เรื่องสั้น: ฝัน /ฉ่ำ /รัก
นาฬิการูปตัวการ์ตูนที่แขวนอยู่ข้างห้องบอกเวลาเพิ่ง 2 ทุ่มกว่าๆ เท่านั้น ผมย้ายสายตากลับมาที่นอกหน้าต่างอีกครั้ง ซึ่งเวลานี้เม็ดฝนกำลังเหยียบย้ำพื้นดินเป็นจังหวะแผ่วเบาคล้ายดนตรีเต้นรำที่เชื่องช้าทว่านุ่มนวล ผมชักอยากเต้นรำจังหวะสายฝนดูสักครั้งหากแต่ไม่กังวลงานที่กองอยู่เต็มโต๊ะตรงหน้า
มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ที่ตัวผมเองตะเกียดตะกายเร่งให้ตัวเองจบเร็วๆ และใช้ชีวิตของคนทำงานเร็วกว่าคนอื่น ถ้าเปรียบเทียบกันแล้วในเวลานี้เพื่อนๆรุ่นผมคงอยู่แค่ปี 3 ในขณะที่ผมทำงานมัณฑนากรได้เกือบ 2 ปีแล้ว ความจริงผมเรียนรู้ชีวิตที่ต้องดิ้นรนมาตั้งแต่เรียน ม.ต้นแล้วและเริ่มชินขึ้นเรื่อยๆ เป็นความจำเป็นของทางบ้านที่ส่งผมเรียนอย่างที่ผมตั้งใจไม่ได้
ผมจึงต้องแสวงหาสิ่งที่ต้องการด้วยตัวเอง เวลาส่วนใหญ่ของผมจึงมีแค่เรื่องเรียนและงาน ต้องรู้จักที่จะปรับตัวเองเข้ากับสังคมที่หาความจริงใจยากขึ้นทุกวัน ต้องคอยหลบเหลี่ยมคนที่จะมาเอาเปรียบ ผมไม่เคยคิดเอาเปรียบใครแต่ก็ไม่ต้องการให้ใครมาเอาเปรียบด้วย และนี้ก็คือข้อแตกต่างอย่างสิ้นเชิงเวลาที่อยู่กับเพื่อนๆของผม ที่มักจะมองว่าผมเป็น “คนแก่” แก่คิดนะ
ผมรอบคอบเสมอและเรื่องเวลาจะไม่ให้เสียอย่างสูญเปล่ามนขณะที่ผมทำงานอย่างหนักเพื่อแลกกับเงินค่าลงทะเบียนเรียนต่อ แต่เพื่อนๆของผมส่วนใหญ่กลับเที่ยวเล่นอย่างสนุกสนาน มีเวลามากพอกับการดูหนังเดินเที่ยวห้างติดแอร์เย็นช่ำ และจีบสาวๆไปทั่ว บ่อยครั้งที่คิดอิจฉาเพื่อนตัวเอง น้อยใจ แต่ก็ภูมิใจกับสิ่งที่ได้มาในปัจจุบันที่เป็นอยู่ ผมมีเงินพอส่งน้องๆ อีก 2 คน ที่กำลังเรียน ม.ต้น มีเงินให้พ่อกับแม่ใช้และมีใช้ส่วนตัวถึงเวลานี้ผมจะไม่ได้อยู่กับพวกท่าน ผมเช่าห้องอยู่ใกล้ๆที่ทำงานและบ่อยครั้งที่เอางานกลับมาทำที่ห้องซึ่งผมเรียกว่า “บ้าน” เหมือนกันอย่างน้อยมันก็อบอุ่นเวลาที่ผมไม่มีใครและไม่มีที่ไปในช่วงความรู้สึกหนึ่งที่เดียวดาย
ผมขยับตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินชงกาแฟมานั่งจิบที่เดิมอีกครั้ง ผมตั้งใจหยิบเอกสารชุดหนึ่งขึ้นมาแต่สายตาก็เหลือบไปเห็นซองจดหมายที่ถูกทับไว้ด้วยหนังสือเล่มหนา ยังไม่ได้มีการแกะอ่าน...โอ้ว...