หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

เรื่องสั้นจบในตอน : รองเท้าสีแดง

เนื้อหาโดย หนามดอกงิ้ว

เรื่อง      รองเท้าสีแดง

 

            “ผู้หญิงบนชั้นสามห้องสุดท้ายนะเหรอคุณ!  น่ารักจะตาย  นิสัยดีด้วยนะ เคยเห็นเอาขนมปังมาให้หมาจรจัดแถวนี้ด้วย”

            “เอ...คนที่อยู่ห้องสุดท้ายนั่นนะเหรอ  ใช่คนที่ชอบนุ่งสั้น ๆ หรือเปล่า แล้วก็กลับดึก ๆ ใช่มั๊ย  ผมไม่เคยคุยกับเธอหรอก  เห็นเป็นคนเงียบ ๆ  เก็บกดหรือเปล่าก็ไม่รู้”

            “ผู้หญิงคนนั้นเหรอคะ? ไม่เคยเห็นพาใครมาที่ห้องนี่ค่ะ  ก็ทั้งผู้หญิงผู้ชายแหละคะ  ไม่เห็นเธอมีใครมาที่ห้องเลย  อาจจะเป็นพวกเมียน้อยเสี่ยที่ไหนก็ได้นะคะ”

            “ยุ่งอะไรเรื่องของชาวบ้านเค้าหละ!”

            “ผม!ผมเหรอ”

            ผมสะดุ้งเงยหน้าจากพื้นถนนแล้วมองดูมือที่แตะไหล่ผมไว้ข้างหนึ่ง   ผู้ชายตัวใหญ่มาดเข้มในชุดเครื่องแบบตำรวจพยักหน้าหงึกหงักดึงตัวผมไว้ก่อน...ผมเพิ่งสังเกตว่าคนในแมนชั่นเก่า ๆ แห่งนี้กำลังสนทนาเรื่อง...เรื่องะไรก็ไม่รู้

            “มีอะไรเหรอครับคุณตำรวจ”         ผมถามแล้วขยับแว่นสายตาให้กระชับใบหน้า  มือข้างหนึ่งกำกระเป๋าเอกสารแน่น...มันชื้นเหงื่อไปหมด    ผมไม่ค่อยถูกกับคนในเครื่องแบบเท่าไหร่ด้วย

            “คุณรู้จักผู้หญิงที่อยู่แมนชั่นนี่มั๊ย      เธออยู่ชั้นสามห้องสุดท้ายของทางเดิน...”

            “ห้องสุดท้ายของทางเดิน...ชั้นสามเหรอ”    ผมทวนคำถามแล้วคิด...เอ...คุ้น ๆ แหะ   “ไม่มีผู้หญิงอยู่ห้องนั้นนี่ครับ”

            “เอ้า!คุณ! ผมมีข้อมูลของผมมา  คุณก็อย่าเบี่ยงแบนประเด็นซิ”      

            “ก็ไม่มีจริง ๆ นี่ครับ”        ผมตอบตามตรงแต่ตำรวจทำหน้าเครียด   เหงื่อผมแตกพลั่ก ๆ  มือไม้สั่นไปหมดขณะหยิบกุญแจออกมาให้คุณตำรวจหน้าดุดู

            “ชั้นสามห้องสุดทางเดินนั่น  ...ผมอยู่คนเดียวไม่มีผู้หญิงที่ไหนมาอยู่ด้วยหรอกครับ”

            “อ้าว...งั้น”     นายตำรวจทำสีหน้าไม่ถูกเหมือนกันเมื่อเห็นกุญแจที่อยู่ในมือผม

            “ผมเพิ่งย้ายเข้าไปอยู่ห้องนั้นได้สองวันเองครับ        มีเรื่องอะไรกันเหรอ”

            “อ้อ!เอ่อ! เปล่าครับ   แล้วคุณอยู่ห้องนั้นมีอะไรผิดปกติหรือเปล่าครับ”           คราวนี้คุณตำรวจพูดเสียงอ่อนลง

            “ก็ไม่มีอะไรนี่ครับ  นอนหลับเป็นปกติดี”    ผมตอบตามความจริง     นายตำรวจคนเดิมไม่ถามอะไรผมอีกนอกจากใช้สายตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าและเท้าจรดหัวก่อนโบกมือไล่ผมให้ไปไกล ๆ

