น้ำกัดเซาะ! ภัยเงียบที่กลืนกินผืนแผ่นดิน
น้ำกัดเซาะ! ภัยเงียบที่กลืนกินผืนแผ่นดิน
“การกัดเซาะ” เป็นหนึ่งในกระบวนการธรรมชาติที่ส่งผลกระทบทำให้พื้นผิวหน้าดินหรือหินโดนทำลาย กร่อนกะเทาะ เคลื่อนตัว เปลี่ยนรูป หรือพังทลาย ซึ่งเกิดได้จากทิศทางการไหลของน้ำ ฝน ลม ภูมิอากาศ หรือเกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์ เช่น การทำเกษตร การตัดไม้ทำลายป่า และการเจริญเติบโตของเมือง
สำหรับการกัดเซาะตามธรรมชาติส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ จนมนุษย์ไม่ทันสังเกตเห็น ซึ่งบางครั้งอาจใช้เวลานานหลายชั่วอายุคน เช่น แพะเมืองผี จ.แพร่ และ สามพันโบก จ.อุบลราชธานี ซึ่งจากการศึกษาของนักธรณีวิทยาพบว่าทั้ง 2 แห่งเกิดจากถูกน้ำกัดเซาะมานานนับล้านปี ทว่า การกัดเซาะจากธรรมชาติก็ไม่ได้รังสรรค์สิ่งสวยงามเสมอไป แต่หลายครั้งกลับเป็นมหันตภัยเงียบที่กลืนกินผืนแผ่นดิน ค่อยๆ รุกคืบเข้ามาใกล้ จนส่งผลกระทบแบบไม่ทันตั้งตัว โดยในบทความนี้จะพาไปดูผลกระทบและแนวทางป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการกัดเซาะดังกล่าว
ตัวอย่าง ภาพแพะเมืองผี (ที่มา : https://www.facebook.com/Phaemuangphi/)
การกัดเซาะของน้ำในแม่น้ำที่ค่อยๆ พังทลายตลิ่งลงมาทีละนิด
นับเป็นปัญหาหลักของคนไทย เนื่องจากวิถีชีวิตคนไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมักจะอาศัยใกล้ชิดอยู่ริมแม่น้ำ ซึ่งจากงานวิจัยของ มนิษฐา ไรแสง ศึกษาเกี่ยวกับปัญหาน้ำกัดเซาะที่อยู่อาศัยริมน้ำของชุมชนซอยวัดหลังบ้าน เทศบาลเมืองสมุทรสงคราม พบว่า การกัดเซาะทำให้ลักษณะทางกายภาพมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาโดยเฉพาะบริเวณริมตลิ่งซึ่งเกิดจากมีปริมาณการไหลของน้ำสูง ยิ่งกระแสน้ำไหลเร็วมากเท่าไรก็จะยิ่งมีการกัดเซาะที่รุนแรงมากขึ้นเท่านั้น ทำลายพื้นที่ทำกิน และทำลายพื้นที่อยู่อาศัย โดยสามารถป้องกันได้ด้วยการออกแบบโครงสร้างที่อยู่อาศัยให้เข้ากับสภาพแวดล้อม และการทำพนังกั้นน้ำแบบธรรมชาติควบคู่กับโครงสร้างแบบถาวรเพื่อช่วยรักษาริมตลิ่งให้คงทน
ตัวอย่าง ภาพที่อยู่อาศัยชุมชนซอยวัดหลังบ้าน เทศบาลเมืองสมุทรสงคราม1
ตัวอย่าง ภาพจำลองลักษณะที่อยู่อาศัยที่โดนน้ำกัดเซาะชุมชนซอยวัดหลังบ้าน เทศบาลเมืองสมุทรสงคราม1
(1ที่มา : มนิษฐา ไรแสง แนวทางการแก้ไขปัญหาน้ำกัดเซาะที่อยู่อาศัยริมน้ำ
: กรณีศึกษาชุมชนซอยวัดหลังบ้าน เทศบาลเมือง สมุทรสงคราม)
ทะเลสาบจากธรรมชาติและทะเลสาบฝีมือมนุษย์ ความงดงามที่ค่อยๆ กัดเซาะผืนดิน
เมื่อพูดถึงแหล่งน้ำสำคัญอย่างทะเลสาบ สถานที่แรกที่หลายคนนึกถึงก็คือทะเลสาบสงขลา แหล่งน้ำธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ขนาดกว่า 1,000 กิโลเมตร เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง และเป็นพื้นที่ประมงและเกษตรพื้นบ้านมาอย่างยาวนานหลายชั่วอายุคน แต่ในปัจจุบันทะเลสาบสงขลาเป็นอีกพื้นที่ที่กำลังประสบปัญหาถูกน้ำกัดเซาะกินพื้นที่ชายฝั่งเป็นบริเวณกว้าง โดยจากการรายงานของหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์พบว่า ปัญหาน้ำกัดเซาะชายฝั่งของทะเลสาบสงขลาเกิดมานานกว่า 10 ปี สาเหตุจากลมเปลี่ยนทิศทาง และการก่อสร้างโครงสร้างรุกล้ำชายหาด ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็ได้มีความพยายามแก้ไขปัญหาดังกล่าว ทั้งการเติมทรายเสริมชายหาด และการรื้อโครงสร้างที่รุกล้ำชายหาด ซึ่งตามหลักวิศวกรรมระบุว่า หาดทรายที่ใกล้กับสิ่งก่อสร้างชายฝั่งจะเกิดการสะสมของทรายด้านต้นเขื่อน ส่วนด้านท้ายเขื่อนชายหาดจะถูกกัดเซาะอย่างรุนแรง แต่จากความพยายามแก้ไขปัญหาของภาครัฐไม่เพียงแค่ไม่สามารถลดปัญหาการกัดเซาะได้เท่านั้น แต่ยังประสบปัญหาเดียวกับชาวชุมชนชายหาดบ้านท่าบอน คือทัศนียภาพอันสวยงามโดนบดบัง ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและการทำอาชีพ
นอกจากทะเลสาบสงขลาและทะเลสาบตามธรรมชาติอื่น ๆ ที่เสี่ยงต่อการโดนน้ำกัดเซาะแล้ว ทะเลสาบที่เกิดขึ้นโดยฝีมือการสร้างของมนุษย์ก็มีความเสี่ยงเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะในปัจจุบันที่นิยมมีทะเลสาบในโครงการบ้านจัดสรร ซึ่งเป็นความสวยงามที่แฝงไปด้วยข้อควรระวัง ทางที่ดีควรเลือกบ้านริมทะเลสาบที่ออกแบบทำแนวป้องกันดินพังทลายไว้อย่างดี เลือกทำเลที่ตั้งบ้านไม่ให้อยู่บริเวณมุมโค้งน้ำ ซึ่งมีความเสี่ยงจะโดนกัดเซาะได้ง่าย นอกจากนี้ อาจทำให้ผิวดินบริเวณใกล้เคียงมีความอ่อนตัว ดินไถลทรุดง่ายกว่าบริเวณอื่นด้วย ตัวอย่างเช่น
- บ้านบาตูปูเต๊ะ อ.ธารโต จ.ยะลา ที่ถูกกระแสน้ำกัดเซาะริมตลิ่ง ทำให้ดินทรุดอย่างรวดเร็ว สุเหร่าพังทลายลงไปกับกระแสน้ำเป็นจำนวนมาก หรือปัญหาน้ำกัดเซาะถนนขาดเหนือวัดสิงห์-วัดทุ่ง น้ำไหลเข้าสู่หมู่บ้านบริเวณนั้น ทำให้เกิดความเสียหาย เนื่องจากน้ำไหลแรงและเร็ว ซึ่งแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ด้วยการใช้ Geobag หรือถุงบรรจุทรายขนาดใหญ่ในการสกัดและป้องกันตลิ่งแม่น้ำ ไม่ให้เกิดความเสียหายและทรุดตัวลง
ตัวอย่าง ภาพการกั้นน้ำด้วย Geobag (ที่มา : https://bangkokgabions.com/geobag/)
- Harrow Lake หรือทะเลสาบฮาร์โรว์ ของโรงเรียนนานาชาติฮาร์โรว์ ย่านดอนเมือง ที่มีพื้นที่บางส่วนติดกับทะเลสาบ หรือ Harrow Lake ซึ่งเคยมีปัญหาการกัดเซาะตลิ่งของทะเลสาบเรื้อรังมานาน ทำให้ใช้เวลาเกือบ 10 ปี ในการหาแนวทางแก้ไขที่ดีที่สุด ด้วยการเสริมความแข็งแกร่งของชายฝั่งทุกด้าน โดยการเสริมแนวคันหินธรรมชาติ และสร้างถนนรองรับด้วยโครงสร้างคล้ายทางยกระดับบนดิน เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถยับยั้งการกัดเซาะไม่ให้ลามไปยังชุมชนอีกในภายหน้า
ตัวอย่าง ภาพการแก้ปัญหาน้ำกัดเซาะทะเลสาบของโรงเรียนนานาชาติฮาร์โรว์
กระแสน้ำในท้องทะเลหรือคลื่นที่ค่อยๆ กัดเซาะชายฝั่ง
