Iphone 15 น่าใช้ไหม? เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสีย
เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสีย Iphone 15 หลังมีหลายคนใช้งานไปแล้วเกิดมีปัญหาขึ้น
ข้อดี
1.iPhone 15 มาพร้อมพอร์ต USB-C
ข้อดีของสายชาร์จแบบ USB-C คือมีเทคโนโลยี Fast Charge ซึ่งสามารถรองรับทั้งแบบชาร์จไวด้วยกระแสไฟฟ้าหรือแอมป์ โดยมีหน่วยของกระแสไฟฟ้าเป็นวัตต์ (W) และแบบชาร์จไวด้วยแรงดันไฟฟ้า โดยมีหน่วยของแรงดันเป็นโวลท์ (V)
นอกจากนั้น USB-C ยังเป็นสายชาร์จที่เสียบได้ทุกด้านไม่ต้องคอยพลิกหาด้านที่ถูกต้องทำให้เพิ่มความสะดวกในการชาร์จ และเมื่ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เปลี่ยนมาใช้สายชาร์จประเภทเดียวกันก็จะลดค่าใช้จ่ายในการซื้อสายชาร์จ และไม่จำเป็นต้องพกสายชาร์จหลายอันอีกด้วย
2.ชิปเซ็ต A17 Bionic
ชิปเซ็ต A17 Bionic จะถูกผลิตด้วยสถาปัตยกรรมการผลิตขนาด 3 นาโนเมตรรุ่นที่ 2 ของ TSMC ซึ่ง Apple จะเป็นผู้ผลิตสมาร์ตโฟนรายเดียวที่ใช้ชิปเซ็ตระดับ 3 นาโนเมตรนี้ ถึงแม้จะมีข่าวลือออกมาว่าชิปเซ็ต A17 Bionic อาจแรงไม่ต่างจากรุ่นเดิมมากนัก
เนื่องจากชิปเซ็ต A16 ก็ผลิตด้วยสถาปัตยกรรมขนาด 5 นาโนเมตร แต่ชิปเซ็ต A17 Bionic จะเน้นในเรื่องการประหยัดพลังงานมากกว่าเดิมถึง 35% ทำให้แบตเตอรี่ใช้ได้ยาวนานกว่าเดิม ส่วน iphone 15 และ iPhone 15 Plus น่าจะยังใช้ชิปเซ็ต A16 Bionic เช่นเดิม
3.Dynamic Island
ทุกรุ่นจะมาพร้อมกับ Dynamic Island เหมือนกับใน iPhone 14 Pro ฟีเจอร์ Dynamic Island หรือ เกาะหรรษา คือการออกแบบระบบปฏิบัติการโดยคำนึงถึงรูกล้องหน้าที่อยู่บนหน้าจอ
และใช้แสดงการแจ้งเตือนกิจกรรมต่าง ๆ เช่น แบตเตอรี่ต่ำ หรือสัญลักษณ์แสดงการใช้งานแอปต่าง ๆ และยังรองรับการสัมผัสเพื่อใช้งานเปิดฟังก์ชั่นต่าง ๆ ทำให้ดูสวยงาม และมีลูกเล่นหรือแอปพลิเคชั่นมากมายที่ใช้กับเกาะหรรษานี้ได้อีกด้วย
4.ปุ่มแบบ Solid State
iPhone 15 Pro จะมาแบบไร้ปุ่มกดหรือใช้ปุ่มแบบสัมผัส ทั้งปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงและปุ่มเปิด-ปิดเครื่องจะเป็นแบบ Solid State แทน คือเป็นปุ่มระบบสัมผัสซึ่งต้องใช้การสัมผัสจากผิวหนังโดยตรง คล้ายกับการกดบนแทร็คแพดของ Macbook ซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนกดปุ่มแต่ไม่ใช่ปุ่มจริง ๆ ไม่ต้องลงน้ำหนักเวลากด
และจะมาพร้อมกับระบบสั่น Haptic เวลากดสั่งการจะมีระบบสั่นตอบสนองเหมือนกดปุ่มจริง ๆ นอกจากนั้นการใช้ปุ่มแบบ Solid State นี้มีส่วนช่วยให้ iPhone 15 ป้องกันน้ำได้ดียิ่งขึ้น เพราะจะมีดีไซน์ปุ่มที่เรียบเนียนไปกับขอบข้างของเครื่อง
5.กระจกหลังเครื่องเป็นแบบ Frosted Glass หรือกระจกฝ้ากันรอยนิ้วมือใน iPhone 15 pro ขึ้นไป
6.iPhone 15 ทุกรุ่นรองรับ Magsafe เพื่อรองรับการชาร์จแบบไร้สาย
7.ตัวเครื่องโค้งมน ให้หยิบจับได้ง่ายขึ้น
8.มีความจุสูงสุดถึง 2TB
9.Wi-fi 6E ใน iPhone 15 pro ขึ้นไปซึ่งเป็นแบนด์วิดช์ที่มีเสถียรภาพสูงเมื่อเชื่อมต่อสัญญาณอินเตอร์เน็ต
10.ใช้โมเด็ม Qualcomm X70 ที่เร็วขึ้น สัญญาณชัดเจนกว่าเดิม และประหยัดพลังงานลงถึง 60%
แต่ก็ยังมีคนที่ซื้อไปใช้งานแล้วเกิดปัญหา หรือเหล่า Youtuber ได้นำออกมาทดสอบกันซึ่งปัญหาที่พบกันได้หลักๆ มีดังนี้
1.เกิดความร้อนสูง
เป็นปัญหาแรก ๆ เลยที่มีรายงานเข้ามาจากผู้ใช้เยอะมาก ว่า iPhone 15 Pro / Pro Max เมื่อใช้งานไปซักพักแล้วเครื่องร้อนมากผิดปกติ แม้จะไม่ได้ใช้งานอะไรหนัก ๆ เลย บางคนไถ IG ดูแป๊บเดียวเครื่องก็ร้อนฉ่าแล้ว (มีคนลองวัดอุณหภูมิพบว่าขึ้นไปสูงสุดถึง 47 องศาเซลเซียสเลย) ก็มีการคาดการณ์ไปต่าง ๆ นานา ว่าเป็นเพราะความแรงของชิป A17 Pro รึเปล่า หรือว่าเป็นเพราะตัวเครื่องไทเทเนียม ที่ทำให้เครื่องร้อนได้ขนาดนี้
2.แบตบวม
ด้วยความที่เครื่องร้อนจัด ทำให้ผู้ใช้บางรายเจออาการแบตเตอรี่บวมจนดันหน้าจอของ iPhone 15 Pro นูนออกมา หลังจากได้เครื่องมาไม่กี่วันเท่านั้น
3.กรอบเครื่องไทเทเนียมไม่ทนรอยขีดข่วน
iPhone 15 Pro / Pro Max มีจุดเด่นที่เหนือกว่ารุ่นที่ผ่าน ๆ มาคือ เฟรมเครื่องใช้วัสดุที่เป็นไทเทเนียมเกรดเดียวกับที่ใช้ทำยานอวกาศ ซึ่งแม้ว่าจะมีความทนทานสูง และมีน้ำหนักเบา แต่ผิวของไทเทเนียมกลับเป็นรอยขีดข่วนได้ง่ายมาก ๆ โดยเว็บไซต์ iFixit ที่มักจะทำคลิปสอนแกะเครื่องซ่อมเครื่องเอง ออกมาเตือนเรื่องนี้ไว้ด้วย
4.ฝาหลังแตกง่าย
แค่เอานิ้วโป้งกดไปที่กลางเครื่องด้านหลังด้วยแรงที่ไม่มากนัก ก็ถึงกับงงจนอึ้งไปแป๊บนึง เพราะฝาหลังของ iPhone 15 Pro Max แตกร้าวไปทั้งแผง
โดยทาง Apple ออกมายอมรับ เครื่องร้อนจริง แต่เกิดจากซอฟท์แวร์ อัปเดตก็หาย ปัญหาดังกล่าวมาจากบั๊กใน iOS 17 เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับชิป A17 หรือตัวเครื่องไทเทเนียม และเตรียมปล่อยอัปเดตแก้ปัญหาให้เร็ว ๆ นี้
ซึ่งต้องคอยจับตาดูต่อไปว่า Apple จะแก้ไขและพัฒนาอย่างไร จะคุ้มค่าที่จะซื้อหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแต่ละบุคคล