            ก็แปลกดีเหมือนกันแหะ               ที่ว่าแปลกก็คือสายตาของเพื่อนร่วมแมนชั่น จะเรียกว่าอะไรดี  สายตาห่วงใยหรือสายตาสอดรู้สอดเห็นดี    เอ่อ ผมพูดแรงเกิดไปหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ    แต่พวกเขาทำอย่างนั้นจริงๆ   คอยถามว่า  เมื่อคืนหลับสนิทมั๊ย   มีอะไรมากวนใจหรือเปล่า   หรือที่ห้องคุณมีพระบูชาหรือยัง                       คงจะเป็นการหวังดีเกิดขาดที่ผมได้รับหลังจากที่ต้องจำใจย้ายมาแมนชั่นนี้แล้วได้ค่าเช่าถูกเหลือเชื่อ!         แต่เฉพาะห้องผมห้องเดียวเท่านั้นนะ         มันอาจจะเป็นโชคดีเรื่องเดียวในชีวิตของผมขณะที่นี้                   เพราะพิษเศรษฐกิจน้ำมันแพงทำให้ผมโดนเด้งออกจากงานหน้าตาเฉย            ต้องย้ายจากคนโดหรูใกล้รถไฟฟ้ามาเป็นแมนชั่นลึกในซอยเปลี่ยวระหว่างที่ผมกำลังหางานใหม่ทำอยู่นี้            ผมจำเป็นต้องประหยัดค่าใช้จ่ายทุกอย่าง       ข้าวของเครื่องใช้หลายชิ้นถูกเปลี่ยนที่อยู่ไปอยู่โรงรับจำนำเป็นส่วนใหญ่

            ผมคิดอะไรเรื่อยเปื่อยหลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วก็เสียบปลั๊กกระติกน้ำร้อน       คืนวันศุกร์อีกแล้วหากเป็นเมื่อก่อนผมคงกระหายวันศุกร์อย่างรุนแรงและเกลียดวันจันทร์อย่างสุดซึ้ง         แต่เดี๋ยวนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว     เพราะสภาพคนตกงานอย่างที่เป็นอยู่     ผมเอาหนังสือพิมพ์สมัครงานมากางออก    เอาดินสอมาวงบริษัทที่หมายตาไว้             ในห้องผมก็ไม่มีอะไรมากจะว่าไปผมนี่ได้ห้องถูกแถมฟอร์นิเจอร์ใหม่หมด            ทั้งตู้เสื้อผ้าและเตียงนอนห้องก็ทาสีใหม่     ยังจำได้กลิ่นสีในวันแรกที่เข้ามาดูห้องได้ดี      ชีวิตผมอาจจะมีโชคดีอีกอย่างก็คือ   ผมได้ของฟรีมาตลอด   ของฟรีที่ว่าก็อย่างพวกโทรทัศน์ โทรศัพท์มือถือ  บางชิ้นก็เริ่มทยอยเข้าโรงรับจำนำไปแล้วแหม! ถ้าไม่บอกคงไม่มีใครรู้นึกว่าผมคงมีสตางค์มากมาย        ผมหน่ะจับฉลากได้ตอนปีใหม่ทั้งนั้นแหละ!

            เวลาที่ไปไหนไม่ได้เพราะสถานภาพทางการเงินไม่อำนวยอย่างนี้       แค่เปิดโทรทัศน์ดูข่าวสารก็เป็นความบันเทิงเดียวที่พอจะบรรเทาความหงอยเหงาในใจผมได้             ภาพข่าวในโทรทัศน์ทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมาได้           วันนี้มีตำรวจมาถามอะไรแปลก ๆ เกี่ยวกับห้องที่ผมอยู่....

