเพื่อนฝูง เป็นคู่รัก โดยมีกระดาษรองก้นหรือดีหน่อยบางคน บางครอบครัว บางกลุ่มก็เตรียมเสื่อมาปูนั่งด้วย มักจะมีขนมขบเคี้ยว มีการพูดคุยเบา ๆ ในระหว่างที่ดูหนังจุดที่มีการฉายหนังกลางแปลงจะใช้พื้นที่โล่งแจ้ง หากมีการเก็บค่าเข้าชมก็จะมีผ้าขนาดใหญ่ห้อมล้อมสำหรับจุดนั้น ๆ แต่ถ้าไม่มีการเก็บค่าเข้าชมก็จะไม่มีการกั้นห้อมล้อมด้วยผ้าขนาดใหญ่ แต่จะมีการคั่นด้วยโฆษณาขายสินค้าชนิดต่าง ๆ ให้กับผู้เข้าชมหนังในระหว่างดูหนัง จำได้ว่าจะโฆษณาขายสินค้าช่วงกลางระหว่างหนังดำเนินเรื่องพอดี ซึ่งอยู่ในช่วงที่หนังกำลังสนุกและน่าติดตามสุด ๆ
สำหรับค่ำคืนนี้ ผู้เขียนได้มีโอกาสย้อนรอยบรรยากาศการชมหนังกลางแปลงอีกครั้งกับภาพยนต์ไทยอมตะที่มีชื่อเรื่องว่า"มือปืน 2 สาละวิน" เป็นภาพยนต์ไทยแอคชั่นฟอร์มยักษ์ของผู้กำกับหนังหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุค ซึ่งถือว่าหนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากทั้งรายได้และรางวัลต่าง ๆ ที่ได้รับ
จากเรื่องราวของหนังเรื่องนี้สร้างจากเรื่องราวความขัดแย้งของรัฐบาลทหารพม่ากับชนกลุ่มน้อยกะเหรี่ยง หลังจากที่ประเทศพม่าได้รับการคืนอิสระภาพจากสหราชอาราจักร ก็อยากจะควบคุมชนกลุ่มน้อยทุกชนเผ่าในพม่าให้อยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลทหารพม่า แต่ชนกลุ่มน้อยโดยเฉพาะกลุ่มกะเหรี่ยง ไม่อยากอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลทหารพม่า อยากปกครองเป็นรัฐอิสระจึงมีการสู้รบกับรัฐบาลทหารพม่าขึ้น ซึ่งพื้นที่ที่รัฐกะเหรี่ยงอยู่นั้นเป็นพื้นที่ที่มีป่าสักอุดมสมบูรณ์มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ด้วยที่กองกำลังแห่งชาติกะเหรี่ยงขาดแคลนอาวุธยุธโทปกรณ์ที่จะต่อกรกับพม่า
จึงเป็นโอกาสของนายทุนที่มีความโลภต้องการไม้สักเป็นสินค้าป้อนเข้าโรงงาน จึงยื่นข้อเสนอที่จะสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กับทหารกะเหรี่ยงแลกกับสินค้าคือกับไม้สักทอง ทุกครั้งที่มีการสู้รบกันของรัฐบาลทหารพม่ากับกองกำลังแห่งชาติกะเหรี่ยง จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีชนกลุ่มน้อยกะเหรี่ยงทะลักเข้ามายังเขตประเทศไทย ตามหลักกฎหมายไทยแล้วจะต้องขับคนกะเหรี่ยงที่ล่วงล้ำอธิปไตยของไทยออกจากพื้นที่ แต่ด้วยหลักมนุษยธรรมประกอบกับภาพที่เห็นชาวบ้านกะเหรี่ยงหนีภัยสงครามและถูกตามฆ่าจากทหารพม่า
