Waverly Hills ตำนานโรงพยาบาลที่มี"ผีสิง"มากที่สุด
“เวฟเวอรี่ ฮิลส์” Waverly Hills โรงพยาบาลทรมานคนสุดหลอน แห่งศตวรรษที่ 20
“ไมค์ ฟลิกเนอร์” นักล่าผีบอกว่าสถานที่แห่งนี้นั้นน่าจะเต็มไปด้วยดวงวิญญาณของคนที่เสียชีวิตไปแล้วเมื่อในอดีต ผู้ป่วยที่ตายอยู่ในสถานที่แห่งนี้คือคนที่เคยมีความหวังว่าพวกเขาจะหาย
เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 1910 สถานที่แห่งนี้ได้เปิดให้บริการ โดยรับรักษาผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ที่อยู่ในเขตรัฐเคนทักกี ที่สหรัฐอเมริกา เพื่อจุดประสงค์ในการรักษาและควบคุมการระบาด “โรควัณโรค” และอีกอย่างที่สำคัญนั้นก็คือสถานที่แห่งนี้นั้นยังทำการทดลองวิจัยผลเลือดของผู้ป่วยวิกฤตอีกด้วย
ในสมัยก่อนนั้นเล่ากันว่าที่โรงพยาบาลแห่งนี้นั้นถูกหลายๆให้ฉายาว่ามันคือ "โรงพยาบาลที่ทันสมัยที่สุดในประเทศในช่วงเวลานั้น" แต่การรักษาที่พวกเขานั้นกำหนดขึ้นมา กลับเป็นไปในทางการทดลองมากกว่าการดูแลรักษาที่ควรจะเป็น ซึ่งการทดลองดังกล่าวนั้นโหดร้ายและป่าเถื่อนมากๆ เพราะว่ามีผู้ป่วยมากกว่าหนึ่งพันคนนั้นเข้ามารับการรักษาโรค “วัณโรค” ที่พวกเขานั้นเรียกว่า “โรคระบาดสีขาว”
ส่วนสิ่งที่ทำให้หลายๆคนนั้นขนหัวลุกก็คือ “รางศพ” ยาว 500 ฟุต ที่มีเอาไว้ใช้สำหรับ “ทิ้งศพ” ที่พวกเขานั้นจะนำมาใช้เข็นร่างผู้ป่วยที่เสียชีวิตไปแล้วออกไปทิ้งในตอนกลางคืน เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยคนอื่นๆที่เข้ารับการรักษาอยู่ในโรงพยาบาลมองเห็นว่ามีคนจำนวนมากน้อยเท่าไหร่แล้วที่เสียชีวิตไปจากการทดลองดังกล่าว
ส่วนผีที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดตนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในสถานที่แห่งนี้นั้นก็คือ ผีเด็กขี้เล่นที่ชื่อว่า “ทิมมี่” ที่เล่าปากต่อปากกันมาว่า มันชอบเดินเล่นไปตามเส้นทางต่างๆและชื่นชอบการเล่นบอลมากๆ ซึ่งหลายๆคนนั้นเล่าว่ามันชอบมาทักทายแขกผู้มาเยือนเป็นประจำ และเวลาที่นักล่าผีเข้ามาเยี่ยมสถานที่แห่งนี้นั้นพวกเขาทั้งหลายก็มักจะ กลิ้งลูกบอลไปตามทางเดินยาว เพราะเชื่อว่าผีเด็กทิมมี่จะกลิ้งลูกบอลส่งกลับมาให้เราตกใจ
ผีตัวอื่นที่นักล่าท้าผีชอบพูดถึงนั้นก็คือ ผีพยาบาลที่ผูกคอตายภายในห้อง 502 และยังมีผีตัวอื่นๆอีกมากมายที่ในอดีตนั้นเคยเป็นเจ้าหน้าที่ทำงานในสถานที่แห่งนี้ที่ได้กระโดดลงมาจากบนนตึกลงมาตายที่พื้น จนกลายเป็นเรื่องเล่าว่าเป็นที่ตั้งของกิจกรรมอาถรรพณ์สุดหลอนของคนล่าท้าผี
เตียงผู้ป่วย 400 เตียงได้รับการออกแบบมาอย่างดีเพื่อช่วยผู้ป่วย นั้นในความเป็นจริงกลับทำให้พวกผู้ป่วยเหล่านั้นต้องพบเจอกับการทดลองที่เลวร้ายและป่าเถื่อนมากที่สุด เพราะว่าในบางครั้งโรงพยาบาลแห่งนี้นั้นก็ปล่อยให้ผู้ป่วยนั่งหนาวเหน็บเพียงลำพังอยู่ที่เก้าอี้ แม้ว่าอากาศจะหนาวมากแค่ไหนหิมะตกมากเพียงใดลมจะแรงแค่ไหนหน้าต่างก็จะไม่มีวันถูกปิดลง
การทดลองโหดร้านที่สุด คือการฝังบอลลูนเอาไว้ในปอดของผู้ป่วยแล้วค่อยๆเติมอากาศเข้าไป และยังมีการถอดซี่โครงของผู้ป่วยออกมา 2-3 ซี่ออก เพราะเชื่อว่าออกซิเจนจะเข้าไปในปอดเยอะขึ้น ซึ่งความพยายามในการรักษาผู้ป่วยด้วยวิธีแปลกๆประหลาดๆนั้นก็ไม่ได้ส่งผลที่ดีมากกว่าผลที่เสียสักเท่าไหร่ เพราะว่าโอกาสที่ป่วยจะรอดจากการทดลองในครั้งนี้มีน้อยมากๆ
โดยคาดว่าผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากการทดลองในครั้งนี้นั้นน่าจะมีมากกว่าหนึ่งหมื่นราย ซึ่งการทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตจากการทดลองประกอบกับการพัฒนาด้านวิทยาการทางการแพทย์ช่วงทศวรรษที่ 1940 ส่งผลให้ Waverly Hills ต้องปิดตัวลงในปี 1961
ในปี 1962 Waverly Hills ได้ถูกเปิดให้บริการอีกครั้งในฐานะ “โรงพยาบาลสำหรับผู้สูงอายุและผู้พิการทางจิตใจ” และยังคงเปิดต่อไปในระยะเวลานานถึงยี่สิบปี แม้จะมีรายงานการว่าที่ Waverly Hills แห่งนี้ทารุณผู้ป่วยก็ยังเปิดต่อไปได้ ก่อนที่สถานที่ถูกทิ้งร้างให้ผุพังไปเพื่อเป็นการย้ำเตือนถึงอดีตที่เจ็บปวด
ชาร์ลส และ ‘ทีน่า แมตทิงลี ได้รับที่ดินแห่งนี้และเริ่มการบูรณะในปี 2001 เหล่าอาสาสมัครหลายคนที่อยู่ภายในสถานที่แห่งนี้นั้นต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ประตูสถานที่แห่งนี้นั้นชอบปิดเองแรงๆแบบไม่ทราบสาเหตุ และในบางครั้งพวกเขานั้นก็พบเขอกับชายปริศนาที่ใส่ชุดสีขาวลอยอยู่ตามทางเดิน
พ่อของ “ชาร์ลส แมตทิงลี” เคยทำงานที่แห่งนี้ในอดีตบอกว่า เขามีบันทึกที่ชี้ให้เห็นว่ามีผู้เสียชีวิตจำนวนมากอยู่สถานที่แห่งนี้ ก่อนที่มันจะปิดตัวลง หลังจากการพัฒนายาปฏิชีวนะสำเร็จและสามารถรักษาวัณโรคให้หายขาดได้
จากประวัติศาสตร์อันแสนมืดมน มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากจึงไม่น่าแปลกใจนักที่สถานพักฟื้นผู้ป่วยเวฟเวอร์ลี ฮิลส์จะเต็มไปด้วยเรื่องราวอาถรรพ์ ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมเยือนหลายคนอ้างว่าได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงผิดธรรมชาติภายในอาคารที่ว่างเปล่า ในขณะที่คนอีกจำนวนมากอ้างว่าเห็นผี ลูกกลมเรืองแสงและเงาคน พร้อมกับเรื่องเล่าการถูกสัมผัสร่างกายจากสิ่งที่มองไม่เห็น
บริเวณที่มีการกล่าวถึงเหตุการณ์อาถรรพ์มากที่สุดคืออุโมงค์ที่ถูกเรียกว่า “Body Chute” ที่มีความยาวกว่า 150 เมตร มันถูกใช้ในการขนย้ายร่างของผู้ป่วยที่เสียชีวิตออกไปจากอาคารผู้ป่วยโดยไม่ให้ผู้ป่วยคนอื่น ๆ เห็น สถานที่แห่งนี้มีหลายคนที่อ้างว่าได้ยินเสียงฝีเท้าและร่างที่ดูผิดแปลกไปจากมนุษย์
อีกบริเวณหนึ่งที่มีการมองเห็นผีบ่อยครั้งคือชั้น 4 ของอาคาร มีการพบเห็นเงาร่างที่เดินเตร่ไปตามทางเดิน บางร่างเงาก็คืบคลานไปตามพื้นและบางครั้งก็ไต่ขึ้นไปบนผนังสู่เพดานอย่างน่ากลัว
ห้องผ่าตัดเป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่มีข่าวลือ เชื่อว่าในห้องนี้ได้มีการผ่าตัดทำศัลยกรรมทดลองหลายต่อหลายครั้งโดยมีเป้าหมายที่จะบรรเทาความทุกข์ทรมานของผู้ป่วย แต่น่าเศร้าที่ดูเหมือนว่าความพยายามเหล่านั้นมักจะไม่ได้ผลนัก มีข่าวลือว่าประตูในห้องนี้มักจะเปิด-ปิด กระแทกตัวเองและบางคนที่ผ่านเข้าประตูมาภายในห้องจะเกิดความรู้สึกที่ไม่ดี
“ชาร์ลส แมตทิงลี” บอกว่าความฝันที่เขานั้นต้องการเปลี่ยนสถานที่แห่งนี้ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งเมื่อปี 2001 ต้องหยุดเอาไว้เพราะว่า ต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากเพื่อลดหย่อนภาษีและเพื่อให้การก่อสร้างดำเนินไปต่อให้แล้วเสร็จ