ตำนาน และนิทานพื้นบ้าน จังหวัดบึงกาฬ
ภูทอกแหล่งพระธรรม ค่าล้ำยางพารา งามตาแก่งอาฮง บึงโขงหลงเพลินใจ น้ำตกใสเจ็ดสี ประเพณีแข่งเรือ เหนือสุดแดนอีสาน นมัสการหลวงพ่อใหญ่ ศูนย์รวมใจศาลสองนาง
นิทานเรื่อง ท้าวลินทอง กับความหมาย “บึงที่กั้นน้ำเอาไว้”
“สมัยก่อน มียักษ์ตนเหนึ่งปกครองแคว้นนี้ มีชื่อว่า ยักษ์กัลษา อาศัยอยู่ภูหอภูโฮง เป็นภูเขาใหญ่อยู่ในลาว ยักษ์มีลูกสาวชื่อว่า พระนางสีชมพู อาศัยอยู่ในดงทึบใหญ่ ดงนั้นเรียกตามชื่อของลูกพญาว่า “ดงสีชมพู” พระนางสีชมพู ชอบมาเที่ยวดงสีชมพูเป็นประจำ บังเอิญมาพบรักกับบุรุษผู้หนึ่ง ซึ่งมีฤทธามากชื่อ ท้าวลินทอง สุดท้าย ก็ลักลอบได้เสียกัน พอยักษ์กัลษารู้ ก็เสียใจมาก จะฆ่าท้าวลินทองให้ตาย ด้วยท้าวลินทองมีฤทธิ์มาก พอถูกนางยักษ์ไล่จับ ก็แปลงกายให้เป็นรูปสัตว์ต่างๆ พอยักษ์ไล่มาถึงหนองน้ำแห่งหนึ่ง ท้าวลินทอง ก็กายร่างเป็นปลาเข็ง(หรือปลาหมอ) ยักษ์กัลษา ก็คุ้ยเขี่ยหาปลาเข็งทอง เพื่อฆ่าให้ตาย กวนน้ำหาปลา จนหนองขุ่นข้น ในที่สุดก็หาเจอ หนองนั้น เรียกว่า “หนองยอง” อยู่ใกล้ๆ “หนอง(ปา)เข็ง”
พอยักษ์กำลังจะจับปลาเข็งได้ ปลาเข็งก็แปลงกายเป็นม้า วิ่งเร็วสุด เพื่อหนียักษ์กัลษา พอวิ่งมาถึงหนองน้ำบ้านท่าไคร้ ม้าเหนื่อยมาก จึงวิ่งสามขา หนองน้ำจึงเรียกว่า “หนองสามขา” ยักษ์ก็วิ่งตามจนมาถึงหนองน้ำอีกแห่ง ม้าก็เหนื่อยมาก จนวิ่งไม่ตรง(ตะแคงหรือเหงี่ยง) หนองน้ำนี้จึงชื่อว่า “หนองเงี่ยง” ม้าหนีสุดกำลังเลย จะวิ่งข้ามไปฝั่งลาว ยักษ์กัลษา จึงเนรมิตบึงขึ้นมากานม้าไว้ทันที กลายเป็น “บึงกาน” (กาน ในภาษาลาวและอีสาน คือ กั้น) เมื่อม้าเห็นบึงกั้นอยู่ ก็วิ่งหนีวนไปทางอื่น บังเอิญอานม้าหลุดที่บ่อเกลือแห่งหนึ่ง จึงเรียกว่า “บ่ออาน” และด้วยความอ่อนเพลีย ม้าลินทอง ก็หนีไม่พ้นน้ำมือนางยักษ์ ถูกฆ่าตายในที่สุด ดังมีศาลม้าตายที่บ่ออาน (ปัจจุบันน้ำท่วมแล้ว) ท้าวสกเทวราชเห็นว่า นางยักษ์โหดเหี้ยมผิดธรรมชาติ ฆ่าได้แม้ผู้มีฤทธา จึงสาบให้กลายเป็นหิน สถิตอยู่ที่ภูหอภูโฮง ตั้งแต่บัดนั้น ครั้งใดที่มองออกไปแม่น้ำโขง ก็จะเหมือนเห็นยักษ์นอนอยู่”
