น้ำมัน EURO 5 มีผลต่อค่าการตลาดน้ำมันอย่างไร
น้ำมัน EURO 5 เริ่มใช้ 1 ม.ค. 67 มีผลต่อค่าการตลาดน้ำมันอย่างไร
น้ำมัน EURO 5 คือน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกิน 10 ส่วนในล้านส่วน (ppm) ซึ่งต่ำกว่าน้ำมัน EURO 4 ที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกิน 50 ppm โดยน้ำมัน EURO 5 จะเริ่มบังคับใช้ในประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป
การบังคับใช้น้ำมัน EURO 5 ส่งผลต่อค่าการตลาดน้ำมัน ดังนี้
-
ค่าการตลาดเฉลี่ยของน้ำมัน EURO 5 อาจมีแนวโน้มสูงขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากต้นทุนการผลิตน้ำมัน EURO 5 สูงกว่าน้ำมัน EURO 4 เนื่องจากต้องผ่านกระบวนการผลิตที่ซับซ้อนกว่า โดยปัจจุบันค่าการตลาดเฉลี่ยของน้ำมันเบนซินและดีเซลอยู่ที่ประมาณ 2 บาทต่อลิตร ซึ่งหากค่าการตลาดเฉลี่ยของน้ำมัน EURO 5 สูงขึ้นเล็กน้อย อาจส่งผลให้ราคาน้ำมันขายปลีกสูงขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน
-
ค่าการตลาดของน้ำมัน EURO 5 ของภาครัฐและเอกชนอาจใกล้เคียงกันมากขึ้น เนื่องจากราคาน้ำมันที่อ้างอิงสำหรับน้ำมัน EURO 5 จะเป็นมาตรฐานเดียวกันที่ 10 ppm ทำให้โรงกลั่นสามารถขายน้ำมัน EURO 5 ให้กับภาครัฐและเอกชนได้ในระดับราคาเดียวกัน หรือแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยจากค่าพรีเมี่ยม
ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างการศึกษาทบทวนโครงสร้างราคาน้ำมัน เพื่อรองรับการบังคับใช้น้ำมัน EURO 5 โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนธันวาคม 2566 ซึ่งจะส่งผลต่อค่าการตลาดน้ำมันในระยะต่อไป
อย่างไรก็ตาม ผลที่ชัดเจนของการเปลี่ยนแปลงมาใช้น้ำมัน EURO 5 นั้น จะเป็นเรื่องของคุณภาพอากาศที่ดีขึ้น เนื่องจากน้ำมัน EURO 5 ช่วยลดการปล่อยก๊าซไฮโดรคาร์บอนและออกไซด์ของไนโตรเจน ซึ่งมีส่วนสำคัญในการก่อให้เกิดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน
การบังคับใช้น้ำมัน EURO 5 ถือว่าเป็นก้าวสำคัญในการลดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ในประเทศไทย เนื่องจากน้ำมัน EURO 5 ช่วยลดการปล่อยก๊าซไฮโดรคาร์บอนและออกไซด์ของไนโตรเจน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก อย่างไรก็ตาม ผลกระทบต่อค่าการตลาดน้ำมันนั้นอาจต้องรอดูสถานการณ์จริงต่อไป