ผมนี้แย่ขนาดลืมอ่านจดหมายซองสีฟ้าสดใสอย่างนี้ได้ยังไงกัน ผมรีบคว้ากรรไกรที่อยู่ใกล้ตัวมาขริบที่ซองอย่างถนุถนอม ถึงไม่ต้องอ่านดูข้างในผมก็รู้ว่าของใคร ผมจำลายมือของเจ้าของจดหมายฉบับนี้ได้ดีพอๆกับภาพของเจ้าของจดหมายฉบับนี้ที่เด่นชัดไม่เคยจืดจางในหัวใจ ก็เธอนะคือแรงของหัวใจผมที่ทำให้ก้าวเดินไปทุกๆก้าวอย่างมั่นคง เธอคือ “พราย” ที่น่ารักที่สุดของผมแม้ผมจะไม่เคยบอกเธอเลยสักครั้งกับเรื่องราวของหัวใจที่แอบซึมซับเอาตัวเธอเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
เธอเป็นคนเดียวที่ยังติดต่อทางจดหมายแบบนี้
ผมออกแปลกใจเล็กน้อยที่ครั้งนี้พรายเขียนจดหมายถึงผมไม่กี่บรรทัด แต่ผมก็พยายามเข้าใจในส่วนที่เป็นตัวเธอ ผมกับพรายรู้จักกันโดยบังเอิญตอนที่ผมไปสอบเทียบ ม.6 ในขณะที่คนอื่นๆกำลังดูหนังสือเพื่อเตรียมสอบแต่เธอกลับนั่งเล็มผมที่ดูเหมือนแตกปลายนั้นด้วยกรรไกรอันเล็กๆ ที่อยู่ในมีดพับ เราบังเอิญสบตากันครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะเสมองไปทางอื่น ผมจำแววตาที่เต็มไปด้วยความฝันของเธอได้มันโตกลมและดูวาววามเหลือเกิน แล้วเรื่องเหลือเชื่อก็เกิดอีกครั้ง ผมกับเธอสอบห้องเดียวกันอีก ผมจึงแอบดูชื่อจริงของเธอจากหมายเลขที่เธอนั่งสอบ ผมไม่คิดว่าจะได้เจอเธออีกหลังจากวันนั้น แต่เรากลับเจอกันอีกครั้งตอนที่ผมทำงานอยู่ที่ร้านหนังสือแห่งหนึ่งซึ่งผมหารายได้พิเศษช่วงวันเสาร์อาทิตย์ที่นี้และว่างก็หยิบหนังสือที่ต้องจัดบ่อยๆ มาอ่านบ้างเหมือนกัน “ชื่อพรายแพรวค่ะ”
ผมยังจำประโยคแรกที่เธอเอ่ยขึ้นได้ ผมสะดุ้งเล็กน้อยในครั้งนั้น เพราะขณะนั้นผมกำลังยุ่งอยู่กับการคิดเงินให้ลูกค้า แล้วบังเอิญที่พี่หัวหน้าส่งพนักงานคนใหม่มาช่วยผม ซึ่งไม่คิดว่าจะเป็นเธอ
“ให้เรียกชื่อ “โคม” หรือเรียกพี่โคม” เธอถามในเย็นวันนั้นที่เราช่วยกันเช็คหนังสือที่ร้านเขาเอามาส่ง
“แล้วแต่พรายเถอะ” ผมตอบแบบไม่มองหน้าพยายามทำตัวให้ดูเป็นรุ่นพี่ในนี้หน่อย ก็เผื่อเธอมีอะไรไม่เข้าใจจะปรึกษาผมได้
“งั้นเรียกโคมเฉยๆนะ เพราะยังไงโคมก็แก่กว่าแค่ปีเดียวเอง” เธอเอ่ยขึ้นผมแอบมองเห็นเธอยิ้มอย่างรู้ทัน
นับตั้งแต่นั้นผมเจอพรายบ่อยแต่ก็ยังเถียงใจตัวเองว่าเธอก็แค่คนผ่านมาให้รู้จักเท่านั้น แต่ผมก็รู้จักเรื่องของเธอมากมายเหลือเกิน พรายเองก็มีส่วนคล้ายๆที่ผมเป็นและเจออยู่ในเวลานั้น เพียงแต่เธอต้องการให้พ่อของเธอรู้ว่าเธอตั้งใจในสิ่งที่เธอและสามารถเลี้ยงตัวเองได้