  1. ผมสงสัยก็จริงว่าทำไมถึงได้สามารถเช่าห้องนี้ในราคาถูกได้ แต่ตอนนั้นผมคิดอะไรมากไม่ได้นี่  ถ้าไม่รีบคว้าไว้อาจไม่ได้ห้องพักดีราคาถูกแบบนี้ก็ได้         แต่ผมเพิ่งมาอยู่แค่สองคืน...อ้อ!คืนนี้เป็นคืนที่สามแล้วนี่...   ผมก็ไม่รู้สึกว่ามันมีอะไรผิดปกติ

            อ๊ะ! จริงซิ! ยังมีอีกอย่าง  ก็คงเป็นของ ๆเจ้าของห้องคนเดิมอาจจะลืมไว้หรือไม่ก็จงใจ  เพราะได้ของใหม่ที่ดีกว่าแล้ว              เพราะมันเป็นร้องเท้าส้นสูงสีแดงแป๊ด...แดงจนไม่รู้จะเปรียบเทียบกับอะไรดี   แค่นึกถึงคนใส่ก็เดาได้เลยว่าเปรี้ยวเข็ดฟันขนาดไหน     รองเท่านั่นก็ดันมีข้างเดียวและอยู่ใต้เตียง   ผมเจอมันก็ตอนที่จัดห้องเอาสมบัติบ้าไปเก็บใต้เตียงนั้นแหละ   เฮ้อ!ยังใหม่อยู่เลย          ไม่แน่ว่าเจ้าของอาจจะลืมไว้   ผมเพิ่งมาอยู่ได้ไม่กี่วัน ผมจึงเก็บไว้เผื่อว่าวันหนึ่งใครอาจจะมาเอา

            ผมถอนหายใจเบา ๆ นึกอยากดื่มน้ำเย็น ๆ แต่ในห้องผมไม่มีตู้เย็น อย่าว่าแต่น้ำเย็นเลยน้ำเปล่าผมก็ลืมซื้อไว้    ก็เลยจำเป็นและจำใจเดินลงมาที่ชั้นล่างสุด       ซึ่งมีร้านขายของชำ หรือที่เรียกว่าร้านโชว์ห่วยนั้นแหละ       

            “จะไปไหนกันเหรอครับ”   ผมถามอย่างแปลกใจเมื่อเห็นเพื่อนร่วมแมนชั่นชุมนุมกันและมีรถบัสคันใหญ่จอดรออยู่

            “ไปงานทอดกฐินที่ร้อยเอ็ดไง  อ้อ!เพิ่งมาอยู่ใหม่ใช่มั๊ยเลยไม่รู้ข่าว”               

เจ้าของร้านขายของชำตอบด้วยรอยยิ้ม      ผมพยักหน้ารับหงึกหงัก   คงมัวแต่คิดเรื่องสมัครงานจนลืมเรื่องนี้ไป   จำได้ว่าคนดูแลตึกบอกตั้งแต่วันที่เซ็นสัญญาแล้ว แต่ปกติผมก็ไม่ค่อยสุงสิงกับใครเท่าไหร่   ผมยืนคุยกับคนอื่น ๆ ที่จะไปกับคณะกฐินครู่หนึ่งตามมารยาทแล้วเดินไปหยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและน้ำเย็นไปจ่ายเงิน        แล้วเดินกลับขึ้นมาที่ห้องของตัวเอง            ไม่นานนักเสียงเพลงลูกทุ่งก็กระหึ่มพร้อมเสียงสตาร์ทรถ      ผมชะโงกหน้าดูที่หน้าต่างของห้องจนรถของพวกเขาเคลื่อนไปแล้ว     ผมจึงกลับมาสนใจมื้อเย็นของผมที่เป็นเพียงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป  หยิบรีโมทมาเพิ่มเสียงให้ดังขึ้นแต่ก็ไม่สามารถไล่ความเหงาออกไปจากใจได้เสียที

เฮ้อ!อยู่คนเดียวมาตั้งนานยังไม่ชินกับความเหงาเสียที         หน้าผมก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไรนักแต่ไหง๋ไม่ค่อยมีสาว ๆ มาสนใจผมเลย เออ! มันก็มีมานี่นะแต่มาหลอกเอาเงินผมซะมากกว่า    ผมถอดแว่นสายตากรอบหนาออกแล้วนวดขมับเบา ๆ ละลายความตึงเครียด           เงินก้อนสุดท้ายที่มีอยู่มันคงพอให้ผมหายใจยาว ๆ ไปได้อีกสักเดือนหรือสองเดือน     แต่ผมก็ไม่รู้ว่าจะกินอาหารสำเร็จรูปแบบนี้ไปได้นานแค่ไหนเหมือนกัน

“ว๊าย!”

ผมสะดุ้งหันซ้ายหันขวาอย่างตกใจ จะว่าเสียงโทรทัศน์มันก็ไม่ใช่เพราะในข่าวไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับเสียงผู้หญิงร้องสักนิด        ผมหยิบแว่นมาสวมอย่างเดิมและเดินไปเปิดประตูออกดูที่ต้นเสียง    ก็จะเก็บความสงสัยไว้ทำไมเล่า!

ภาพหญิงสาวทรุดตัวลงนั่งพับเพียบอยู่กับพื้นทางเดินห่างจากห้องผมไม่กี่ก้าว   ผมนึกแปลกใจที่เห็นว่าชั้นนี้ยังมีคนอยู่เพราะดู ๆ แล้วน่าจะไปกับคณะกฐินกันเกือบหมดตึกนี้    แต่จริง ๆ ผมก็ยังไม่คุ้นเคยกับคนในห้องข้าง ๆ เท่าไหร่นัก               ผมเห็นเธอนั่งนวดข้อเท้าของตัวเองต่อมพลเมืองดีทำงาน     ผมจึงเดินเข้าไปดูเธอใกล้ ๆ อ้อ!ผมอยากเป็นคนดีจริง ๆ นะครับ ไม่ใช่เพราะเธอเป็นผู้หญิง ที่...เอ่อ...สวย...สาวมาก

“เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ”       

ผมถามและเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมองผม       ทั้งหัวใจและดวงตาเหมือนถูกสะกดนิ่งกับความงามของเธอ             

“เจ็บค่ะ”           

เธอยิ้มบาง ๆ ผมอึกอักเหมือนปลาดุกถูกทุบหัวก่อนทรุดตัวลงนั่นดูข้อเท้าของเธอ เอ่อ...กระโปรงสั้นสีครีมร่นขึ้นเห็นต้นขาขาวเนียน   เอาละซิ!จะหลบไปทางไหนดี

“ทำไมวันนี้แมนชั่นเงียบจังคะ”      เสียงหวานของเธอถามเบา ๆ

“เขาไปทอดกฐินกันนะครับ   เหมารถไปร้อยเอ็ดกัน”            ผมตอบตะกุกตะกัด

“แย่จริง! หลินมาหาพี่สาวก็คงเข้าห้องไม่ได้นะซิ  คืนนี้จะไปนอนที่ไหนละเนี่ย เท้าก็เจ็บทำไมซวยอย่างนี้นะ โอ๊ย!”

“ขอโทษครับ ขอโทษ”        ผมรีบขอโทษเธอเพราะดันไปนวดเธอแรงไปหน่อย แต่สายตาหวานฉ่ำที่มองผมทำให้ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างลำบาก

“เอ่อ...งั้นไปห้องผมก่อนดีกว่ามั๊ยครับ  ผมอยู่สุดท้ายเดินนี่เอง”       

“แล้วคนในห้องคุณจะไม่เข้าใจผิดเหรอคะ”

“ผมอยู่คนเดียวครับ”    ผมบอกแล้วลุกขึ้นพยุงเธอเดินเข้าไปในห้อง   กลิ่นหอมจากตัวเอทำเอาผมเคลิ้มแถมเนื้อตัวก็นุ่มนิ่มน่าเอาไปทำหมอนข้างจริง ๆ

ผมจัดที่นั่งให้เธอนั่งบนเตียงแล้วหาอะไรมารองเท้าเธอก่อน  แล้วเดินไปหยิบยามาทานวดให้ข้อเท้าที่บวมขึ้นเล็กน้อย     ผมเขินที่ห้องชายโฉด เอ๊ย โสดอย่างผมมันรกเหลือร้าย  เอ๊ะ! ได้ยินเธอเรียกตัวเองว่าหลินใช่มั๊ยนะ

“ขอบคุณคุณมาก ๆ นะ หลินซุ่มซ่ามหกล้มแล้วยังเข้าห้องพี่สาวไม่ได้อีก”      ทั้งสายตาทั้งน้ำเสียงเธอทำเอาผมแทบละลายไปกองกับพื้น

“เอ่อ ดะ...ดื่ม  ดื่มอะไรมั๊ยครับ  มีกาแฟกับโกโก้”

“กาแฟค่ะ”

ผมถามแก้เขิน    เธอยิ้มหวาน  ผมลุกขึ้นไปชงกาแฟสองแก้วสำหรับเธอและผม          แต่กระจกในห้องสะท้อนภาพเธอที่ก้มมองไปนวดเท้า                เสื้อปาดของเธอถ่วงลงไปเห็นตับไตไส้พุงชวนหวาดเสียวจนผมเผลอทำน้ำร้อนลวกมือตัวเอง

“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”   

“ปะ...เปล่าครับ”

“เอ๊ะ! นี่รองเท้าใครคะ? ของแฟนคุณหรือของคุณ?”           

เธอถามเมื่อรับถ้วยกาแฟจากผม   ผมทำหน้างงก่อนที่จะมองตามสายตาเธอไปที่รองเท้าสีแดงข้างนั้นที่มันใกล้หัวเตียง

“ไม่รู้ครับ” ผมสั่นหน้าดิก   “คงเป็นของเจ้าของห้องคนก่อนลืมไว้มั้งครับ แล้วผมก็ไม่มีแฟนแถมไม่ใช่พวกวิตถารด้วย”

เธอหัวเราะกิ๊กกั๊กหยิบรองเท้าคู่นั้นพลิกไปมาเหมือนหารอยตำหนิแต่เมื่อรู้ว่าผมจ้องมองอยู่      เธอจึงหันมายิ้มหวานให้เหมือนไม่ได้ทำอะไรลงไปก่อนที่จะกระเถิบตัวมานั่งเบียดผมจนรู้สึกถึงไออุ่นจากกายเธอ

“พูดเป็นไรไปคุณก็ดูเป็นคนดีออก  ยังอุตส่าห์ช่วยหลินเลย ทั้งที่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน”

“ก็ผมไม่หล่อ ไม่รวย แถมตอนนี้ยังตกงานนี่ครับ ผู้หญิงที่ไหนจะมาสนใจ”    ผมหยิบรองเท้าแดงข้างนั้นมาพลิกไปพลิกมาแก้เขิน  เอ่อ...ผมเพิ่งสังเกตว่าส้นของมันดูหนาผิดปกติ  หรือเพราะเป็นดีไซด์ใหม่ก็ไม่รู้    ผมไม่ค่อยสนใจเรื่องพรรคนี้นัก

“มันคงไม่เลวร้ายขนาดนั้น  ถ้าคุณรู้จักเปิดใจบ้างนะคะ  แต่ก็ดีที่...”

“อะไรครับ”

“ก็คุณไม่ใช่พวกวิตถารไงคะ”

เธอหัวเราะเสียงดังทำให้ผมหัวเราะตาม     ผมขยับแว่นแก้เขินแต่มือเรียวสวยของเธอเอื้อมมาดึงมันออกไปจากหน้าผมเสียก่อน

“ผู้หญิงหน่ะ     ไม่ใช่แค่เรื่องเงินหรือหน้าตาหรอกค่ะแต่เราก็เลือกคนที่เราอยากฝากชีวิตอยู่อย่างมั่นคงก็เลย...เรื่องมากไปหน่อย”

“ระ...เหรอ...เหรอครับ”

“ค่ะ”    

ใบหน้าของเธอเคลื่อนมาใกล้จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่รดอยู่เบื้องหน้า  ผมหลบตาเธอแต่จ้องมองริมฝีปากที่เผยอขึ้นเหมือนเชิญชวน

“ฉันชักอยากรู้แล้วซิว่าคุณเป็นพวกวิตถารจริงหรือเปล่า”

ผมไม่ตอบคำถามแต่ให้ร่างกายเป็นคำตอบแก่เธอ   ริมฝีปากเธออ่อนนุ่มชวนหลงใหล  เนื้อกายก็หอมกรุ่น

“หลิน จะดีเหรอ” ผมถามเหมือนคนละเมอ

“คุณไม่ต้องการหลินเหรอคะ”

ใครจะไม่ชอบ ผู้หญิงสวยๆมาอยู่ตรงหน้าแบบนี้ มือเล็กเลื่อนมาจับที่เป้ากางเกงขยำเน้นๆจนผมครางออกมา

“อย่าคิดมากซิคะ ถือว่านี่เป็นของขวัญก็แล้วกันจากหลินก็แล้วกัน”  เธอรูปซิบกางเกงผมแล้วจับเจ้าหนูออกมารูดขึ้นลงเร็วๆ  ผมมองเธอทำแล้วก็กลืนน้ำลายลงคอ ผู้ชายไม่เอาไหนอย่างผมนี่นะ

 

................

 

แดดยามเช้าแยงตาจนผมต้องยกมือขึ้นขยี้ตา          ผมพลิกหมอนขึ้นปิดหน้าไม่อยากตื่นจากฝันหวาน   ใช่! มันต้องฝันไปแน่ ๆ เมื่อคืนมีหญิงสาวและสวยมากมานอนเป็นเพื่อน     ดูซิ!ผมต้องละเมอไปแน่ ๆ            เพราะกลิ่นหอมจากตัวเธอคนนั้นยังติดหมอนอยู่เลย  ชื่ออะไรนะ ชื่อ...

“หลิน!”

ผมลุกพรวดจากที่นอน     นอกจากผ้าห่มบาง ๆ ที่คลุมตัวอยู่ก็ไม่มีผ้าสักชิ้นอยู่บนตัวผม ให้ตายซิ!   ผมไม่ใช่คนชอบนอนแก้ผ้านะเนี่ย!         ผมเหลียวมองรอบกายไม่มีแม้แต่เงาคน หรืออะไรสักอย่างที่บ่งบอกว่ามีใครอยู่ในห้องแล้ว

            แต่แก้วกาแฟที่ยังไม่ได้ล้างสองใบวางใกล้กันนั้น  และใบหนึ่งยังมีรอยลิปสติกอยู่ทำให้รู้ว่า ‘หลิน’ มีตัวตนจริง ๆ

            ผมรีบคว้าเสื้อผ้ามาใส่และวิ่งลงมาที่ชั้นล่าง    ร้านขายของชำเปิดแต่เช้าตรู่  บางทีอาจจะมีคนเห็นหลินก็ได้      ผมไม่อยากทำตัวเหมือนผู้ชายที่ชอบฉกฉวยและ ที่ไร้ความรับผิดชอบ

            “แป๊ะ! เห็นผู้หญิงสาว ๆ สวย ๆ ลงมาบ้างมั๊ย!”

            “ก็ไม่เห็นนี่ แป๊ะตื่นมาใส่บาตรแต่เช้าก็ไม่มีมีใคร เค้าไปทอดกินกันหมดแล้วไม่ใช่เหรอ จะมีใครอีกเหรอ”   อาแป๊ะเหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นมีใคร ก็กระซิบที่ข้างหูของผม  

            “ผู้หญิงที่ชอบใส่เสื้อรัดๆ กระโปรงสั้น ๆ ใช่มั๊ย  นั่นนะเคยอยู่ห้องลื้อมาก่อน  แต่ตอนนี้ไม่รู้อีไปอยู่ไหน   มีคนมาตามหาอีบ่อย ๆตำรวจก็มา  เค้าว่ากันว่าอีเป็นนักร้องคาเฟ่เป็นเด็กเสี่ย    บางคนบอกอีเป็นเมียน้อยเสี่ยโดนเมียหลวงตามเก็บ แต่ตำรวจบอกว่าอีเป็นพวกขายยาบ้า  แต่ได้ยินพวกช่างทาสีบอกว่าอีฆ่าตัวตายในห้องเจ้าของแมนชั่นถึงให้ทาสีใหม่เพราะล้างคราบเลือดไม่ออก!”

            ผมสับสันเป็นที่สุด  ไม่รู้จะเชื่อคำบอกเล่าของใครดี  เธอเป็นคนดี  เป็นคนร้าย หรือเป็นวิญญาณมาหลอกหลอน   ผมเดินเอ๋อ ๆ กลับมาที่ห้องแต่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นรองเท้าสีแดงข้างนั้นส้นหัก!  มันวางบนโต๊ะและมีกระดาษโน้ตลายมือน่ารัก ๆ เขียนไว้ว่า...

            ‘ขอบคุณที่เก็บรองเท้าไว้ให้นะคะ      คุณมีน้ำใจกับคนแปลกหน้าอย่างฉันมาก  ฉันได้ของที่ต้องการแล้ว  ก็เลยให้รองเท้าข้างนี้ไว้ดูต่างหน้านะคะ เพื่อวันหนึ่งคุณจะได้คิดถึงฉันบ้าง’

 หลิน

            ผมหยิบรองเท้าสีแดงข้างนั้นขึ้นมาดู   ส้นรองเท้าเหมือนถูกทำเป็นพิเศษเพื่อเก็บบางสิ่งไว้ข้างในได้ เหมือนมีก้อนกรวดใส ๆ เล็ก ๆ อยู่ก้อนหนึ่ง  ผมเคาะให้มันหล่นบนฝ่ามือ ก่อนจะหยิบขึ้นส่องดูกับแสงแดดภายในห้อง

            บางที ที่ใครต่อใครตามหาอาจไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้นหรอก       แต่เป็นเจ้าสิ่งของที่ผู้หญิงคนนั้นเก็บไว้ต่างหาก    ผมหัวเราะออกมาเบา ๆ ผมไม่รู้ว่าเธอคือใคร เป็นอะไรกันแน่แต่ที่แน่ ๆ ผมคงไม่มีวันลืมผู้หญิงคนนั้นแน่ ๆ แต่ก็แอบหวังว่าเธอจะมาเอารองเท้าของเธอกลับไป

 

เนื้อหาโดย: หนามดอกงิ้ว
ภาพประกอบ : AI
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
หนามดอกงิ้ว's profile


โพสท์โดย: หนามดอกงิ้ว
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
5 VOTES (5/5 จาก 1 คน)
VOTED: smiles
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
อาลัยรัก อ๋อม อรรคพันธ์ แฟนคลับยังไม่อยากเชื่อ เพิ่งเห็นรอยยิ้มเมื่อไม่กี่เดือนสุดยอด 5 อันดับประเทศเอเชียระบบขนส่งเจ๋งสุด พร้อมไทยติดอันดับด้วยวิธีผูกพร้อมเพย์ บัตรประชาชน รับเงินดิจิทัล 10,000 บาท สำหรับกลุ่มเปราะบาง ไม่ต้องต่อคิว สะดวก รวดเร็วเมื่อหมูเด้ง ต้องไปแคสติ้งเป็นนักแสดงซูปเปอร์ฮีโร่รถสองคันกับคนเกษียณวิธีโหลดแอป รัฐจ่าย และเช็กสิทธิ์เงินดิจิทัล 10,000 บาท แบบง่าย ๆ ไม่งง!แก้วน้ำของ "ลิซ่า" ธรรมดาซ่ะที่ไหน..สมฐานะซุปตาร์ระดับโลกของแทร่!ชาวเน็ตกระหน่ำวิจารณ์ น้ำปั่นแก้วละ 465 บาท คุ้มจริงไหม? ทำไมถึงแพงได้ขนาดนั้นเฝิงเส้าเฟิง โปรไฟล์ไม่ธรรมดา เคยคบหามาแล้วกับนางเอกจีนระดับท็อปถึง 4 คนฝนตกน้ำท่วมขัง งูเห่าหนีซุกห้องน้ำญี่ปุ่นขายหูฟังมือสอง ราคาประมาณ 3,000 เยนชายชาวอเมริกันชิ้นส่วนเลโก้ติดอยู่ในจมูกนานถึง 26 ปี
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
ประสบความสำเร็จ นักวิทยาศาสตร์ คืนชีพให้กับจุลชีพดึกดำบรรพ์ที่ถูกแช่แข็ง อายุกว่า 24,000 ปีสุดยอด 5 อันดับประเทศเอเชียระบบขนส่งเจ๋งสุด พร้อมไทยติดอันดับด้วยหนูน้อยวัยทารกถูกนกโฉบเข้าข่วนตา ขณะยายกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ อันตรายมาก!!อาลัยรัก อ๋อม อรรคพันธ์ แฟนคลับยังไม่อยากเชื่อ เพิ่งเห็นรอยยิ้มเมื่อไม่กี่เดือนรถสองคันกับคนเกษียณญี่ปุ่นขายหูฟังมือสอง ราคาประมาณ 3,000 เยน
กระทู้อื่นๆในบอร์ด นิยาย เรื่องเล่า
รถสองคันกับคนเกษียณ•สิบปีต่อมา.หมดไปกับ•!!!ตำนานเมืองลับแลเจ้าหญิงเวียงชื่น เทพวงศ์ ไม่ยอมถูกจับกุมคุมขัง ยอมปลิดชีพตน ด้วยการดื่มยาพิษ
ตั้งกระทู้ใหม่