ตำรวจไทยที่อยู่ตามชายแดนเลือกที่จะช่วยเหลือและรับชนกลุ่มน้อยกะเหรี่ยงเหล่านั้นมาหลบอาศัยยังผืนแผ่นดินไทย นอกจากนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงผลของการทำสงครามที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด แต่นำมาซึ่งความสูญเสียและความเกลียดชังกัน รวมถึงหนังเรื่องนี้สร้างจากสถานที่จริงที่มีการสัมปทานป่าไม้ ภาพที่เห็นคือต้นไม้สักทองถูกตัดโค่นกองรวมกันเป็นภูเขา จึงปลูกจิตสำนึกในเรื่องของการอนุรักษ์ป่าไม้และแฝงไปด้วยแง่คิดของคนที่ไม่มีความซื่อสัตย์ต่อกันมีเล่ห์เหลี่ยมการโกงและหักหลังกันในท้ายที่สุด
การเดินเรื่องเริ่มจากฉากที่ร้อยตำรวจโทดนัย รับบทโดยสิรคุปต์ เมทะนี หัวหน้าสถานีตำรวจรุ่นใหม่ไฟแรงผู้มีอุดมการณ์แก่กล้า หลังได้รับการแต่งตั้งให้มาเป็นหัวหน้าสถานีตำรวจบ้านท่าตาฝั่ง เป็นสถานีตำรวจในพื้นที่ที่มีความอันตรายอยู่รอบด้านทั้งการสู้รบของชนกลุ่มน้อยและโจรที่มีอยู่ชุกชุม ขับมอเตอร์ไซค์เดินทางมาตามถนนรุกรังโดยตลอดสองข้างทางเป็นพื้นที่โล่งแจ้งที่มีร่องรอยการสัมปทานไม้สัก ในระหว่างที่ใกล้จะมาถึงสถานีตำรวจต้องผ่านหมู่บ้านแม่สามแลบ ซึ่งเป็นหมู่บ้านชายแดนที่มีการค้าขายคับคั่งในสมัยนั้นได้พบกับจ่าแร่ม รับบทโดยสรพงษ์ ชาตรี ที่แต่งตัวแบบชาวบ้านไม่ชอบใส่เครื่องแบบตำรวจเป็นนายตำรวจสายโหดที่ปราบโจรอย่างเด็ดขาด
โดยเฉพาะการวิสามัญคนร้ายจนเป็นที่เลื่องลือและน่าเกรงขามของชาวบ้านในพื้นที่แถบนั้น ด้วยอุดมการณ์อันแน่วแน่ประกอบกับบทบาทที่เหนือกว่าของร้อยตำรวจโทดนัย ได้สั่งให้เจ้าตัวปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการแต่งตัวให้เป็นที่ยอมรับของชาวบ้าน ด้วยทรัพยากรป่าไม้ที่มีอย่างมากมายเป็นที่ต้องการของนายทุนผู้โลภมากอย่างอย่างสองพ่อลูก คือพ่อเลี้ยงทวีพงษ์และลูกชายคือสมศักดิ์ ซึ่งรับโดยนพพล โกมารชุน ที่มักจะต่อรองทรัพยากรป่าไม้ในพื้นที่กับทั้งฝ่ายทหารพม่าและฝ่ายทหารกะเหรี่ยง ใครให้ผลประโยชน์ที่มากกว่าก็จะเลือกข้างฝ่ายนั้น
โดยพ่อเลี้ยงสมศักดิ์มีนิสัยเป็นเกย์ มีเมียคือกานดา ซึ่งรับบทโดยปวีณา ชารีฟสกุล ด้วยการที่ตนเองเป็นเกย์จึงไม่สามารถให้ความสุขกับกานดาได้ ทั้งคู่มักจะทะเลาะกันบ่อยครั้ง ทำให้กานดาไม่มีความสุขในชีวิตครอบครัวเลยดื่มและติดเหล้างอมแงมแอบไปมีชู้กับผู้ชายคนอื่น เมื่อพ่อเลี้ยงสมศักดิ์สงสัยจึงตามมาและเห็นกานดามีชู้ จึงได้ฆ่าชายชู้และกานดาตาย การที่ตัวเองเป็นเกย์อาจส่งผลต่อภาพลักษณ์นักธุรกิจ ประกอบกับมีความผิดในการการฆ่าเมียตนเองตาย พ่อเลี้ยงสมศักดิ์จึงได้ลี้ภัยไปอยู่ฝั่งพม่า เมื่อตำรวจไทยทราบเรื่องจึงได้นำกำลังตามไปจับกลับมาดำเนินคดีและรับโทษในไทย
