ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม : ก้าวสำคัญสู่การเท่าเทียมทางเพศ
ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม : ก้าวสำคัญสู่การเท่าเทียมทางเพศ
ในวันที่ 21 ธันวาคม 2566 ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมทั้ง 3 ร่าง จะถูกนำเข้าพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้ง หลังจากร่างของพรรคก้าวไกล ตกไปในสภาชุดที่แล้ว
ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมทั้ง 3 ร่าง มีเนื้อหาสาระหลักที่เหมือนกัน คือ กำหนดให้คู่สมรสตามกฎหมายสามารถเป็นบุคคลสองคน ไม่ว่าชายหรือหญิง คู่สมรสมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายเช่นเดียวกับคู่สมรสชาย-หญิง ยกเว้นข้อยกเว้นบางประการ เช่น มาตรา 1454 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งกำหนดว่าคู่สมรสไม่สามารถรับบุตรบุญธรรมร่วมได้
รายละเอียดของทั้ง 3 ร่าง
ร่างของรัฐบาล
-
กำหนดให้คู่สมรสตามกฎหมายสามารถเป็นบุคคลสองคน ไม่ว่าชายหรือหญิง
-
กำหนดให้อายุขั้นต่ำในการจดทะเบียนสมรสคือ 17 ปีบริบูรณ์
-
กำหนดให้หน่วยงานอื่นดำเนินการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องภายใน 180 วัน นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ร่างของพรรคก้าวไกล
-
กำหนดให้คู่สมรสตามกฎหมายสามารถเป็นบุคคลสองคน ไม่ว่าชายหรือหญิง
-
กำหนดให้อายุขั้นต่ำในการจดทะเบียนสมรสคือ 18 ปีบริบูรณ์
-
กำหนดให้หน่วยงานอื่นดำเนินการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องภายใน 180 วัน นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ร่างของภาคประชาชน
-
กำหนดให้คู่สมรสตามกฎหมายสามารถเป็นบุคคลสองคน ไม่ว่าชายหรือหญิง
-
กำหนดให้อายุขั้นต่ำในการจดทะเบียนสมรสคือ 18 ปีบริบูรณ์
-
กำหนดให้กฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลทันที ไม่ต้องรอการแก้ไขกฎหมายอื่น
จากประเด็นความแตกต่างข้างต้น มีข้อเสนอแนะดังนี้
- ควรกำหนดให้กฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลทันที เพื่อให้คู่สมรสเพศเดียวกันที่จดทะเบียนสมรสกันได้รับสิทธิและสวัสดิการต่าง ๆ ตามกฎหมายได้ทันที เช่น สิทธิในการรับมรดกจากคู่สมรส สิทธิในการรับสวัสดิการจากหน่วยงานราชการ เช่น สวัสดิการข้าราชการ สิทธิในการรับค่ารักษาพยาบาลจากคู่สมรส เป็นต้น
- ควรแก้ไขถ้อยคำในกฎหมายแพ่งฯ ที่เกี่ยวกับมารดากับบุตร ในกฎหมายอื่น ๆ ให้ครอบคลุมถึงคู่สมรสเพศเดียวกันที่จดทะเบียนสมรสกันทันที เพื่อให้คู่สมรสเพศเดียวกันได้รับสิทธิและสวัสดิการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับบุตร เช่น สิทธิในการเป็นผู้ปกครองบุตร สิทธิในการรับบุตรบุญธรรม เป็นต้น
ความคืบหน้าล่าสุด
จากการสัมภาษณ์ ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล หรือ "ครูธัญ" ระบุว่า "รายละเอียดต่าง ๆ เหล่านี้ สามารถหาความเห็นร่วมกันในขั้นคณะกรรมาธิการได้"
ขณะที่ชวินโรจน์ ธีรพัชรพร นักกฎหมายสิทธิของผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) ชี้ว่าเมื่อดูเจตจำนงทางการเมืองของสภาผู้แทนราษฎร เห็นว่า ความท้าทายของร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมไม่ใช่การผ่านหรือไม่ผ่านกฎหมาย เนื่องจากท่าทีของฟากรัฐบาล ร่างกฎหมายนี้น่าจะผ่านแน่นอน แต่ความท้าทายก็คือ ร่างกฎหมายตัวหลักจะถูกพัฒนาให้เป็นร่างที่ดีที่สุดหรือไม่ จากกรรมาธิการในชั้นต่อไป