บึงกาฬ เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตอนบนสุดของประเทศไทย อยู่ห่างจากกรุงเทพมหานคร 765 กิโลเมตร จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติตั้งจังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. 2554 อันมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2554 โดยแยกอำเภอบึงกาฬ อำเภอเซกา อำเภอโซ่พิสัย อำเภอบุ่งคล้า อำเภอบึงโขงหลง อำเภอปากคาด อำเภอพรเจริญ และอำเภอศรีวิไล ออกจากการปกครองของจังหวัดหนองคาย จังหวัดบึงกาฬ จัดตั้งเป็นจังหวัดลำดับที่ 76 ของประเทศไทย เป็นจังหวัดท่องเที่ยว เมืองรองที่สำคัญ ของจังหวัดแถบลุ่มแม่น้ำโขง
บึงกาฬ เดิมเป็น อำเภอไชยบุรี ในเขตการปกครองของ จังหวัดนครพนม ซึ่งมีที่ว่าการอำเภอ ตั้งอยู่ที่บริเวณปากน้ำสงคราม ไชยบุรี เดิมชื่อ "เมืองไชยสุทธิ์อุตมบุรี" อยู่ในเขตการปกครองของเมืองเวียงจันทน์ ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของไทยในสมัยนั้น ตามแผ่นศิลาจารึกที่วัดไตรภูมินั้น ประวัติของเมืองไชยบุรี ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2351 หัวหน้าชาวไทยญ้อชื่อ ท้าวหม้อและนางสุนันทา ได้พาบุตรและบ่าวไพร่ อพยพโยกย้ายผู้คนพลเมืองจากเมืองหงสา (ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ตอนเหนือเมืองหลวงพระบาง) อพยพลงมาตามแม่น้ำโขง ลงมาตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณปากน้ำสงครามในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ได้รวบรวมผู้คนมาสร้างเมืองใหม่ขึ้น และตั้งชื่อว่า “เมืองไชยสุทธิ์อุตมบุรี” ขึ้นตรงต่อเมืองเวียงจันทน์ เจ้าผู้ครองนครเวียงจันทน์ ได้ตั้งให้ท้าวหม้อเป็นพระยาหงสาวดี และท้าวเล็กน้องชายท้าวหม้อเป็นอุปราชวังหน้า ท้าวหม้อมีบุตรชายคนโตชื่อท้าวโสม
พ.ศ. 2357 ได้สร้าง"วัดศรีสุนันทามหาอาราม"ต่อมาเรียกว่า"วัดไตรภูมิ" ซึ่งได้พบแผ่นศิลาจารึกในวัดนี้แปลออกมาได้ความว่า "พระศาสนาพุทธเจ้า ล่วงลับไปแล้ว 2357 พรรษา พระเจ้าหงสาวดีทั้งสองพี่น้องได้มาตั้งเมืองใหม่ในที่นี้ให้ชื่อว่า "เมืองไชยสุทธิ์อุตมบุรี" ในปีจอ ฉศก ตรงกับปีกาบเล็ด ในเดือน 4 แรม 11 ค่ำ วันอังคาร ภายนอกมีอาญาเจ้าวังหน้าเสนาอำมาตย์สิบร้อยน้อยใหญ่ ภายในมีเจ้าครูพุทธา และเจ้าชาดวงแก้ว เจ้าชาบา เจ้าสีธัมมา เจ้าสมเด็จพุทธา และพระสงฆ์สามเณรทุกพระองค์ พร้อมกันมักใคร่ตั้งใจไว้ยังพุทธศาสนา จึงให้นามวัดนี้ว่า "วัดศรีสุนันทามหาอาราม" ตามพุทธบัญญัติสมเด็จพระองค์เจ้า ซึ่งมีจิตตั้งไว้ในพุทธศาสนาสำเร็จในปีกดสี เดือน 5 เพ็ญวันจันทร์ มื้อฮวงมด ขอให้ได้ตามคำมัก คำปรารถนาแห่งปวงข้าทั้งหลาย เทอญ"
