คีโต คืออะไร
คีโตเจนิก ไดเอท (Ketogenic diet) คืออะไร
คีโตเจนิก ไดเอท (Ketogenic diet) หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “อาหารคีโต” เป็นแผนการรับประทานอาหารที่เน้นการรับประทานไขมันสูง โปรตีนปานกลาง และคาร์โบไฮเดรตต่ำ โดยสัดส่วนพลังงานจากไขมันจะอยู่ที่ประมาณ 70-80% โปรตีน 20-25% และคาร์โบไฮเดรต 5-10%
เมื่อร่างกายได้รับพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตน้อยลง ร่างกายจะเปลี่ยนมาใช้พลังงานจากไขมันแทน ซึ่งกระบวนการนี้เรียกว่า “คีโตซิส (Ketosis)” โดยร่างกายจะเปลี่ยนไขมันที่สะสมไว้ในร่างกายไปเป็นสารคีโตน (Ketone) ซึ่งสารคีโตนนี้สามารถนำไปใช้เป็นพลังงานได้
การรับประทานอาหารคีโตมีประโยชน์หลายประการ เช่น ช่วยลดน้ำหนัก ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคอัลไซเมอร์ และโรคมะเร็งบางชนิด เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การรับประทานอาหารคีโตก็อาจส่งผลข้างเคียงบางประการได้ เช่น ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ ท้องผูก เป็นต้น
**อาหารคีโตมีอะไรบ้าง**
อาหารคีโตส่วนใหญ่จะเน้นการรับประทานไขมันสูงจากแหล่งต่างๆ เช่น เนื้อสัตว์ ปลา ไข่ เนย น้ำมันมะกอก อะโวคาโด ถั่วชนิดต่างๆ และเมล็ดพืชต่างๆ นอกจากนี้ ยังสามารถรับประทานผักบางชนิดได้ เช่น ผักใบเขียว หัวหอม กระเทียม มะเขือเทศ เป็นต้น
อาหารคีโตที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ อาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง เช่น ข้าว แป้ง น้ำตาล ผลไม้ นม ผลิตภัณฑ์นม ขนมขบเคี้ยว และเครื่องดื่มต่างๆ
**วิธีเริ่มรับประทานอาหารคีโต**
การเริ่มรับประทานอาหารคีโตควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเริ่มจากการลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตลงทีละน้อย ในช่วงแรกอาจมีอาการข้างเคียง เช่น ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ ท้องผูก เป็นต้น ซึ่งอาการเหล่านี้จะหายไปเองเมื่อร่างกายปรับตัวได้
ต่อไปนี้เป็นแนวทางการเริ่มรับประทานอาหารคีโต
1. ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับอาหารคีโตให้เข้าใจ
2. ปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการก่อนเริ่มรับประทานอาหารคีโต
3. เริ่มจากการลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตลงทีละน้อย
4. รับประทานไขมันสูงและโปรตีนปานกลาง
5. ดื่มน้ำให้เพียงพอ
6. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
**ข้อควรระวังในการรับประทานอาหารคีโต**
การรับประทานอาหารคีโตอาจส่งผลข้างเคียงบางประการได้ เช่น ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ ท้องผูก เป็นต้น หากมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้น ควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการ
นอกจากนี้ การรับประทานอาหารคีโตอาจไม่เหมาะกับผู้ป่วยบางกลุ่ม เช่น ผู้ป่วยโรคไต โรคตับ โรคหัวใจ และโรคเบาหวานบางชนิด เป็นต้น
ผู้ที่สนใจรับประทานอาหารคีโตควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด และปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการก่อนเริ่มรับประทานอาหารคีโต