เด็กหญิงสุพัฒตรา
สวัสดีค่ะ ฉันชื่อสุพัฒตรา ชื่อออกจะโบราณๆหน่อยใช่มั้ยคะ ใช่ค่ะฉันเป็นเด็กที่เติบโตในยุค 90 ในหมู่บ้านเล็กๆ ทางตอนใต้ของประเทศไทย ฉันมีพี่น้อง 3 คน ซึ่งเป็นผู้ชายหมด ฉันเลยเติบโตมากับเด็กผู้ชาย แต่ได้รับการเลี้ยงดูดั่งเจ้าหญิงแบบฉบับชาวบ้าน เพราะใครๆก้อชอบพูดว่า ฉันอ่อนแอ ฉันต้องมีคนคอยดูแล อาจจะเพราะฉันเป็นลูกสาวคนเดียว และเป็นหลานผู้หญิงรุ่นแรกๆแก่ปู่ยาตายาย หมู่บ้านที่ฉันอยู่แถบจะเรียกได้ว่าถึงขั้นกันดารอย่างยิ่ง ฉันเกิดกับหมอตำแยประจำตำบล โรงพยาบาลก็ยังเป็นแค่สถานีอนามัย ถนนลูกรัง รถราแถบจะไม่มี นานๆทีจะมีรถฉายหนังขายยามาที่หมู่บ้านฉัน ทำให้ผู้คนละแวกนั้นชื่นชอบดาราในยุคนั้นเป็นอย่างมาก และนั่นคือที่มาของชื่อฉัน ทุกคนคงงงละซิว่า ชื่อดาราคนใหน จากการเล่าของแม่ฉันนั้น ชื่อฉันได้มาโดยปู่ของฉันเป็นคนตั้งให้ เพราะแกเป็นผู้ไปแจ้งเกิดที่อำเภอด้วยตนเอง และมีความประสงค์อันแรงกล้าที่จะให้ฉันชื่อเดียวกับนางเอกภาพยนต์ที่ชื่นชอบนั่นคือ คุณสุพรรษา เนื่องภิรมย์ ซึ่งโด่งดังในสมัยนั้น แต่อาจเนื่องจากพิษสุรา ที่แกกระดกก่อนไปแจ้งเกิดนี่เอง เลยทำให้ชื่อฉันต้องกลายเป็น สุพัฒตรา แถมมี ฒ พ่วงมาให้ผิดแปลกจากชื่อในพจนานุกรมที่เขียนไว้ว่า สุพัตรา และนี่คือความพิเศษอย่างแรกในตัวฉันที่ได้มา เพราะพอฉันโตขึ้น ฉันก็อยากจะเปลี่ยนชื่อให้เขียนให้ถูกต้อง แต่ก็โดนหมอดูผู้วิเศษทักว่า ห้ามเปลี่ยนชื่อ ชื่อเจ้าเป็นสิ่งที่เค้ากำหนดมาแล้ว ฉันก็ งงๆ นะคะ ว่าเค้าใหน แต่ทุกวันนี้ฉันก็ภูมิใจและพอใจกับชื่อนี้แล้ว แม้คนอื่นจะเขียนผิดเป็นประจำก็เหอะ :)
กลับมาที่ครอบครัวของฉัน ครอบครัวของเราก็ไม่ต่างจากคนอื่นในละแวกนั้นคือทำอาชีพเป็นชาวสวนซึ่งเลือกที่จะทำสวนยาง และบ้านที่อาศัยก็อยู่ในพื้นที่เดียวกัน ซึ่งห่างจากถนนลูกรังที่ให้รถวิ่งผ่านเสียอีก นั่นหมายความว่าเราจะต้องใช้วิธีเดินไปทุกที่ไม่ว่า โรงเรียน วัด หรือตลาด ในรอบหนึ่งเดือนก็จะมีรถบรรทุกเข้ามารับผลผลิตซึ่งก็คือยางแผ่นไปขายในตัวเมือง และแน่นอนว่าเราสามารถไปด้วยได้และเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของพวกเราเพราะได้จับจ่ายซื้อของ และไปกินข้าวหมูแดงเจ้าประจำ ซึ่ง ณ ตอนนั้นฉันคิดว่า มันอร่อยที่สุดในโลกหล้านี้แล้ว และทุกครั้งฉันจะได้ของเล่นซึ่งส่วนใหญ่เป็นตุ๊กตายางเจ้าหญิง สวมชุดแตกต่างกันไป ส่วนพี่ชายฉันนั้นก็ไม่พ้นเรื่องรถของเล่น รถจักรยาน เพราะเค้าชื่นชอบมาก แม่ของฉันนั้นติดละครเป็นอย่างมาก และแกจะขาดโทรทัศน์ไม่ได้ ซึ่งสมัยนั้นก็เป็นโทรทัศน์ขาวดำและเนื่องจากที่บ้านไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึง เราจึงจำเป็นต้องใช้แบตเตอรี่สำรองสำหรับโทรทัศน์นี้และแน่นอน ทุกๆเดือน แม่ต้องชาร์จแบตเตอรี่ทุกครั้งที่เราเข้าเมืองกัน และชีวิตก็หมุนเวียนแบบนั้นไป จากช่วงแรกที่รู้สึกเหมือนเจ้าหญิงก็เริ่มลดเพราะต้องช่วยพ่อแม่ดูแลน้องชายอีกสองคนที่เกิดหลังจากฉันไปคนละสี่ปี