"คำว่าสมรสเท่าเทียม มันไม่ได้เท่าเทียมแค่เดินไปจดทะเบียนสมรส มันต้องเท่าเทียมในเรื่องสิทธิสวัสดิการ และแนวปฏิบัติต่าง ๆ ที่ไม่ให้มีการเลือกปฏฺิบัติ ไม่ใช่คู่สมรสชายหญิงทำอย่างหนึ่ง แต่คู่สมรส LGBTQ ทำอย่างหนึ่ง" ชวินโรจน์ กล่าวทิ้งท้าย
จากข้อมูลข้างต้น พบว่าร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมมีความคืบหน้าไปมากแล้ว โดยทั้ง 3 ร่าง จะถูกนำเข้าพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้งในวันที่ 21 ธันวาคม 2566
ความท้าทายของร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมในขณะนี้อยู่ที่การพิจารณาของคณะกรรมาธิการฯ ว่าจะสามารถหาความเห็นร่วมกันได้หรือไม่ และจะสามารถพัฒนาร่างกฎหมายให้ครอบคลุมและเท่าเทียมทุกมิติได้หรือไม่
หากร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรได้สำเร็จ จะเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความเท่าเทียมทางเพศในประเทศไทย
ความเท่าเทียมทางเพศเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีความหลากหลายทางเพศหรือไม่ก็ตาม ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมจึงเป็นความหวังของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศในประเทศไทยในการต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมทางเพศอย่างแท้จริง
ประเด็นเพิ่มเติม
นอกจากประเด็นความแตกต่างข้างต้นแล้ว ยังมีประเด็นเพิ่มเติมที่ควรพิจารณาในร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม
สิทธิในการรับบุตรบุญธรรม
ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมทั้ง 3 ร่าง กำหนดให้คู่สมรสเพศเดียวกันมีสิทธิในการรับบุตรบุญธรรมร่วมได้ แต่มีข้อจำกัดบางประการ เช่น
- ร่างของรัฐบาลและพรรคก้าวไกล กำหนดให้คู่สมรสเพศเดียวกันสามารถรับบุตรบุญธรรมได้ แต่ต้องได้รับอนุญาตจากศาลก่อน
- ร่างของภาคประชาชน กำหนดให้คู่สมรสเพศเดียวกันสามารถรับบุตรบุญธรรมได้โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากศาล
ข้อจำกัดในการรับบุตรบุญธรรมร่วมของคู่สมรสเพศเดียวกัน อาจทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในสิทธิและสวัสดิการระหว่างคู่สมรสเพศเดียวกันและคู่สมรสชาย-หญิง เนื่องจากคู่สมรสชาย-หญิงสามารถรับบุตรบุญธรรมได้โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากศาล
ดังนั้น จึงควรพิจารณาแก้ไขร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมให้คู่สมรสเพศเดียวกันสามารถรับบุตรบุญธรรมร่วมได้โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากศาล เพื่อให้คู่สมรสเพศเดียวกันได้รับสิทธิและสวัสดิการอย่างเท่าเทียมกับคู่สมรสชาย-หญิง
นอกจากนี้ ควรพิจารณาแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ครอบคลุมถึงคู่สมรสเพศเดียวกันที่จดทะเบียนสมรสกัน เช่น พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ซึ่งกำหนดให้คู่สมรสชาย-หญิงมีสิทธิเป็นผู้ปกครองบุตรร่วมกัน กฎหมายดังกล่าวควรแก้ไขให้คู่สมรสเพศเดียวกันที่จดทะเบียนสมรสกันก็มีสิทธิเป็นผู้ปกครองบุตรร่วมกันเช่นกัน
การแก้ไขกฎหมายสมรสเท่าเทียมและกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ครอบคลุมถึงคู่สมรสเพศเดียวกัน จะช่วยให้คู่สมรสเพศเดียวกันได้รับสิทธิและสวัสดิการอย่างเท่าเทียมกับคู่สมรสชาย-หญิง และเป็นการส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศในสังคมไทย
อ้างอิงจาก:
ข้อมูลจากเว็บไซต์ของกระทรวงยุติธรรม
ข้อมูลจากเว็บไซต์ของพรรคก้าวไกล
ข้อมูลจากเว็บไซต์ของมูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศและสิทธิมนุษยชน