อยากขายของตลาดนัด จะขายอะไรดี

ในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันที่ค่าครองชีพทุกอย่างถีบตัวสูงขึ้น จนทำให้รายรับแทบพอดีกับรายจ่ายหรือบางคนอาจจะไม่พอกับรายจ่ายด้วยซ้ำ หลายๆคนจึงต้องหารายได้เสริมเพื่อช่วยให้มีรายรับเพียงพอต่อการใช้ชีวิตในแต่ละวัน การหารายได้เสริมของคนส่วนใหญ่ก็มักจะมีทางเลือก 2 ทาง คือไปเป็นลูกจ้าง หรือไปเป็นเจ้าของกิจการ อาจจะสงสัยว่ารายได้ก็แทบจะไม่พอแล้วจะเอาเงินที่ไหนไปลงทุนทำกิจการ กิจการที่หมายถึงในที่นี้คือ กิจการที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนเยอะ เช่น การขายของตามตลาดนัด ในบทความนี้จะบอกถึงขั้นตอนการเตรียมตัวถ้าคุณต้องการที่จะเริ่มขายของในตลาดนัด

สำรวจตลาดและกลุ่มลูกค้า:

ใช้เวลาว่างไปเดินตลาดนัดที่คุณสนใจจะไปขายของ เพื่อดูสภาพโดยรวมของตลาด เพราะแต่ละตลาดก็มีช่วงเวลาพีคของตัวเอง หรือบางที่อาจเป็นตลาดเฉพาะ เช่น ตลาดเช้าที่ขายเฉพาะตอนเช้า, ตลาดเย็นที่ขายเฉพาะตอนเย็น, ตลาดต้นไม้, ตลาดสัตว์เลี้ยง, ตลาดของแฮนด์เมด, ตลาดของมือสอง, หรือเป็นตลาดที่เปิดเป็นบางวัน เป็นต้น นอกจากนี้ต้องสำรวจด้วยว่าลูกค้าที่มาเดินตลาดนัดที่คุณสนใจจะไปขายของนั้น เป็นลูกค้ากลุ่มไหน และมีพฤติกรรมการจับจ่ายซื้อของอย่างไร เช่น กลุ่มแม่บ้าน, คนทำงานบริษัท, คนทำงานโรงงาน, นักเรียน, นักศึกษามหาวิทยาลัย ซึ่งแต่ละกลุ่มก็มีพฤติกรรมการจับจ่ายที่แตกต่างกัน ข้อมูลส่วนนี้จะช่วยให้คุณหาสินค้ามาขายได้ตรงกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย

ทำเลที่ตั้ง:

ที่ตั้งของตลาดเป็นอีกอย่างที่ควรคำนึงถึง ต้องดูว่าตลาดตั้งอยู่ในพื้นที่ที่สามารถเดินทางได้สะดวกหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางมาโดยรถโดยสารประจำทางหรือรถส่วนตัว และถ้าใช้รถส่วนตัวก็ต้องมองถึงเรื่องที่จอดรถด้วยว่าพื้นที่จอดรถมีเพียงพอหรือไม่ ถ้าตลาดที่คุณสนใจเป็นตลาดกลางแจ้งคุณต้องคิดเผื่อในเรื่องของสภาพอากาศเอาไว้ด้วย เพราะถ้าแดดแรง อากาศร้อนจัด หรือ ฝนตก จำนวนลูกค้าที่มาเดินจับจ่ายในตลาดก็จะน้อยลง ซึ่งทั้งหมดที่เขียนมานี้ มีผลต่อยอดขายของร้านคุณ

การเลือกสินค้า:

เมื่อมีข้อมูลพฤติกรรมการจับจ่ายของกลุ่มลูกค้าแล้ว คุณต้องหาสินค้าที่ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและถ้าเป็นสิ่งที่คุณชอบและถนัดด้วยก็ยิ่งดี เช่น ถ้าคุณชอบดื่มกาแฟ ก็เปิดร้านขายกาแฟในตลาดนัดที่ส่วนใหญ่ลูกค้าเป็นพนักงานออฟฟิศหรือนักศึกษามหาวิทยาลัย ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้เป็นลูกค้าหลักของร้านกาแฟ การทำในสิ่งที่คุณรักจะช่วยทำให้คุณอยู่กับมันได้นานและมีความสุข แต่ถ้าคุณคิดไม่ออก หรือคุณไม่ถนัดอะไรเลย การเปิดร้านซื้อมาขายไปก็อาจจะเป็นทางเลือกนึง โดยช่วงเริ่มตันคุณอาจจะแบ่งเงินทุนก้อนเล็กๆไปซื้อสินค้าที่คุณวิเคราะห์มาแล้วว่าเหมาะกับตลาดมาลองวางขายดูก่อน ถ้าขายได้ค่อยไปซื้อมาเพิ่ม ถ้าขายไม่ได้ก็ลองเปลี่ยนการนำเสนอ จัดโปรโมชั่น หรือ อาจปรับเปลี่ยนสินค้า จนกว่าจะได้ยอดขายที่คุณพอใจ

สำรวจคู่แข่ง:

เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าจะขายอะไร ก็ต้องกลับไปเดินสำรวจตลาดอีกรอบว่ามีร้านที่ขายของเหมือนกับคุณกี่ร้าน ควรเข้าไปดูหลายๆรอบในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน เพราะการดูรอบเดียวอาจจะทำให้คุณตัดสินใจผิดพลาดได้ ถ้าในตลาดมีคู่แข่งเยอะคุณก็อาจจะต้องเลือกระหว่างเปลี่ยนเป็นขายสินค้าที่มีคู่แข่งน้อยกว่า หรือ ยืนยันที่จะขายสินค้าเดิมที่เลือกไว้แล้ว ถ้าเป็นทางเลือกหลัง คุณก็ต้องมีการวางกลยุทธ์ที่ดีในการสร้างจุดขาย เพื่อดึงดูดลูกค้าให้สนใจร้านคุณ เพราะร้านที่ขายมาก่อนมักมีลูกค้าขาประจำที่ซื้อขายกันอยู่แล้ว

การตั้งราคา:

ต้องนำค่าใช้จ่ายทุกอย่างมาคำนวณด้วย อย่าคิดเฉพาะราคาต้นทุนสินค้าที่รวมค่าส่งแล้วอย่างเดียว เพราะการไปขายของของคุณมีต้นทุนแอบแฝงอย่างอื่นด้วย เช่น ค่าเช่าที่ ค่าอุปกรณ์ทุกอย่างที่ใช้ในการตั้งร้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการเดินทางของคุณเอง ถ้าคุณไม่ได้ไปขายเองก็ต้องคิดค่าจ้างพนักงานเพิ่มเข้าไปด้วย และเมื่อตั้งราคาได้แล้วคุณต้องเอาราคาขายของคุณไปเปรียบเทียบกับราคาขายของสินค้าแบบเดียวกันนี้ของร้านอื่นในตลาด เพื่อให้เป็นราคาที่มีโอกาสแข่งขันได้ ข้อสำคัญ อย่าลืมตั้งราคาเผื่อลูกค้ามาต่อรองขอส่วนลดราคาสินค้า ข้อควรระวัง ถ้าคุณขายของกิน แล้วขายได้ไม่หมด ของอาจจะบูดเสียได้ ทำให้ต้นทุนของคุณเพิ่มขึ้น ถ้าคุณขายสินค้าแฟชั่น คุณต้องคอยตามเทรนด์ให้ทัน เพราะเทรนด์เปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วมาก สินค้าของคุณอาจจะค้างสต็อกทำให้ทุนจมได้

เริ่มต้นการขาย:

ขั้นตอนแรกคือการเข้าไปจองที่เพื่อตั้งร้าน คุณต้องรู้วันและเวลาที่ตลาดนั้นๆเปิดให้จอง อาจจะถามจากพ่อค้าแม่ค้าในตลาดก็ได้ บางตลาดก็มีติดประกาศไว้ให้เห็นเลย ซึ่งที่ตั้งร้านบางตลาดก็จะให้ดูจากในกระดาษอาจจะมีคลาดเคลื่อนจากที่จริงบ้างต้องดูให้ดี แต่บางตลาดก็ให้เดินดูที่ว่างเองแล้วไปแจ้งผู้จัดการตลาด การดูที่ว่างเองมีข้อดีคือทำให้เราเห็นว่าร้านข้างๆขายสินค้าอะไร หน้าตาคนขายเป็นมิตรมั๊ย เพราะร้านข้างๆก็เปรียบเหมือนคนข้างบ้าน อาจจะต้องขอความช่วยเหลือกันบ้าง เช่น ขอให้ช่วยเฝ้าร้านตอนที่คุณไปห้องน้ำ เมื่อได้ที่ตั้งร้านแล้วก็ให้ดูเงื่อนไขของตลาดด้วย เช่น ต้องมาจัดร้านกี่โมง ห้ามตั้งร้านสูงเกินกี่เมตร เป็นต้น

การทำบัญชี:

การทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายของร้านเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำอย่างยิ่ง เพราะถ้าคุณไม่ทำบัญชีแล้วเอารายรับที่ได้ไปใช้จ่ายเรื่องอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับร้าน ทำให้เงินปนกันไปหมดทั้งเงินจากการขายสินค้าและเงินส่วนตัวอาจจะทำให้เกิดปัญหาเรื่องเงินทุนหมุนเวียนภายในร้านได้

การปรับตัว:

พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ เพราะการขายของในตลาดนัดมีหลายปัจจัยที่คุณไม่สามารถควบคุมได้ เช่น วัฎจักรสินค้า สินค้าทุกตัวมีวัฎจักรขึ้นลง แม้แต่สินค้าที่เป็นของกิน บางครั้งก็เป็นของกินที่นิยมกันตามกระแส เมื่อกระแสตกยอดขายก็ตกตามไปด้วย หรือ การมีร้านค้าคู่แข่งใหม่ๆเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาด หรือ การที่ตลาดมีการปรับเปลี่ยนผังตลาดทำให้ตำแหน่งที่ตั้งของร้านคุณอาจจะไม่ได้สะดุดตา หรือแม้แต่การที่ตลาดเก็บค่าเช่าพื้นที่เพิ่มขึ้น ที่เขียนมาเป็นบางส่วนที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้กับร้านค้าของคุณ คุณต้องหมั่นติดตามข่าวสารอยู่เสมอเพื่อจะได้ปรับตัวให้ทัน

การขายของในตลาดนัดเริ่มได้ไม่ยาก แต่การที่จะทำให้ร้านค้าประสบความสำเร็จได้ นอกจากสิ่งที่เขียนมาข้างบนแล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่างก็คือตัวคุณ ถามตัวเองว่าคุณพร้อมที่จะลุยแค่ไหน เพราะการขายของในตลาดนัดนั้นเหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ คุณต้องใช้ความทุ่มเทและอดทนอย่างมาก ทุกอย่างต้องใช้เวลาในการสร้าง ถ้าคุณไม่ล้มเลิกไปก่อน คุณก็จะได้พบกับความสำเร็จ