ชื่อเดิมตามศิลาจารึกว่า "เมืองไชยสุทธิ์อุตมบุรี" นั้นหมายถึงเมืองที่มีชัยชนะและอุดมสมบูรณ์ ที่ได้ชื่ออย่างนี้ก็เพราะว่า ในสมัยที่ตั้งเมืองนั้นมีการทำสงครามระหว่างกรุงเทพฯ - เมืองเวียงจันทน์ - ญวนอยู่บ่อยๆ สำหรับเรื่องความอุดมสมบูรณ์นั้นเล่ากันว่า ไชยบุรีเป็นเมืองที่ "ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว" อย่างอุดมสมบูรณ์เพราะตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงและแม่น้ำสงครามจึงจับปลา ได้อย่างสะดวก และไม่ได้พูดเกินความจริงเลยว่า สมัยเมื่อ 40-50 ปีที่ผ่านมา ปลาในแม่น้ำโขงแม่น้ำสงครามมีมาก ขนาดที่เพียงแต่พายเรือเลียบไปตาม ริมฝั่งน้ำในเวลา ประมาณ 1 ทุ่มเป็นต้นไปโดยพายไปเบาๆ พอไปถึงจุดใดจุดหนึ่งแล้วก็กระทึบเรือ หรือขย่มเรือให้มีเสียงดังก็มีปลา (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นปลาสร้อย) ตกใจแล้วกระโดดเข้าไปในเรือเองเป็นจำนวนมาก ทำอย่างนี้ไปประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้นก็ได้ปลาเหลือใช้แล้ว แจกญาติพี่น้อง แต่ภายหลังมาเปลี่ยนเป็น "ไชยบุรี" นั้นก็เพราะว่า ค่านิยมในเรื่องภาษา หรือการใช้ภาษาในท้องถิ่นนี้ ไม่ชอบพุดคำยาวๆ เช่น "เมืองไชยสุทธิ์อุตมบุรี" ก็ใช้เพียงคำ หัว กับ ท้าย ส่วนกลางตัด ดังนั้นจึงเหลือเพียง "ไชยบุรี" เท่านั้น เพราะเรียกง่ายและจำง่าย
ตำนานเล่าขานว่า ไชยบุรี ไม่ได้เป็นเมืองของผู้ไทยโดยแท้ แต่มีตำนานสอดคล้องกับชาวผู้ไทย ไชยบุรี เดิมเป็นเมืองปากน้ำศรีสงคราม ตามพงศาวดารรัชกาลที่ 3 ว่าได้รับการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ยกขึ้นเป็นเมือง ในสมัยรัชกาลที่ 3 การยกขึ้นเป็นเมืองคราวนี้ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเล่าว่า มีเรื่องประหลาด ที่หม่อมฉันไปทราบความในท้องถิ่นว่า
".....ดั้งเดิม ราษฎรเมืองท่าอุเทน กับเมืองไชยบุรี ซึ่งอยู่ในแนวลำน้ำโขงติดต่อกัน อพยพหนีไปอยู่ทางฝั่งซ้ายใกล้แดนญวน พวกชาวเมืองไชยบุรีกลับมาก่อน เห็นว่า ที่นาเมืองท่าอุเทนดี จึงพากันไปตั้งอยู่ที่เมืองท่าอุเทน เมื่อชาวเมืองท่าอุเทนกลับมา พบเห็นว่า บ้านเดิมของตน กลับเป็นของคนอื่นแล้ว จึงพากันไปตั้งอยู่เมืองไชยบุรี ราษฎรก็ไขว้เมืองกันมาตั้งแต่นั้น.....”
ตามหนังสือฝั่งขวาแม่น้ำโขงกล่าวว่า ได้โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ยกบ้านปากน้ำสงคราม ขึ้นเป็นเมืองไชยบุรี เมื่อ พ.ศ. 2373 ในสมัยรัชกาลที่ 3 เกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์ ท้าวหม้อกลัวภัย จึงอพยพพาครอบครัวบ่าวไพร่ หนีไปเมืองปุงลิง เมืองไชยสุทธิ์อุตมบุรี จึงเป็นเมืองร้าง เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งพระยาราชสุภาวดี (สิงห์) แม่ทัพไทย ยกทัพมาปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์ครั้งที่ 2 ได้จัดราชการหัวเมืองภาคอีสานด้วย โดยสั่งให้พระยาวิชิตสงคราม ตั้งทัพอยู่ที่เมืองนครพนม ให้ราชวงศ์ (แสน) จากเมืองเขมราฐ เป็นนายด่าน ตั้งกองรักษาปากน้ำสงคราม คุมไพร่พลไปตั้งอยู่ "เมืองไชยสุทธิ์อุตมบุรี" ซึ่งเป็นเมืองร้าง โดยมีท้าวไชย กรมการเมืองยโสธร (ท้าวไชย บุตรอุปฮาด เมืองอุบลราชธานี) ท้าวขัตติยะ กรมการเมืองอุบลราชธานี พาไพร่พลเมืองยโสธร และเมืองอุบลราชธานี มาเป็นกำลังรักษาด่านด้วย) เมื่อปราบขบถจนราบคาบแล้ว ต่อมาเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี)จึงได้ทูลขอรัชกาลที่ 3ปูนบำเหน็จ ได้มีท้องตราราชสีห์ แต่งตั้งให้ ราชวงศ์ (แสน) เป็น พระยาไชยราชวงษา ปกครองเมืองไชยบุรี (เมืองไชยสุทธิ์อุตมบุรี) ซึ่งเป็นต้นตระกูล “เสนจันทร์ฒิไชย” ในปัจจุบัน
เมื่อปราบปรามกบฏเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ จบลงแล้ว พ.ศ. 2376 พระยามหาอำมาตยาธิบดี (ป้อม อมาตยกุล) เป็นแม่ทัพ ตั้งอยู่ ณ เมืองนครพนม อีกครั้งหนึ่ง ได้ไปกวาดต้อนผู้คนทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ตามแนวบริเวณใกล้กับแดนญวน อันมีกลุ่มชาติพันธ์ต่างๆ เช่น ผู้ไท ข่า โซ่ กะเลิง แสก ญ้อ และโย้ย ให้เข้ามาตั้งถิ่นฐานทางฝั่งขวาแม่น้ำโขง เพื่อมิให้เป็นกำลังแก่เจ้าอนุวงศ์ และญวน และได้เกลี้ยกล่อมชาวเมืองปุงลิง ซึ้งเป็นชาวไทยญ้อ ให้กลับมาด้วย โดยมาตั้งถิ่นฐานที่บ้านท่าอุเทนร้าง ริมฝั่งขวาแม่น้ำโขง เป็นที่ตั้งเมืองใหม่ ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ 3 มีพระบรมราชโองการ แต่งตั้งให้ท้าวพระปทุม เจ้าเมืองปุงลิง เป็นพระศรีวรราช เจ้าเมืองท่าอุเทนคนแรก ต้นตระกูล“กิตติศรีวรพันธ์” ในปัจจุบัน
เมื่อ พ.ศ. 2384 โดยมีพระมหาสงครามเป็นแม่ทัพ ได้เกณฑ์กองทัพจากเมืองท่าอุเทน เมืองไชยบุรี เมืองสกลนคร เมืองแสน รวมกำลังพล 3,300 คน (พงศาวดารรัชกาลที่ 3) ซึ่งพอจะสันนิษฐานได้ว่า เมืองไชยบุรี ได้ตั้งเป็นเมืองอย่างมั่นคงแล้ว จากสาส์นตราเจ้าพระยาจักรี สมัยรัชกาลที่ 3 พ.ศ. 2381 ได้กล่าวถึงเมืองไชยบุรีว่า อนึ่ง หลวงศรีโยธา หมื่นภิรมย์รักษา ข้าหลวง หลวงประสิทธิ์สงคราม กองนอกเมืองนครราชสีมา พระสุนทรราชวงษา พระยาไชยสุนทรเมืองกาฬสินธุ์ บอกไว้แต่ก่อนว่า ครอบครัวเมืองคำเกิด บ้านนาอาว นาซอง ชาย หญิง ใหญ่น้อย 200 คน ได้ข้ามมาทางเมืองไชยบุรี เจ้าเมืองกรมการเมืองไชยบุรีว่าครอบครัวนี้ เป็นครอบครัวเวียงจันทน์ อุปฮาดราชวงศ์เมืองคำเกิด คำม่วน ว่าเป็นครอบครัวเมืองคำเกิด เมืองคำม่วน เวียงจันทน์ชักเอาไป
ครั้นเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์แตกไปอยู่เมืองมหาชัย เจ้าอนุเวียงจันทน์มอบครอบครัวนี้ ให้เมืองคำเกิด คำม่วนตามเดิม เจ้าเมืองไชยบุรี ก็ส่งครอบครัวคืนให้ไป 67 คน ชักเอาไว้ที่เมืองไชยบุรี 133 คน ครอบครัวเมือง คำเกิด คำม่วน ข้ามมาทางเมืองท่าอุเทน ชาย หญิง ผู้ใหญ่ 153 คน พระศรีวรราช เจ้าเมืองท่าอุเทน ชักเอาไว้ 30 คน และส่งไปอยู่ที่บ้านแซงกระดาน 123 คน นั้น พระสุนทรราชวงษากับพระไชยวงษาเจ้าเมืองไชยบุรี ราชบุตรเมืองท่าอุเทน เจ้าเมืองท้าวเพี้ยเมืองคำเกิด เมืองคำม่วนลงไปพร้อม ณ กรุงเทพมหานคร ก็ได้ว่ากล่าวด้วยครัวรายเมือง (รายงาน) เมืองคำเกิด คำมวน (คำม่วน) ซึ่งเกี่ยวข้องกับ เมืองไชยบุรี เมืองท่าอุเทน พระไชยวงษา ราชบุตรเมืองท่าอุเทนว่า ครอบครัวเมืองไชยบุรีกับเมืองท่าอุเทน มีความสมัครใจ เจ้าเมือง ราชบุตร ท้าวเพี้ยเมืองคำเกิด เมืองคำมวน(คำม่วน) ก็ยอมให้ครอบครัวอยู่ตามใจสมัครนั้น
ครอบครัวฟากตะวันออก เข้าสวามิภักดิ์ว่า พากันข้ามมาแต่โดยดี มีตราขึ้นมาแต่ก่อนว่า ครัวจะสมัครใจอยู่เมืองไหน ก็ให้อยู่ตามใจสมัคร ที่แจ้งอยู่ในท้องตราแต่ก่อนแล้วนั้น และครัวเมืองคำเกิด เมืองคำมวน (คำม่วน) ซึ่งสมัครใจอยู่เมืองไชยบุรี 133 คน สมัครใจอยู่เมืองท่าอุเทน 30 คน เจ้าเพี้ยเมืองคำเกิด เมืองคำมวน(คำม่วน) ก็ยอมให้ครัวอยู่ตามใจสมัครชอบอยู่แล้ว (นายถวิล เกสรราช สันนิษฐานว่า จากหลักฐาน ก็เป็นที่ทราบดีอยู่แล้วว่า เจ้าเมืองไชยบุรีนั้น มีบรรดาศักดิ์เป็นพระไชยวงษา แต่ไม่ปรากฏชื่อตัว สำหรับอุปฮาด ราชวงศ์ และราชบุตร ก็ค้นหาไม่พบ ว่ามีชื่อว่าอย่างไรบ้าง)
พ.ศ. 2457 มีประกาศพระบรมราชโองการ ลงวันที่ 6 เมษายน 2457 ปรับปรุงเขตอำเภอ สำหรับการปกครองในมณฑลอุดร ได้กล่าวถึง อำเภอไชยบุรี ท้องที่อำเภอโพนพิสัยนั้น ตามลำน้ำของ (โขง) ไปทางใต้ราว 4,000 เส้น กรมการอำเภอโพนพิสัย ดูงานไม่ทั่วถึง และอำเภอไชยบุรีก็ตั้งอยู่ บัดนี้ก็ใกล้อำเภอท่าอุเทนเกินไป จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ตัดท้องที่อำเภอโพนพิสัยตอนใต้ ไปรวมกับท้องที่อำเภอไชยบุรี และให้ย้ายที่ว่าการอำเภอไชยบุรี มาตั้งที่บ้านบึงกาญจน์ ซึ่งคำว่ากาญจน์ สะกดด้วยกาญจน์ มีความหมายว่า ทอง หรือบึงน้ำสีทอง จรดริมแม่น้ำของ(โขง) ฝั่งตรงข้ามเมืองบริคันฑ์ แขวงเวียงจันทน์ เพราะเป็นศูนย์กลาง เหมาะแก่การปกครองท้องที่อำเภอ และอำเภอไชยบุรี ก็ยังคงขึ้นเมืองนครพนมตามเดิม
ครั้นในปีต่อมา พ.ศ. 2459 มีประกาศพระบรมราชโองการเรื่อง โอนอำเภอไชยบุรี ไปขึ้นจังหวัดหนองคาย ลงวันที่ 22 มีนาคม 2459 มีความว่า ทรงทราบฝ่าละอองธุรีพระบาทว่า อำเภอไชยบุรี ซึ่งเป็นอำเภอ ขึ้นจังหวัดนครพนมเวลานี้ (คือปี พ.ศ. 2459) มีท้องที่และระยะทาง ห่างไกลจากจังหวัดนครพนมมาก เป็นการลำบากแก่ราษฎร ที่อยู่ในแขวงอำเภอไชยบุรี ผู้มีกิจสุขทุกข์ จะมายังจังหวัดนครพนม และทั้งไม่เหมาะแก่การปกครอง จึงทรงพระราชดำริว่า สมควรจะโอนอำเภอไชยบุรี มาขึ้นจังหวัดหนองคาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้โอนอำเภอไชยบุรี มาขึ้นจังหวัดหนองคาย ตั้งแต่บัดนี้ (คือปี พ.ศ. 2459) เป็นต้นไป
ซึ่งตามนัยเนื้อหา ของพระบรมราชโองการ แสดงให้เห็นและเข้าใจว่า หมายถึงการโอนเมืองไชยบุรีที่ตั้งที่ว่าการ อยู่ที่บ้านบึงกาญจน์ จนกระทั่งมีการไปขึ้นกับจังหวัดหนองคาย แล้วต่อมา ได้เปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอบึงกาญจน์ ขึ้นกับจังหวัดหนองคาย ส่วนบ้านปากน้ำสงคราม ที่เป็นเมืองไชยบุรีเดิมนั้น ก็ยังคงมีชื่ออยู่ มิได้โอนไปขึ้นกับจังหวัดหนองคายแต่อย่างใด ยังคงมีฐานะเป็นอำเภอหนึ่ง ของจังหวัดนครพนมอยู่เหมือนเดิม ดังปรากฏหลักฐาน ในประกาศเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ที่รับพระราชโองการ ให้เรียกชื่ออำเภอทั่วราชอาณาจักร ลงวันที่ 24 เมษายน 2460 มีความว่า อำเภอไชยบุรี ในจังหวัดนครพนมนั้น คงให้เรียกชื่ออำเภอไชยบุรีตามเดิม ซึ่งเวลาต่อมา ได้ถูกยุบลงให้เป็นตำบลไชยบุรี ขึ้นอำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม
พ.ศ. 2475 ข้าราชการกระทรวงมหาดไทยท่านหนึ่ง เดินทางมาตรวจราชการที่อำเภอไชยบุรี จังหวัดหนองคายพบว่า หมู่บ้านบึงกาญจน์ มีหนองน้ำใหญ่แห่งหนึ่ง กว้างประมาณ 160 เมตร ยาวประมาณ 3,000 เมตร มีน้ำขังตลอดปี ชาวบ้านได้อาศัยน้ำในบึงแห่งนี้บริโภค และใช้สอย ชาวบ้านเรียก "บึงกาญจน์" เป็นที่รู้จักโดยทั่วไป จึงได้พิจารณา และจัดทำรายงานไปยังกระทรวงมหาดไทย ขอเปลี่ยนแปลงชื่ออำเภอไชยบุรี เป็น "อำเภอบึงกาญจน์" ตั้งแต่นั้นมา
พ.ศ. 2477 ทางราชการ ได้พิจารณาเห็นว่า บึงกาญจน์ ซึ่งแปลว่าน้ำสีทองนั้น ไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง เพราะน้ำเป็นสีคล้ำค่อนข้างดำ จึงได้เปลี่ยนชื่อใหม่ ให้สอดคล้องกับความหมาย และความเป็นจริงของน้ำในบึงว่า “บึงกาฬ” ซึ่งสะกดด้วย ฬ ทางการจึงได้เปลี่ยนชื่อ อำเภอบึงกาญจน์ ที่สะกดด้วย กาณจน์ เป็น"อำเภอบึงกาฬ" ซึ่งสะกดด้วย ฬ เพื่อความสะดวกและเข้าใจง่าย นายอำเภอคนแรกคือ รองอำมาตย์โท พระบริบาลศุภกิจ (คำสาย ศิริขันธ์)