พอฉันอายุได้สิบขวบ พ่อกับแม่ฉันก็อยากย้ายบ้านไปอยู่หน้าถนนลูกรังที่ติดกับบ้านของยาย เพื่อความสะดวกในการใช้ไฟฟ้าและถนนและการไปโรงเรียนของฉันและพี่น้อง ฉันมีเพื่อนสนิทก็คือพี่น้องผู้ชายของฉัน และทีวีของแม่เป็นความบันเทิงประจำวันของฉัน พวกเรายังคงมีอาชีพทำสวนยางเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือค่าใช้จ่ายที่มากขึ้น และด้วยปัญหาการตัดถนนเข้าไปสวนซึ่งต้องผ่านสวนคนอื่น พ่อเลยตัดสินใจขายสวนยางนั้นไป และความลำบากก็มีแก่พวกเรามากขึ้น พ่อและแม่ต้องผันตัวมาค้าขาย พ่อเป็นพ่อค้าคนกลางไปตระเวนรับซื้อเศษยางตามหมู่บ้านโดยใช้รถยนต์ของเพื่อน และนำไปขายร้านยางใหญ่เพื่อกำไรส่วนต่างและแบ่งกำไรกับเจ้าของรถ ทำเช่นนี้ทุกวันตั้งแต่เช้ายันเย็น ส่วนแม่และฉันก็ผันตัวเป็นแม่ค้าขายของชำ และขนมจิปาถะ ยิ่งพวกเราโตขึ้นเรื่อยๆ ค่าใช้จ่ายก็ยิ่งเพิ่มเรื่อยๆเช่นกัน โดยเฉพาะค่าเล่าเรียน ความทรงจำที่ติดตาฉันอยู่จนถึงทุกวันนี้คือ วันที่เราไม่สามารถซื้อรองเท้านักเรียนให้น้องชายคนโตใส่ไปโรงเรียนวันแรก มันหดหู่มาก
แต่ในทางกลับกัน ตัวฉันเองก็เติบโตมาแบบได้มีทุกอย่าง ถึงแม้จะน้อยกว่าคนอื่น ชีวิตของฉันแต่ละวันนอกจากดูแลน้อง และช่วยงานค้าขายที่บ้านแล้ว ฉันก็จะชอบเรียนหนังสือเป็นอย่างมาก ฉันใช้ชีวิตส่วนใหญ่กับการอ่านหนังสือ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือเรียน หนังสือการ์ตูน นิยาย หนังสือพิมพ์ หรือแม้แต่หนังสือโป๊ ที่พวกน้าๆ ชอบมาทิ้งที่บ้าน ซึ่งในตอนนั้นก็ไม่ได้เข้าใจอะไรมากนัก และไม่นานแม่ก็เอาไปเผาทิ้งจนหมด ในโรงเรียนฉันก็จะหมกตัวอยู่ในห้องสมุดเสมอ การเรียนของฉันก็ไม่ได้ดีมากและด้วยฉันเป็นคนขยันและชอบทำกิจกรรมของโรงเรียนเลยมักจะเป็นที่โปรดปรานของครูบาอาจารย์เสมอ
ชีวิตชนบทของฉันก็เติบโตมาในกรอบของแม่ และการเรียน และโลกจินตนาการพร้อมกับในทีวี ที่นำเสนอทุกวัน ฉันไม่เคยรู้เลยว่าโลกภายนอกเป็นเช่นไร หรือเพื่อนรุ่นเดียวกันที่อื่นเค้าทำอะไรกันบ้าง ฉันมีเพื่อนน้อยมาก ครั้งนึงฉันอยากไปงานวันเกิดเพื่อน แม่ก็ตั้งกฎให้ฉันไปได้โดยจะต้องพ่วงหนึ่งในสามหนุ่มพี่น้องของฉันไปด้วย ซึ่งสร้างความลำบากให้แก่พี่น้องฉันอย่างมาก เพราะพวกเค้าไม่ได้อยากไปด้วย เพื่อนๆของฉันก็ชอบมีแฟน ซึ่งฉันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องรีบมีกัน บางคนถึงขั้นต้องออกจากโรงเรียนและไปแต่งงานเมื่ออายุยังน้อย ในตอนนั้นฉันไม่เข้าใจมากนักว่าความรักมันมีไว้เพื่ออะไร แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เมื่อฉันบังเอิญสอบเอนทรานซ์ เข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังที่จังหวัดภูเก็ตได้ ซึ่งนั่นหมายถึงว่า ได้เวลาที่ฉันจะออกไปเผชิญโลกแล้ว ฉันรู้สึกได้ถึงปีกที่พัดกระพือๆในตัวฉัน สำหรับฉันนี่คือก้าวใหญ่หลวงมาก สำหรับพ่อแม่และพี่ชายฉัน นี่คือภาระอันใหญ่หลวงที่จะต้องส่งเสียฉันเรียนเข้าระดับปริญญา ฉันมีคำถามมากมายในช่วงนั้นว่า ฉันจะรอดมั้ย ฉันจะอยู่ข้างนอกยังงัย ฉันต้องเจอกับอะไรบ้าง และการยืนยันการไปเรียนของฉัน ก็เปลี่ยนแปลงชีวิตทุกอย่างตั้งแต่บัดนั้น ฉันจะใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยยังงัย ฉันจะต้องผ่านด่านอะไรบ้าง เพื่อน ความรัก มิตรภาพจะเป็นอย่างไร