ซึ่งนำทีมโดยร้อยตำรวจโทดนัยกับจ่าแร่มได้ไปตามจับพ่อเลี้ยงสมศักดิ์ แต่เนื่องจากการเดินทางกลับมายังฝั่งไทยลำบากมากใช้เวลาหลายวัน พ่อเลี้ยงทวีพงษ์ทราบเรื่องลูกชายถูกตำรวจไทยจับ จึงได้มีคำสั่งให้นายพลทหารกะเหรี่ยง หาหน่วยทหารกะเหรี่ยงคอนมานโดซึ่งมีทูเล่ นายทหารกะเหรี่ยงที่รับบทโดยฉัตรชัย เปล่งพาณิช เป็นหน่วยทหารกะเหรี่ยงคอมมานโดที่เก่งที่สุด ไปชิงตัวพ่อเลี้ยงสมศักดิ์กลับมา พ่อเลี้ยงทวีพงษ์ ให้ข้อเสนอเพิ่มเติมว่าจะมอบอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยให้กับกองกำลังทหารกะเหรี่ยงไว้ต้อสู้กับทหารพม่า
ทูเล่มีความลำบากใจมากเพราะตำรวจไทยนำโดยจ่าแร่มเคยช่วยเหลือเขาและชาวบ้านไว้เมื่อคราวก่อน แต่ด้วยความอยู่รอดของทหารกะเหรี่ยง ทูเล่ไม่มีทางเลือกอื่นใดจึงจำใจรับงานชิงตัวพ่อเลี้ยงสมศักดิ์กลับมา ซึ่งฉากนี้จะเห็นถึงการไม่มีมีมิตรแท้และซื่อสัตย์ต่อกันจ่าแร่มโดนทูเล่ฆ่าตาย นอกจากนี้ยังได้เห็นเล่ห์เลี่ยมและการหักหลังของพ่อเลี้ยงทวีพงษ์ที่แอบเจราจาต่อรองและรายงานความเคลื่อนไหวของทูเล่ให้ทหารพม่าได้ทราบตลอด เนื่องจากทูเล่เป็นศัตรูตัวฉกาจที่ทหารพม่าต้องการตัว สุดท้ายทูเล่โดนทหารพม่าฆ่าตาย ฉากจบพ่อเลี้ยงสมศักดิ์ถูกร้อยโทดนัยฆ่าตายชดใช้
ฉากที่ประทับใจเป็นอย่างมาก ซึ่งอยู่ช่วงกลางของการดำเนินเรื่องเป็นฉากที่สะเทือนใจและสะท้อนให้เห็นถึงผลเสียหายของสงครามที่ก่อให้เกิดความสูญเสียของทั้งสองฝ่าย รวมถึงการตัดสินใจระหว่างหลักอธิปไตยกับหลักมนุษยธรรม เมื่อเกิดการสู้รบระหว่างรัฐบาลทหารพม่าและกองกำลังทหารกะเหรี่ยงนำโดยทูเล่ ทำให้ทหารกะเหรี่ยงและชาวบ้านกะเหรี่ยงหนีตายเข้ามายังฝ่ายไทย ตอนแรกก่อนที่จะมีการหนีเข้ามายังฝ่ายไทยร้อยตำรวจโทดนัย ยืนยันอย่างหนักแน่นว่าจะผลักดันทุกคนที่ล่วงล้ำดินแดนอธิปไตยของไทย แต่ภาพที่เห็นตรงหน้าคือชาวบ้านและทหารกะเหรี่ยงถูกทหารพม่ายิงและล้มตาย ร้อยโทดนัยจึงตัดสินใจยิงสกัดและสั่งผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคนให้ลงไปช่วยและเปิดทางให้ทหารกะเหรี่ยงและชาวบ้านเข้ามาหลบภัยยังประเทศไทยอย่างปลอดภัย