พบผู้ติดเชื้อโอมิครอน JN.1 ในไทยแล้ว 1 ราย คาดแพร่เป็นสายพันธุ์หลักต้นปีหน้า
พบผู้ติดเชื้อโอมิครอน JN.1 ในไทยแล้ว 1 ราย คาดแพร่เป็นสายพันธุ์หลักต้นปีหน้า
เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กว่า ประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อโอมิครอน JN.1 จำนวน 1 ราย
เชื้อโอมิครอน JN.1 เป็นสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอน BA.2.86 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยที่พบได้บ่อยที่สุดในขณะนี้ โดยมีลักษณะเด่นคือ ความสามารถในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันจากการฉีดวัคซีนและการติดเชื้อในอดีตได้ดีกว่าสายพันธุ์โอมิครอนอื่นๆ ส่งผลให้มีโอกาสแพร่ระบาดได้เร็วกว่า
จากข้อมูลในปัจจุบัน ยังไม่มีหลักฐานว่าโอมิครอน JN.1 มีอาการรุนแรงกว่าสายพันธุ์โอมิครอนอื่นๆ อย่างไรก็ตาม องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้จัดให้โอมิครอน JN.1 เป็นสายพันธุ์ที่น่าสนใจ (Variant of Interest) เนื่องจากมีความเสี่ยงในการแพร่ระบาดสูง
สำหรับประเทศไทย คาดว่าโอมิครอน JN.1 อาจกลายเป็นสายพันธุ์หลักในช่วงต้นปี 2567 เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ดังนั้น จึงควรเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตนเองอย่างเคร่งครัด เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดและติดเชื้อ
ลักษณะเด่นของเชื้อโอมิครอน JN.1
- ความสามารถในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันจากการฉีดวัคซีนและการติดเชื้อในอดีตได้ดีกว่าสายพันธุ์โอมิครอนอื่นๆ
- มีโอกาสแพร่ระบาดได้เร็วกว่าสายพันธุ์โอมิครอนอื่นๆ
อาการของเชื้อโอมิครอน JN.1
จากข้อมูลในปัจจุบัน ยังไม่มีหลักฐานว่าโอมิครอน JN.1 มีอาการรุนแรงกว่าสายพันธุ์โอมิครอนอื่นๆ อย่างไรก็ตาม อาการที่พบบ่อย ได้แก่ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก ปวดศีรษะ หายใจลำบาก
มาตรการป้องกันตนเองจากเชื้อโอมิครอน JN.1
- สวมหน้ากากอนามัยอย่างถูกวิธีตลอดเวลาที่อยู่ในที่สาธารณะ
- ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่และน้ำ หรือแอลกอฮอล์เจล
- เว้นระยะห่างทางสังคมอย่างน้อย 1 เมตร
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า
- ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 และรับวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 หรือเข็มที่ 4 ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข
หากมีอาการป่วย เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก ปวดศีรษะ หายใจลำบาก ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
การพบผู้ติดเชื้อโอมิครอน JN.1 ในไทย แสดงให้เห็นว่าสายพันธุ์ย่อยนี้กำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วทั่วโลก และอาจกลายเป็นสายพันธุ์หลักในประเทศไทยในช่วงต้นปีหน้า ดังนั้น จึงควรเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตนเองอย่างเคร่งครัด เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดและติดเชื้อ
อ้างอิงจาก:
โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กของศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2566
ข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO)