เรื่องสั้นจบในตอน : รองเท้าสีแดง
เรื่อง รองเท้าสีแดง
“ผู้หญิงบนชั้นสามห้องสุดท้ายนะเหรอคุณ! น่ารักจะตาย นิสัยดีด้วยนะ เคยเห็นเอาขนมปังมาให้หมาจรจัดแถวนี้ด้วย”
“เอ...คนที่อยู่ห้องสุดท้ายนั่นนะเหรอ ใช่คนที่ชอบนุ่งสั้น ๆ หรือเปล่า แล้วก็กลับดึก ๆ ใช่มั๊ย ผมไม่เคยคุยกับเธอหรอก เห็นเป็นคนเงียบ ๆ เก็บกดหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“ผู้หญิงคนนั้นเหรอคะ? ไม่เคยเห็นพาใครมาที่ห้องนี่ค่ะ ก็ทั้งผู้หญิงผู้ชายแหละคะ ไม่เห็นเธอมีใครมาที่ห้องเลย อาจจะเป็นพวกเมียน้อยเสี่ยที่ไหนก็ได้นะคะ”
“ยุ่งอะไรเรื่องของชาวบ้านเค้าหละ!”
“ผม!ผมเหรอ”
ผมสะดุ้งเงยหน้าจากพื้นถนนแล้วมองดูมือที่แตะไหล่ผมไว้ข้างหนึ่ง ผู้ชายตัวใหญ่มาดเข้มในชุดเครื่องแบบตำรวจพยักหน้าหงึกหงักดึงตัวผมไว้ก่อน...ผมเพิ่งสังเกตว่าคนในแมนชั่นเก่า ๆ แห่งนี้กำลังสนทนาเรื่อง...เรื่องะไรก็ไม่รู้
“มีอะไรเหรอครับคุณตำรวจ” ผมถามแล้วขยับแว่นสายตาให้กระชับใบหน้า มือข้างหนึ่งกำกระเป๋าเอกสารแน่น...มันชื้นเหงื่อไปหมด ผมไม่ค่อยถูกกับคนในเครื่องแบบเท่าไหร่ด้วย
“คุณรู้จักผู้หญิงที่อยู่แมนชั่นนี่มั๊ย เธออยู่ชั้นสามห้องสุดท้ายของทางเดิน...”
“ห้องสุดท้ายของทางเดิน...ชั้นสามเหรอ” ผมทวนคำถามแล้วคิด...เอ...คุ้น ๆ แหะ “ไม่มีผู้หญิงอยู่ห้องนั้นนี่ครับ”
“เอ้า!คุณ! ผมมีข้อมูลของผมมา คุณก็อย่าเบี่ยงแบนประเด็นซิ”
“ก็ไม่มีจริง ๆ นี่ครับ” ผมตอบตามตรงแต่ตำรวจทำหน้าเครียด เหงื่อผมแตกพลั่ก ๆ มือไม้สั่นไปหมดขณะหยิบกุญแจออกมาให้คุณตำรวจหน้าดุดู
“ชั้นสามห้องสุดทางเดินนั่น ...ผมอยู่คนเดียวไม่มีผู้หญิงที่ไหนมาอยู่ด้วยหรอกครับ”
“อ้าว...งั้น” นายตำรวจทำสีหน้าไม่ถูกเหมือนกันเมื่อเห็นกุญแจที่อยู่ในมือผม
“ผมเพิ่งย้ายเข้าไปอยู่ห้องนั้นได้สองวันเองครับ มีเรื่องอะไรกันเหรอ”
“อ้อ!เอ่อ! เปล่าครับ แล้วคุณอยู่ห้องนั้นมีอะไรผิดปกติหรือเปล่าครับ” คราวนี้คุณตำรวจพูดเสียงอ่อนลง
“ก็ไม่มีอะไรนี่ครับ นอนหลับเป็นปกติดี” ผมตอบตามความจริง นายตำรวจคนเดิมไม่ถามอะไรผมอีกนอกจากใช้สายตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าและเท้าจรดหัวก่อนโบกมือไล่ผมให้ไปไกล ๆ
ก็แปลกดีเหมือนกันแหะ ที่ว่าแปลกก็คือสายตาของเพื่อนร่วมแมนชั่น จะเรียกว่าอะไรดี สายตาห่วงใยหรือสายตาสอดรู้สอดเห็นดี เอ่อ ผมพูดแรงเกิดไปหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ แต่พวกเขาทำอย่างนั้นจริงๆ คอยถามว่า เมื่อคืนหลับสนิทมั๊ย มีอะไรมากวนใจหรือเปล่า หรือที่ห้องคุณมีพระบูชาหรือยัง คงจะเป็นการหวังดีเกิดขาดที่ผมได้รับหลังจากที่ต้องจำใจย้ายมาแมนชั่นนี้แล้วได้ค่าเช่าถูกเหลือเชื่อ! แต่เฉพาะห้องผมห้องเดียวเท่านั้นนะ มันอาจจะเป็นโชคดีเรื่องเดียวในชีวิตของผมขณะที่นี้ เพราะพิษเศรษฐกิจน้ำมันแพงทำให้ผมโดนเด้งออกจากงานหน้าตาเฉย ต้องย้ายจากคนโดหรูใกล้รถไฟฟ้ามาเป็นแมนชั่นลึกในซอยเปลี่ยวระหว่างที่ผมกำลังหางานใหม่ทำอยู่นี้ ผมจำเป็นต้องประหยัดค่าใช้จ่ายทุกอย่าง ข้าวของเครื่องใช้หลายชิ้นถูกเปลี่ยนที่อยู่ไปอยู่โรงรับจำนำเป็นส่วนใหญ่
ผมคิดอะไรเรื่อยเปื่อยหลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วก็เสียบปลั๊กกระติกน้ำร้อน คืนวันศุกร์อีกแล้วหากเป็นเมื่อก่อนผมคงกระหายวันศุกร์อย่างรุนแรงและเกลียดวันจันทร์อย่างสุดซึ้ง แต่เดี๋ยวนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะสภาพคนตกงานอย่างที่เป็นอยู่ ผมเอาหนังสือพิมพ์สมัครงานมากางออก เอาดินสอมาวงบริษัทที่หมายตาไว้ ในห้องผมก็ไม่มีอะไรมากจะว่าไปผมนี่ได้ห้องถูกแถมฟอร์นิเจอร์ใหม่หมด ทั้งตู้เสื้อผ้าและเตียงนอนห้องก็ทาสีใหม่ ยังจำได้กลิ่นสีในวันแรกที่เข้ามาดูห้องได้ดี ชีวิตผมอาจจะมีโชคดีอีกอย่างก็คือ ผมได้ของฟรีมาตลอด ของฟรีที่ว่าก็อย่างพวกโทรทัศน์ โทรศัพท์มือถือ บางชิ้นก็เริ่มทยอยเข้าโรงรับจำนำไปแล้วแหม! ถ้าไม่บอกคงไม่มีใครรู้นึกว่าผมคงมีสตางค์มากมาย ผมหน่ะจับฉลากได้ตอนปีใหม่ทั้งนั้นแหละ!
เวลาที่ไปไหนไม่ได้เพราะสถานภาพทางการเงินไม่อำนวยอย่างนี้ แค่เปิดโทรทัศน์ดูข่าวสารก็เป็นความบันเทิงเดียวที่พอจะบรรเทาความหงอยเหงาในใจผมได้ ภาพข่าวในโทรทัศน์ทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมาได้ วันนี้มีตำรวจมาถามอะไรแปลก ๆ เกี่ยวกับห้องที่ผมอยู่....
- ผมสงสัยก็จริงว่าทำไมถึงได้สามารถเช่าห้องนี้ในราคาถูกได้ แต่ตอนนั้นผมคิดอะไรมากไม่ได้นี่ ถ้าไม่รีบคว้าไว้อาจไม่ได้ห้องพักดีราคาถูกแบบนี้ก็ได้ แต่ผมเพิ่งมาอยู่แค่สองคืน...อ้อ!คืนนี้เป็นคืนที่สามแล้วนี่... ผมก็ไม่รู้สึกว่ามันมีอะไรผิดปกติ
อ๊ะ! จริงซิ! ยังมีอีกอย่าง ก็คงเป็นของ ๆเจ้าของห้องคนเดิมอาจจะลืมไว้หรือไม่ก็จงใจ เพราะได้ของใหม่ที่ดีกว่าแล้ว เพราะมันเป็นร้องเท้าส้นสูงสีแดงแป๊ด...แดงจนไม่รู้จะเปรียบเทียบกับอะไรดี แค่นึกถึงคนใส่ก็เดาได้เลยว่าเปรี้ยวเข็ดฟันขนาดไหน รองเท่านั่นก็ดันมีข้างเดียวและอยู่ใต้เตียง ผมเจอมันก็ตอนที่จัดห้องเอาสมบัติบ้าไปเก็บใต้เตียงนั้นแหละ เฮ้อ!ยังใหม่อยู่เลย ไม่แน่ว่าเจ้าของอาจจะลืมไว้ ผมเพิ่งมาอยู่ได้ไม่กี่วัน ผมจึงเก็บไว้เผื่อว่าวันหนึ่งใครอาจจะมาเอา
ผมถอนหายใจเบา ๆ นึกอยากดื่มน้ำเย็น ๆ แต่ในห้องผมไม่มีตู้เย็น อย่าว่าแต่น้ำเย็นเลยน้ำเปล่าผมก็ลืมซื้อไว้ ก็เลยจำเป็นและจำใจเดินลงมาที่ชั้นล่างสุด ซึ่งมีร้านขายของชำ หรือที่เรียกว่าร้านโชว์ห่วยนั้นแหละ
“จะไปไหนกันเหรอครับ” ผมถามอย่างแปลกใจเมื่อเห็นเพื่อนร่วมแมนชั่นชุมนุมกันและมีรถบัสคันใหญ่จอดรออยู่
“ไปงานทอดกฐินที่ร้อยเอ็ดไง อ้อ!เพิ่งมาอยู่ใหม่ใช่มั๊ยเลยไม่รู้ข่าว”
เจ้าของร้านขายของชำตอบด้วยรอยยิ้ม ผมพยักหน้ารับหงึกหงัก คงมัวแต่คิดเรื่องสมัครงานจนลืมเรื่องนี้ไป จำได้ว่าคนดูแลตึกบอกตั้งแต่วันที่เซ็นสัญญาแล้ว แต่ปกติผมก็ไม่ค่อยสุงสิงกับใครเท่าไหร่ ผมยืนคุยกับคนอื่น ๆ ที่จะไปกับคณะกฐินครู่หนึ่งตามมารยาทแล้วเดินไปหยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและน้ำเย็นไปจ่ายเงิน แล้วเดินกลับขึ้นมาที่ห้องของตัวเอง ไม่นานนักเสียงเพลงลูกทุ่งก็กระหึ่มพร้อมเสียงสตาร์ทรถ ผมชะโงกหน้าดูที่หน้าต่างของห้องจนรถของพวกเขาเคลื่อนไปแล้ว ผมจึงกลับมาสนใจมื้อเย็นของผมที่เป็นเพียงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หยิบรีโมทมาเพิ่มเสียงให้ดังขึ้นแต่ก็ไม่สามารถไล่ความเหงาออกไปจากใจได้เสียที
เฮ้อ!อยู่คนเดียวมาตั้งนานยังไม่ชินกับความเหงาเสียที หน้าผมก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไรนักแต่ไหง๋ไม่ค่อยมีสาว ๆ มาสนใจผมเลย เออ! มันก็มีมานี่นะแต่มาหลอกเอาเงินผมซะมากกว่า ผมถอดแว่นสายตากรอบหนาออกแล้วนวดขมับเบา ๆ ละลายความตึงเครียด เงินก้อนสุดท้ายที่มีอยู่มันคงพอให้ผมหายใจยาว ๆ ไปได้อีกสักเดือนหรือสองเดือน แต่ผมก็ไม่รู้ว่าจะกินอาหารสำเร็จรูปแบบนี้ไปได้นานแค่ไหนเหมือนกัน
“ว๊าย!”
ผมสะดุ้งหันซ้ายหันขวาอย่างตกใจ จะว่าเสียงโทรทัศน์มันก็ไม่ใช่เพราะในข่าวไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับเสียงผู้หญิงร้องสักนิด ผมหยิบแว่นมาสวมอย่างเดิมและเดินไปเปิดประตูออกดูที่ต้นเสียง ก็จะเก็บความสงสัยไว้ทำไมเล่า!