นอกจากคนไทยส่วนใหญ่จะมีชีวิตผูกพันกับแม่น้ำแล้ว คนไทยอีกส่วนก็ยังผูกพันกับท้องทะเล ซึ่งถือเป็นแหล่งทำเงินให้ประเทศติดเป็นอันดับต้นๆ โดยปัจจุบันไทยเรามีพื้นที่ติดทะเล 23 จังหวัด มีแนวชายฝั่งยาวรวม 3,151 กิโลเมตร แต่จากการรายงานของหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์พบว่า การกัดเซาะของคลื่นชายฝั่งได้ค่อยๆ กัดกร่อนก่อหายนะทำลายทั้งการท่องเที่ยว และวิถีชีวิตในชุมชน ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ชาวบ้านชายหาดบ้านท่าบอน อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา เป็นอีกหนึ่งชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากชายฝั่งถูกกัดเซาะ โดยเฉพาะจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือช่วงเดือนตุลาคมถึงธันวาคมทำให้คลื่นซัดเข้าหาฝั่งอย่างรุนแรง ทำลายหน้าดิน สิ่งปลูกสร้าง บ้าน ที่อยู่อาศัย ถนนหนทาง ฯลฯ และแม้ว่าภาครัฐจะเข้าไปสร้างกำแพงกันคลื่นแต่คลื่นยังซัดกระโจนข้ามกำแพงเข้ามาสร้างความเสียหายเหมือนเดิม โดยจากการรายงานของศูนย์พัฒนาการสื่อสารภัยพิบัติ ไทยพีบีเอส จะเห็นว่าการแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่เพียงแค่ไม่สามารถป้องกันคลื่นกัดเซาะได้เท่านั้น แต่ยังทำลายสภาพแวดล้อม บดบังทัศนียภาพ ทำลายบรรยากาศของสถานที่ท่องเที่ยว และทำลายวิถีชีวิตของชุมชนเพราะชาวบ้านไม่สามารถจอดเรือประมงได้เหมือนเดิม
ตัวอย่าง ภาพการกัดเซาะ ชุมชนชายหาดบ้านท่าบอน อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา2
ตัวอย่าง ภาพกำแพงกันคลื่นที่พังเสียหาย ชุมชนชายหาดบ้านท่าบอน อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา2
(2ที่มา : กองบรรณาธิการ DXC ไทยพีบีเอส : เสียงจากคนริมเล “กำแพงหินกันคลื่น สู่ภัยพิบัติ)
สำหรับแนวทางป้องกันคลื่นกัดเซาะชายฝั่งนั้นสามารถทำได้หลายรูปแบบขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและความแรงของคลื่นลม ได้แก่
1) กำแพงกันคลื่น มีหลายรูปแบบแตกต่างไปตามสภาพแวดล้อมและความรุนแรงของคลื่น
2) เขื่อนกันคลื่น เน้นสลายความรุนแรงของคลื่นให้ลดแรงกระทบน้อยลง และหักเหทิศทางคลื่นไม่ให้เข้ากระทบฝั่ง
3) รอดักทราย เพื่อดักทรายไม่ให้ไหลไปตามกระแสคลื่น
4) เติมทราย หรือสร้างหาดใหม่
5) ปลูกป่าชายเลนเป็นกำแพงกันคลื่นธรรมชาติ แต่ถ้าสุดท้ายเล็งเห็นแล้วว่าไม่สามารถหยุดการกัดเซาะชายฝั่งได้ก็อาจต้องใช้มาตรการถ่อยร่นของชายฝั่ง ด้วยการเวนคืนที่ดินและอพยพชาวบ้านไปยังที่ปลอดภัย
ที่มา
หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ออนไลน์ “https://www.posttoday.com/business/406424”
วิทยานิพนธ์ “มนิษฐา ไรแสง แนวทางการแก้ไขปัญหาน้ำกัดเซาะที่อยู่อาศัยริมน้ำ : กรณีศึกษาชุมชนซอยวัดหลังบ้าน เทศบาลเมือง สมุทรสงคราม”
https://dxc.thaipbs.or.th/expert-pool/กัดเซาะชายฝั่ง-สาธารณ/
อ้างอิงจาก: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ออนไลน์ “https://www.posttoday.com/business/406424”
วิทยานิพนธ์ “มนิษฐา ไรแสง แนวทางการแก้ไขปัญหาน้ำกัดเซาะที่อยู่อาศัยริมน้ำ : กรณีศึกษาชุมชนซอยวัดหลังบ้าน เทศบาลเมือง สมุทรสงคราม”
https://dxc.thaipbs.or.th/expert-pool/กัดเซาะชายฝั่ง-สาธารณ/