กัมพูชาเสี่ยงวิกฤตคล้ายลาวเพราะเพิ่งทุนจีนมากเกินไป
จากวิกฤติค่าเงินลาว ที่อ่อนค่าขั้นรุนแรงเมื่อเทียบกับบาทไทย โดยเมื่อวันที่ 15 ต.ค. 2564 จำนวน 1 บาทแลกได้ 300 กีบ แต่ปัจจุบัน 1 บาทสามารถแลกได้สูงถึง 550 กีบ ยังมีอีกประเทศหนึ่งที่สุ่มเสี่ยงไม่แพ้กัน คือ “กัมพูชา”
เพื่อนบ้านไทยอย่างประเทศกัมพูชาพึ่งพาเงินลงทุนส่วนใหญ่จากจีน ในสัดส่วนสูงถึงกว่า 70% และยิ่งเศรษฐกิจจีนชะลอตัวอย่างรุนแรง ประกอบกับต้นทุนสินค้านำเข้าที่สูงขึ้นจากดอกเบี้ยนโยบายขาขึ้นของธนาคารกลางทั่วโลก กลายเป็นความเสี่ยงว่า ค่าเงินเรียลของกัมพูชาจะซ้ำรอยกรณีลาว
กัมพูชา” กลายเป็นประเทศที่ควรเฝ้าระวังต่อจาก “ลาว” ที่ประสบวิกฤติ “ค่าเงินอ่อน” เนื่องจากเศรษฐกิจกัมพูชาพึ่งพาจีนสูงมาก ขณะที่เศรษฐกิจจีนตอนนี้เผชิญภาวะซบเซาครั้งใหญ่ ซึ่งหากยักษ์เศรษฐกิจเอเชียเผชิญวิกฤติขึ้นมา อาจทำให้กัมพูชาเสี่ยงล้มตามไปด้วย
- กัมพูชาพึ่งพาเม็ดเงินการลงทุนโดยตรง (FDI) จากประเทศจีน สูงถึง 73.5%
- จำนวนตึกร้างในสีหนุวิลล์ เมืองชายฝั่งของกัมพูชา มีจำนวนสูงถึงพันแห่ง กลายเป็นปัญหาเสื่อมโทรมทางอาคารที่ถูกทิ้งไว้ รอการแก้ไข
- ยอดหนี้ไมโครไฟแนนซ์ของกัมพูชาพุ่งสูงมากกว่า 16,000 ล้านดอลลาร์หรือเกือบครึ่งหนึ่ง GDP
ผลกระทบที่ชัดเจนจากการผูกเศรษฐกิจกับจีนมากเกินไป คือ ตึกร้างในสีหนุวิลล์ เมืองชายฝั่งของกัมพูชา โดยก่อนช่วงโควิด-19 มีทุนจีนเข้ามาลงทุนสร้างอสังหาริมทรัพย์เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อจีนปิดประเทศเพื่อควบคุมการระบาดโควิด-19 ตึกเหล่านี้ถูกทิ้งร้าง สร้างไม่เสร็จกว่าพันแห่ง กลายเป็นปัญหาเสื่อมโทรมทางอาคารที่รอการแก้ไขต่อไป