ภาพหญิงสาวทรุดตัวลงนั่งพับเพียบอยู่กับพื้นทางเดินห่างจากห้องผมไม่กี่ก้าว ผมนึกแปลกใจที่เห็นว่าชั้นนี้ยังมีคนอยู่เพราะดู ๆ แล้วน่าจะไปกับคณะกฐินกันเกือบหมดตึกนี้ แต่จริง ๆ ผมก็ยังไม่คุ้นเคยกับคนในห้องข้าง ๆ เท่าไหร่นัก ผมเห็นเธอนั่งนวดข้อเท้าของตัวเองต่อมพลเมืองดีทำงาน ผมจึงเดินเข้าไปดูเธอใกล้ ๆ อ้อ!ผมอยากเป็นคนดีจริง ๆ นะครับ ไม่ใช่เพราะเธอเป็นผู้หญิง ที่...เอ่อ...สวย...สาวมาก
“เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ”
ผมถามและเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมองผม ทั้งหัวใจและดวงตาเหมือนถูกสะกดนิ่งกับความงามของเธอ
“เจ็บค่ะ”
เธอยิ้มบาง ๆ ผมอึกอักเหมือนปลาดุกถูกทุบหัวก่อนทรุดตัวลงนั่นดูข้อเท้าของเธอ เอ่อ...กระโปรงสั้นสีครีมร่นขึ้นเห็นต้นขาขาวเนียน เอาละซิ!จะหลบไปทางไหนดี
“ทำไมวันนี้แมนชั่นเงียบจังคะ” เสียงหวานของเธอถามเบา ๆ
“เขาไปทอดกฐินกันนะครับ เหมารถไปร้อยเอ็ดกัน” ผมตอบตะกุกตะกัด
“แย่จริง! หลินมาหาพี่สาวก็คงเข้าห้องไม่ได้นะซิ คืนนี้จะไปนอนที่ไหนละเนี่ย เท้าก็เจ็บทำไมซวยอย่างนี้นะ โอ๊ย!”
“ขอโทษครับ ขอโทษ” ผมรีบขอโทษเธอเพราะดันไปนวดเธอแรงไปหน่อย แต่สายตาหวานฉ่ำที่มองผมทำให้ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างลำบาก
“เอ่อ...งั้นไปห้องผมก่อนดีกว่ามั๊ยครับ ผมอยู่สุดท้ายเดินนี่เอง”
“แล้วคนในห้องคุณจะไม่เข้าใจผิดเหรอคะ”
“ผมอยู่คนเดียวครับ” ผมบอกแล้วลุกขึ้นพยุงเธอเดินเข้าไปในห้อง กลิ่นหอมจากตัวเอทำเอาผมเคลิ้มแถมเนื้อตัวก็นุ่มนิ่มน่าเอาไปทำหมอนข้างจริง ๆ
ผมจัดที่นั่งให้เธอนั่งบนเตียงแล้วหาอะไรมารองเท้าเธอก่อน แล้วเดินไปหยิบยามาทานวดให้ข้อเท้าที่บวมขึ้นเล็กน้อย ผมเขินที่ห้องชายโฉด เอ๊ย โสดอย่างผมมันรกเหลือร้าย เอ๊ะ! ได้ยินเธอเรียกตัวเองว่าหลินใช่มั๊ยนะ
“ขอบคุณคุณมาก ๆ นะ หลินซุ่มซ่ามหกล้มแล้วยังเข้าห้องพี่สาวไม่ได้อีก” ทั้งสายตาทั้งน้ำเสียงเธอทำเอาผมแทบละลายไปกองกับพื้น
“เอ่อ ดะ...ดื่ม ดื่มอะไรมั๊ยครับ มีกาแฟกับโกโก้”
“กาแฟค่ะ”
ผมถามแก้เขิน เธอยิ้มหวาน ผมลุกขึ้นไปชงกาแฟสองแก้วสำหรับเธอและผม แต่กระจกในห้องสะท้อนภาพเธอที่ก้มมองไปนวดเท้า เสื้อปาดของเธอถ่วงลงไปเห็นตับไตไส้พุงชวนหวาดเสียวจนผมเผลอทำน้ำร้อนลวกมือตัวเอง
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
“ปะ...เปล่าครับ”
“เอ๊ะ! นี่รองเท้าใครคะ? ของแฟนคุณหรือของคุณ?”
เธอถามเมื่อรับถ้วยกาแฟจากผม ผมทำหน้างงก่อนที่จะมองตามสายตาเธอไปที่รองเท้าสีแดงข้างนั้นที่มันใกล้หัวเตียง
“ไม่รู้ครับ” ผมสั่นหน้าดิก “คงเป็นของเจ้าของห้องคนก่อนลืมไว้มั้งครับ แล้วผมก็ไม่มีแฟนแถมไม่ใช่พวกวิตถารด้วย”
เธอหัวเราะกิ๊กกั๊กหยิบรองเท้าคู่นั้นพลิกไปมาเหมือนหารอยตำหนิแต่เมื่อรู้ว่าผมจ้องมองอยู่ เธอจึงหันมายิ้มหวานให้เหมือนไม่ได้ทำอะไรลงไปก่อนที่จะกระเถิบตัวมานั่งเบียดผมจนรู้สึกถึงไออุ่นจากกายเธอ
“พูดเป็นไรไปคุณก็ดูเป็นคนดีออก ยังอุตส่าห์ช่วยหลินเลย ทั้งที่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน”
“ก็ผมไม่หล่อ ไม่รวย แถมตอนนี้ยังตกงานนี่ครับ ผู้หญิงที่ไหนจะมาสนใจ” ผมหยิบรองเท้าแดงข้างนั้นมาพลิกไปพลิกมาแก้เขิน เอ่อ...ผมเพิ่งสังเกตว่าส้นของมันดูหนาผิดปกติ หรือเพราะเป็นดีไซด์ใหม่ก็ไม่รู้ ผมไม่ค่อยสนใจเรื่องพรรคนี้นัก
“มันคงไม่เลวร้ายขนาดนั้น ถ้าคุณรู้จักเปิดใจบ้างนะคะ แต่ก็ดีที่...”
“อะไรครับ”
“ก็คุณไม่ใช่พวกวิตถารไงคะ”
เธอหัวเราะเสียงดังทำให้ผมหัวเราะตาม ผมขยับแว่นแก้เขินแต่มือเรียวสวยของเธอเอื้อมมาดึงมันออกไปจากหน้าผมเสียก่อน
“ผู้หญิงหน่ะ ไม่ใช่แค่เรื่องเงินหรือหน้าตาหรอกค่ะแต่เราก็เลือกคนที่เราอยากฝากชีวิตอยู่อย่างมั่นคงก็เลย...เรื่องมากไปหน่อย”
“ระ...เหรอ...เหรอครับ”
“ค่ะ”
ใบหน้าของเธอเคลื่อนมาใกล้จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่รดอยู่เบื้องหน้า ผมหลบตาเธอแต่จ้องมองริมฝีปากที่เผยอขึ้นเหมือนเชิญชวน
“ฉันชักอยากรู้แล้วซิว่าคุณเป็นพวกวิตถารจริงหรือเปล่า”
ผมไม่ตอบคำถามแต่ให้ร่างกายเป็นคำตอบแก่เธอ ริมฝีปากเธออ่อนนุ่มชวนหลงใหล เนื้อกายก็หอมกรุ่น
“หลิน จะดีเหรอ” ผมถามเหมือนคนละเมอ
“คุณไม่ต้องการหลินเหรอคะ”
ใครจะไม่ชอบ ผู้หญิงสวยๆมาอยู่ตรงหน้าแบบนี้ มือเล็กเลื่อนมาจับที่เป้ากางเกงขยำเน้นๆจนผมครางออกมา
“อย่าคิดมากซิคะ ถือว่านี่เป็นของขวัญก็แล้วกันจากหลินก็แล้วกัน” เธอรูปซิบกางเกงผมแล้วจับเจ้าหนูออกมารูดขึ้นลงเร็วๆ ผมมองเธอทำแล้วก็กลืนน้ำลายลงคอ ผู้ชายไม่เอาไหนอย่างผมนี่นะ
................
แดดยามเช้าแยงตาจนผมต้องยกมือขึ้นขยี้ตา ผมพลิกหมอนขึ้นปิดหน้าไม่อยากตื่นจากฝันหวาน ใช่! มันต้องฝันไปแน่ ๆ เมื่อคืนมีหญิงสาวและสวยมากมานอนเป็นเพื่อน ดูซิ!ผมต้องละเมอไปแน่ ๆ เพราะกลิ่นหอมจากตัวเธอคนนั้นยังติดหมอนอยู่เลย ชื่ออะไรนะ ชื่อ...
“หลิน!”
ผมลุกพรวดจากที่นอน นอกจากผ้าห่มบาง ๆ ที่คลุมตัวอยู่ก็ไม่มีผ้าสักชิ้นอยู่บนตัวผม ให้ตายซิ! ผมไม่ใช่คนชอบนอนแก้ผ้านะเนี่ย! ผมเหลียวมองรอบกายไม่มีแม้แต่เงาคน หรืออะไรสักอย่างที่บ่งบอกว่ามีใครอยู่ในห้องแล้ว
แต่แก้วกาแฟที่ยังไม่ได้ล้างสองใบวางใกล้กันนั้น และใบหนึ่งยังมีรอยลิปสติกอยู่ทำให้รู้ว่า ‘หลิน’ มีตัวตนจริง ๆ
ผมรีบคว้าเสื้อผ้ามาใส่และวิ่งลงมาที่ชั้นล่าง ร้านขายของชำเปิดแต่เช้าตรู่ บางทีอาจจะมีคนเห็นหลินก็ได้ ผมไม่อยากทำตัวเหมือนผู้ชายที่ชอบฉกฉวยและ ที่ไร้ความรับผิดชอบ
“แป๊ะ! เห็นผู้หญิงสาว ๆ สวย ๆ ลงมาบ้างมั๊ย!”
“ก็ไม่เห็นนี่ แป๊ะตื่นมาใส่บาตรแต่เช้าก็ไม่มีมีใคร เค้าไปทอดกินกันหมดแล้วไม่ใช่เหรอ จะมีใครอีกเหรอ” อาแป๊ะเหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นมีใคร ก็กระซิบที่ข้างหูของผม
“ผู้หญิงที่ชอบใส่เสื้อรัดๆ กระโปรงสั้น ๆ ใช่มั๊ย นั่นนะเคยอยู่ห้องลื้อมาก่อน แต่ตอนนี้ไม่รู้อีไปอยู่ไหน มีคนมาตามหาอีบ่อย ๆตำรวจก็มา เค้าว่ากันว่าอีเป็นนักร้องคาเฟ่เป็นเด็กเสี่ย บางคนบอกอีเป็นเมียน้อยเสี่ยโดนเมียหลวงตามเก็บ แต่ตำรวจบอกว่าอีเป็นพวกขายยาบ้า แต่ได้ยินพวกช่างทาสีบอกว่าอีฆ่าตัวตายในห้องเจ้าของแมนชั่นถึงให้ทาสีใหม่เพราะล้างคราบเลือดไม่ออก!”
ผมสับสันเป็นที่สุด ไม่รู้จะเชื่อคำบอกเล่าของใครดี เธอเป็นคนดี เป็นคนร้าย หรือเป็นวิญญาณมาหลอกหลอน ผมเดินเอ๋อ ๆ กลับมาที่ห้องแต่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นรองเท้าสีแดงข้างนั้นส้นหัก! มันวางบนโต๊ะและมีกระดาษโน้ตลายมือน่ารัก ๆ เขียนไว้ว่า...
‘ขอบคุณที่เก็บรองเท้าไว้ให้นะคะ คุณมีน้ำใจกับคนแปลกหน้าอย่างฉันมาก ฉันได้ของที่ต้องการแล้ว ก็เลยให้รองเท้าข้างนี้ไว้ดูต่างหน้านะคะ เพื่อวันหนึ่งคุณจะได้คิดถึงฉันบ้าง’
หลิน
ผมหยิบรองเท้าสีแดงข้างนั้นขึ้นมาดู ส้นรองเท้าเหมือนถูกทำเป็นพิเศษเพื่อเก็บบางสิ่งไว้ข้างในได้ เหมือนมีก้อนกรวดใส ๆ เล็ก ๆ อยู่ก้อนหนึ่ง ผมเคาะให้มันหล่นบนฝ่ามือ ก่อนจะหยิบขึ้นส่องดูกับแสงแดดภายในห้อง
บางที ที่ใครต่อใครตามหาอาจไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้นหรอก แต่เป็นเจ้าสิ่งของที่ผู้หญิงคนนั้นเก็บไว้ต่างหาก ผมหัวเราะออกมาเบา ๆ ผมไม่รู้ว่าเธอคือใคร เป็นอะไรกันแน่แต่ที่แน่ ๆ ผมคงไม่มีวันลืมผู้หญิงคนนั้นแน่ ๆ แต่ก็แอบหวังว่าเธอจะมาเอารองเท้าของเธอกลับไป
ภาพประกอบ : AI