พรายตั้งใจเรียนศิลป์ในขณะที่ทางบ้านต้องการให้เธอเรียนเกี่ยวกับบริหารธุรกิจจะได้ช่วยงานที่บ้าน เธอจึงออกจากบ้านมาอยู่กับเพื่อนสาวคนหนึ่งและทำงานพิเศษที่เดียวกับผม บ่อยครั้งที่เห็นเธอยืนดูหนังสือเกี่ยวกับศิลปะและดนตรีอยู่นาน
“โคมชอบสีอะไร” ผมออกจะงงๆในคำถามแต่ละครั้งของเธอ คิดอยากจะถามก็ถาม จะกระโดไปเรื่องอื่นก็พูดได้เรื่อยๆ
“สีเขียว”
“เขียวแบบไหน...เขียวอ่อนเขียวแก่...อะไรแบบนั้น” ผมนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบคำถามของสาวแววตาสวยใสเหมือนชื่อของเธอ
“เขียวอ่อน...แบบใบไม้ที่เพิ่งผลิใบ”
“โอ้โหแหะ...ไม่เบาแฮะ” เธอว่าแล้วดีดนิ้วดังเปาะก่อนที่จะกระโดดซ้อนมอเตอร์ไซด์เก่าๆของผมช่วงนั้นผมต้องพาเธอไปขึ้นรถเมล์ที่อู่รถ ก็มันอยู่ใกล้ที่พักของผม
“ถามทำไม”
“จะเพ้นท์เสื้อให้โคมสักตัวนะ” เธอตอบเสียงดังแข่งกับเสียงลมที่เร็วขึ้นตามแรงบิดคันเร่งของผม
“ของฟรีหรือเปล่า”
ผมถามเมื่อส่งเธอตามที่หมายเธอพยักหน้าก่อนโบกมือลา เล่นเอาคนแถวนั้นมองผมเป็นตาเดียวแล้วอีกสัปดาห์ถัดมาเสื้อยืดพื้นสีขาวสะอาดก็ถูกส่งมาทางพัสดุไปรษณีย์ พรายเพ้นท์รูปตะเกียงที่มีเปลวไฟสีเขียวอ่อนอย่างที่ผมชอบมาให้ เธอแนบจดหมายมาด้วย ผมจึงรู้ว่าเธอย้ายไปอยู่แพร่กับอาแท้ๆของเธอที่เข้าใจว่าเธอต้องการเรียนสิ่งใด เธอไม่ได้เพ้นท์เสื้อให้ผมคนเดียวหรอก แต่ยังรวมถึงพี่หัวหน้าและคนที่เธอนับเป็นเพื่อนด้วย แต่สำหรับผมแล้วถือเป็นมิตรภาพอย่างหนึ่งที่ต้องรักษาไว้
ผมตอบจดหมายของเธอตามที่อยู่ที่เธอเขียนไว้ที่มุมบนของจดหมาย แล้วเรื่องราวต่างระหว่างผมและพรายก็ติดตามมา ผมเริ่มรอจดหมายของเธอเมื่อหายไปนานๆและเป็นห่วงเธอเสมอ เธอเองก็ดูจะห่วงผมที่ชอบเก็บเอาคำพูดของคนอื่นมาคิดจนน้อยใจและเสียใจบ้างบางเวลา บางครั้งดอกไม้แห้งที่บรรจุในกล่องอย่างดีก็เดินทางมาถึงพร้อมกับถ้อยคำที่เป็นห่วงเป็นใย ผมไม่อยากเข้าข้างใจตัวเองว่าเธอมีผมเพียงคนเดียวที่เธอห่วงอย่างนี้ ก็ขนาดเสื้อเธอยังเพ้นท์แจกได้ แล้วถ้อยคำแห่งกำลังใจเธอคงมีให้ใครได้ไม่ยากนัก เธอมีอารมณ์อ่อนไหว ผมไม่รู้ว่าเธอมี “ใคร” ในหัวใจหรือยัง หรือมองผมเป็นเพื่อนคนหนึ่งเท่านั้น แต่ผมรู้เพียงว่าเธอยังเป็นคนที่ผมคิดถึงยามไม่มีใครและผมก็ยังไม่คิดจะมีใครเรื่อยมา ผมรอวันที่ผมกล้าแกร่งกว่านี้จะหอบเอาความรู้สึกที่มีมากองไว้ที่หัวใจเธอและบอกเธอว่าผมรู้สึกอย่างไรกับเธอ หรือผมต้องรอเลี้ยงดูความรู้สึกของหัวใจตัวเองให้แน่ใจก่อนที่จะไปถามเธอกับความรู้สึกแบบนี้ที่ผมตั้งใจจะมีให้ผู้หญิงคนเดียวในหัวใจที่พร้อมจะเข้าใจทุกๆเรื่องราวที่เป็นตัวผมและยอมรับในสิ่งที่เป็นอยู่ ผมก็จะยอมรับทุกสิ่งที่เป็นเธอ ผมไม่ชอบเปลี่ยนใครให้เป็นอย่างที่ผมชอบผมเพียงแต่อยากให้ปรับเข้าหากันมากกว่า
ผมซบหน้าลงกับโต๊ะเขียนแบบ หลับตานิ่งระบายลมหายใจช้าๆ บางทีการที่เราไม่เคยมีใครในหัวใจเลยก็คงยากตรงนี้แหละมั้ง...ตรงที่เราควรทำอย่างไร ดีถึงจะดี กลัวจะถูกหาว่าเรื่องมาก
เสียงเคาะประตู 3-4 ครั้งทำเอาผมสะดุ้งและรีบลุกขึ้นจะไปเปิดประตู แต่สายตาก็ยังมองไปที่นาฬิกาแขวนตัวการ์ตูนนั้นอีกครั้ง เกือบ 4 ทุ่มแล้วนะใครกัน
“สวัสดีโคม”
“พราย”
“ค่ะ”
ผมนิ่งอึ้งทันทีที่ประตูถูกเปิดออกก็ใครจะไปรู้ว่าคนที่กำลังคิดถึงมายืนอยู่ตรงหน้าในเวลานี้
“เข้าไปได้หรือเปล่า”
“อ่ะ...ขอโทษเชิญ” ผมรีบเบี่ยงตัวให้เธอเข้ามาในห้อง ตัวเธอเปียกโชกเส้นผมที่ยาวสยายก็เปียกปอน ผมรีบหาเสื้อให้เธอเปลี่ยนก่อนที่คำถามอื่นๆจะตามมาอีกมากมาย
“ขอโทษนะที่ต้องมายืมเสื้อโคมแถมทำบ้านโคมเลอะอีกด้วย พอดีพรายเดินเล่นน้ำฝนนานไปหน่อยน่ะ”
“เดินตากฝนเล่น เดี๋ยวก็ได้ไปนอนโรงพยาบาลเล่นบ้างหรอก” ผมว่าพลางเช็ดเส้นผมที่ชุ่มน้ำของพรายเบาๆดูเหมือนเสื้อผ้าของผมจะใหญ่กว่าตัวเธอเยอะเลย แน่ะ...ดูซิ ผมเพิ่งว่าไปน่ะเมื่อกี้ยังจะมาหัวเราะอยู่ได้ มันน่าเอามากอดเล่นให้หายดื้อเสียจริงแม่ติสก์สาวคนนี้
“โคมงานยุ่งอยู่หรือเปล่า” เธอถามพลางรับถ้วยกาแฟจากมือผม
“เรื่อยๆน่ะ พรายล่ะมายังไง ทำไมจู่ๆมาตกใจหมดเลย”
“โอ๋...ขวัญอ่อนจริงนะ นี่พรายแพรวค่ะไม่ใช่พรายที่เป็นผีนะ” เธอชี้นิ้วที่ตัวเองแสดงท่าประกอบจนดูน่าหมั่นไส้แต่ก็น่ารักไปอีกแบบ แบบที่เป็นพรายที่ผมรู้จัก
“ถามจริงๆมีเรื่องอะไรหรือเปล่า” ผมถามเสียงจริงจัง และเธอคงรู้ด้วยสายตามราตอบกลับมา
“ถ้าบอกจะเชื่อไหม” เธอถามกลับเบาๆ ก้มหน้านิ่งผมลงไปคุกเข่าข้างหน้าเธอ หากเธอมีน้ำตา ขอให้ผมเป็นคนซับมันออกจากใบหน้าสวยใสของเธอ พรายเอียงหน้ามาทางผม ริมฝีปากของเธออยู่ริมหูของผม รู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆที่กระทบกับผิวของผม
“พรายคิดถึงโคมเหลือเกิน”
เพียงประโยคสั้นๆที่เธอกระซิบบอกผมก็เหมือนอยู่ในฝันที่แสนหวาน ผมสบตากับพรายที่ไม่มีท่าทีเขินอายเหมือนหญิงสาวทั่วไป หากแต่แววตาของเธอบอกว่าเธอไม่ได้โกหก สายตาของเธอมันกำลังบอกผมว่าเธอ “เหงาเหลือเกิน” ในเวลานี้ แล้วผมควรทำอย่างไรในเวลานี้ดีน่ะ
“พรายมาหาโคมเพื่อบอกประโยคนี้กับโคมเหรอ
“ไม่รู้สิ” เธอตอบเบาๆพลางเสยเส้นผมที่ลงมาเคลียแก้มสวยของเธอ
“พรายแค่...นึงถึงโคม ไม่รู้ซิ...เวลาพรายนึกอะไรไม่ออกจะคิดถึงโคมเสมอ ก็อย่างน้อยพรายมีโคมที่เข้าใจความรู้สึกของพรายดี ถึงรอบๆตัวพรายจะมีคนอยู่มากมายแต่ก็ไม่มีใครเข้าใจพรายและห่วงใยพราย อย่างที่โคมเป็นอยู่ พราย...พรายอยากเจอโคมเหลือเกิน”
น้ำตาหยดใสๆ รินไหลจากดวงตาช่างฝันของพราย ผมโน้มตัวกอดพรายเบาๆ ให้เธอได้ยินเสียงหัวใจของผม ที่มันยังคงร่ำร้องชื่อของผู้หญิงดวงตาที่เต็มไปดวงความฝันมากมาย ผมได้ยินเสียงสะอื้นจากเธอ ใครนะ บังอาจทำดอกไม้ของผมเสียใจ เรื่องอะไรที่ทำให้เธออ่อนแอขนาดนี้คำถามมากมายผุดขึ้นในสมองของผม แต่ไม่อาจเอ่ยถามออกมาได้ เพียงเพราะคนที่อยู่ในอ้อมกอดไม่พร้อมที่จะโดนรุมล้อมด้วยคำถามซึ่งอาจเป็นปัญหาที่เธอไม่อยากคิดจะเจอมันในเวลานี้ ผมได้แต่ลูบเส้นผมของเธอแผ่วเบาคล้ายปลุกปลอบปล่อยให้เธอสะอื้นอยู่กับอกของผมจนรู้สึกถึงความชื้นจากหยดน้ำตาของพราย ถ้าเป็นไปได้ผมอยากแบ่งหยดน้ำตาและความเจ็บช้ำมาที่ตัวผม อย่างน้อยให้เธอปวดเจ็บน้อยที่สุด
“โคมคงไม่ว่านะที่มีผู้หญิงมาหาตอนกลางคืนแล้วก็มาร้องไห้อยู่อย่างนี้” เธอเอ่ยขึ้นแล้วดันตัวเองออกมาจากอกของผม รู้สึกเสียดายลึกๆ เสียดายที่เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน
“ไม่หรอก...คนอื่นจะว่ายังไงโคมไม่เคยสนใจ ที่โคมสนใจคือตัวพรายและทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นพรายเพราะโคมไม่ได้อยู่ใกล้ๆพรายและรับรู้เรื่องราวว่าพรายเป็นยังไง นอกจากที่พรายเขียนมาเล่าทางจดหมายเท่านั้น แต่โคมก็อยากให้พรายรู้ว่าถึงยังไงพรายจะยังมีโคมเสมอทุกเวลาที่พรายต้องการ”
ผมเห็นพรายยิ้ม เธอยิ้มทั้งน้ำตา ผมจะเช็ดหยดน้ำที่ใบหน้าของเธอก็เช็ดมันออกเสียเอง
“พรายจะไม่ขี้แยอีกแล้วล่ะ พรายจะเช็ดน้ำตาด้วยตัวพรายเอง พรายดีใจที่รู้ว่าโคมยังเข้าใจพรายเสมอ”
ผมเอื้อมมือไปขยี้เส้นผมของพรายเล่น เธอพยายามปัดมือของผมออกจนผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเล่นสนุกอยู่กับเด็กน้อยขี้แย ผมรวบมือแสนซนของติสก์สาวไว้แล้วช้อนปลายคางขึ้นแผ่วเบา จ้องมองดวงตาที่เวลานี้ไร้หยดน้ำตาอีกต่อไป
“พราย...โคม...เอ่อ...”
ทุกคำพูดดูจะไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป เมื่อเธอยื่นหน้ามาแล้วจูบปากผมเบาๆ กลายเป็นผมที่ทำอะไรไม่ถูก ปล่อยให้เรียวลิ้นของเธอแทรกเข้าไปในปากของผม ลิ้นของเราแตะกัน มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน มือบางทาบที่แผงอกเพราะการทำงานหนักและเป็นงานออกแรงทำให้ผมทีแผงอกอย่างกับคนออกกำลังกาย การรุกของพรายทำให้ผมต้องใช้ผนังห้องที่ที่พึ่ง มือนั้นเลื่อนลงมาที่ขอบกางเกงทั้งที่ลิ้นเรายังไม่ห่างจากกัน
มือนุ่มนิ่มของเธอทำให้น้องชายของผมแข็งขึ้นมา เธอถอนจูบแล้วจ้องตาผมนิ่ง แววตาเธอเหมือนมีเปลวเพลิงเต้นระริก แล้วเธอก็ค่อยๆนั่งลง มือหนึ่งเปิดเสื้อผมขึ้น ลมหายใจเธออยู่ตรงหน้าท้อง เธอแหย่ลิ้นเข้าไปไล้เลียสะดื้อของผม
ผมได้แต่ครางออกมา จับศีรษะของเธอ รวบผมยาวของเธอขยุ้มไว้บนศีรษะเพราะจะได้มองเห็นใบหน้าเธอชัด นาทีต่อมา เธอปลดกางเกงของผมลงไปกองกับข้อเท้า มือนุ่มขยับท่อนเนื้อทั้งกางเกงชั้นใน มันแข็งจนแทบจะเป็นท่อนไม้ แล้วเธอก็กัดมันเบาๆ คงเพราะมีผ้าขวางอยู่ ฟันของเธอถึงไม่โดนท่อนเนื้อของผม แต่มันกลับเสียวจนผมอยากจะควักมันออกมาสูดอากาศข้างนอก
พรายคงรู้ความต้องการของผม เธอรูดกางเกงในของผมลง ท่อนเอ็นมันก็เด้งออกมา ลิ้นของเธอไล้เลียส่วนปลาย แค่แตะเบาๆ ผมก็แทบจะสำลักความสุขตายอยู่แล้ว ยิ่งเธอละเลงลิ้นไปรอบๆหัว แล้วดูดมันเข้าไปในปาก ผมเห็นแก้มเธอตอบไปทันทีมันมาพร้อมความเสียวกระสันอย่างที่สุด
“อาห์”
“ชอบไหม?”
“ฮืม”
“ยังไงล่ะ”
“โธ่! พราย! เสียวน้ำจะแตก!”
ผมเสียวจนพูดหยาบคายกับเธอ ทั้งที่ปกติเราไม่เคยพูดกันแบบนี้ เธอหัวเราะเบาๆ ดูดแรง แถมมือยังนวดคลึงก้อนกลมๆของผมอีก
“อูยยย ซีดดดดดด”
“แตกก็ได้ เดี๋ยวพรายทำความสะอาดให้เอง”
เหมือนถูกแกล้ง ทั้งเลีย ทั้งดู ทั้งลูบไข่ ผมแทบคลั่ง จับศีรษะเธอแล้วสาวท่อนเอ็น ชักใส่ปากของเธอ จนน้ำขุ่นขาวหลั่งออกมา เรียวลิ้นของเธอก็ตวัดเลียดูดกลืนจนเสียวปลายหัวมาก จนผมต้องครางบรรเทาความเสียวซ่านและความสุขที่ล้นเป็นคราบขาวเลอะริมฝีปก
พรายเงยหน้ามองแล้วตวัดลิ้นเลียริมฝีปากตัวเองก่อนจะยิ้มออกมา
เสียงโทรศัพท์มือถือทำให้ผมสะดุ้ง เอี้ยวตัวไปหยิบเพราะรำคาญเสียงของมันที่กรีดร้องอยู่นาน
“ฮัลโหล โคมพูดครับ”
“เฮ้ย!...ไอ้โคมเหรอทำไมยังไม่มาที่ทำงานอีกวะ จะ 9 โมงเช้าแล้วนะมึง มีประชุมตอน 9 โมงครึ่งนะโว้ย ป่านนี้ยังไม่ได้ออกจากบ้านอีกเหรอว่ะ”
“อะไรกันกี่โมงแล้วนะ”
“นาฬิกาบ้านมึงตายเรอะ”
ผมงงๆขยี้ตาหลายครั้งก่อนดูเวลาที่เจ้านาฬิกาแขวนรูปตัวการ์ตูน 9 โมงเช้าแล้วจริงๆเหรอนี่
“เฮ้ย!..รีบมาเร็วๆนะโว้ย”
“เออๆรู้แล้ว”
ผมรีบวางหูโทรศัพท์ เร่งเท้าเดินกลับไปที่ห้องที่พรายอยู่ แต่ทุกอย่างว่างเปล่าไม่มีร่องรอยของการมาเยือนของคนที่หัวใจเรียกหา ไม่มีถ้วยกาแฟที่ชงให้เธอ ไม่มีเสื้อผ้าที่เปียกน้ำฝนอยู่ที่มุมห้อง ผมรูดผ้าม่านสีเขียวอ่อนที่ขยับพลิ้วไหวตามแรงลม แสงแดดอ่อนๆสาดเข้ามาในห้องให้สว่างสดใส ผมเสยเส้นผมของตัวเองก่อนที่จะหัวเราะเสียงดัง
“ละเมอฝันไปเหรอนี่”
ผมรำพึงกับตัวเองที่รู้ว่าเรื่องราวทั้งหมดแค่เพ้อไป ผมรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเก็บของสำคัญที่จะไปใช้งานประชุมอย่างรวดเร็วและรีบออกจากห้อง ผมยังนึกขำตัวเองไม่หายเสียทีกับความฝันเมื่อคืน เฮ้อ...ป่านนี้พรายกำลังทำอะไรอยู่นะ ผมตั้งคำถามในใจขณะกำลังเดินลงจากบันไดแต่ไหล่ของผมก็ชนกับคนที่กำลังเดินขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ จนคนๆนั้นเซล้มลง
“ขอโทษครับผมกำลังรีบ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” ผมคุ้นเสียงของเธอเหลือเกินจนอดไม่ได้ที่จะมองหน้าเจ้าของเสียงนี้
“พราย!?!”
“กำลังจะไปหาเลย ยุ่งหรือเปล่า”
ผมมองเธอนิ่ง ชั่งใจระหว่างไปทำงานหรือไปทำตามฝัน(เปียก)ที่ค้างไว้เมื่อคืน!!!
..........................
รูปประกอบถูกลิขสิทธิ์จากเวบ pixabay
อ่านจบถูกใจอย่าลืมกด5ดาวให้ด้วยนะคะ
ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
รูปประกอบถูกลิขสิทธิ์จากเวบ pixabay