เล่นผีถ้วยแก้วที่ข้างเมรุเผาศพ
เรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องเล่าและเป็นความเชื่อส่วนบุคคนโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะครับ
นัทเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยหนึ่งและเป็นเด็กคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพที่ทำงานไปด้วยและเรียนไปด้วย นัทเป็นคนที่เมื่อเพื่อนว่ายังไงก็จะถึงไหนถึงกันและนัทก็ยังเป็นคนที่ไม่เชื่ออะไรง่ายๆนอกจากเจอด้วยตัวเองเท่านั้นดังนั้นนัทเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องผีเลยเพราะตั้งแต่เด็กจนโตนัทยังไม่เคยเจอผีเลยซักครั้ง เมื่อเจอใครไหว้นู้นไหว้นี่นัทจะบอกเสมอว่าไร้สาระ จนครั้งหนึ่งนัทได้ออกค่ายอาสาพัฒนาชุมชนกับเพื่อนๆในเขตชนบทที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง นัทบอกว่าทีแรกก็ไม่ได้ตั้งใจไปหรอกแต่มีอยู่วันหนึ่งที่นัทกำลังเดินๆอยู่ในมหาวิทยาลัยนั้นแหละอยู่ๆก็มีก้อนกระดาษกลมๆอะไรก็ไม่รู้ปามาโดนหัวของนัท นัทเลยก้มเก็บขึ้นมาดูพอนัทแกะออกดูจึงเห็นว่าเป็นใบสมัคไปค่ายอาสา ตอนที่นัทกำลังแกะออกดูนั้นมีรุ่นพี่ของชมรมค่ายอาสาเดินมากำลังหาคนไปค่ายอาสาด้วยกันพอดี เมื่อนัทดูกระดาษเสร็จว่าเป็นอะไรนัทจึงยื่นกระดาษแผ่นนั้นคืนให้รุ่นพี่ แต่รุ่นพี่กลับคิดว่านัทจะสมัคไปด้วยจึงประกาศออกไปว่ามีคนจะไปเพิ่มด้วยคนนั้นคือนัทในเวลานั้นถ้านัทปฏิเสธออกไปก็กลัวว่ารุ่นพี่และคนแถวนั้นจะหานัทมาป่วนและกลัวตัวเองจะขายหน้าด้วย นัทจึงเดินกลับคณะแล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้เพื่อนที่สนิทกันฟังตอนนั้นมีเพื่อนบางคนก็บอกว่า ก็ดีเหมือนกันนัทจะได้ไปทำประโยชน์ให้คนอื่นเขาบ้าง หรือเพื่อนอีกคนก็พูดก็ดีเหมือนกันมึงจะได้ไปเป็นเพื่อนกู หรือเพื่อนคนอื่นๆก็พูดนั้นพูดนี่กันไปทำนองว่าไปเลยไปทำประโยชน์ให้คนอื่นเขาเมื่อรวมๆกันแล้วเพื่อนของนัทและก็ตัวของนัทเองตอนนั้นจะไปค่ายอาสารวมกันได้ 6 คน เมื่อถึงวันที่จะออกไปค่ายอาสา รุ่นพี่ที่เป็นประธานชมรมได้นัดสมาชิกทุกคนและคนที่จะออกค่ายอาสาไปด้วยกันในครั้งนี้มาขึ้นรถกันที่หน้าชมรม และเมื่อทุกคนมาถึงและพร้อมที่จะไปค่ายครั้งนี้ รถบัทของชมรมก็ได้เคลื่อนตัวออกไปมหาวิทยาลัยไปสู่จุดหมาย เมื่อรถขับมาเรื่อยผ่านเมืองผ่านหมู่บ้านผ่านทุ่งนาและอื่นๆอีกมากมายอีก ไม่นานรถของค่ายอาสาก็จะถึงจุดหมายนั้นคือที่โรงเรียนชนบทแห่งหนึ่งและไม่นานเมื่อทุกคนเดินทางมาถึงที่โรงเรียนชนบทแห่งนั้นเมื่อรถบัทจอดที่สนามของโรงเรียนแห่งนั้นทุกคนจึงพากันลงจากรถแล้วมองไปรอบๆ จากที่นัทดูด้วยสายตาแล้วนัทบอกว่าที่นั้นกันดารมากขนาดคลื่นโทรศัพท์ยังไม่ค่อยมีที่นี่แห้งแล้งมากโรงเรียนที่นี่มีอาคารเรียนอยู่ไม่กี่หลังแต่สิ่งที่เห็นชัดนอกจากอาคารเรียนแล้วนั้นคือวัดและเมรุที่ตั้งอยู่ข้างโรงเรียนที่ตั้งเด่นมากแต่ทุกคนก็ไม่มีใครพูดอะไร ตอนที่ทุกคนยืนอยู่และกำลังมองไปรอบๆก็มีผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านกลุ่มหนึ่งเดินมาต้อนรับคณะค่ายอาสากม่มีใครพูดอะไร ตอนที่ทุกคนยืนอยู่และกำลังมองไปรอบๆก็มีผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านกลุ่มหนึ่งเดินมาต้อนรับคณะค่ายอาสากันและพาไปที่พักนั้นคือบ้านพักครูหลังเก่าๆแล้วข้างล่างก็มีเต้นนอนกลางอยู่ด้วยทุกคนจึงไปเลือกที่พักที่ตัวเองชอบกัน บางคนก็เลือกที่จะนอนบนบ้านพักบางคนก็เลือกมานอนที่เต้นส่วนนัทและเพื่อนนั้นเลือกนอนที่เต้นนอนข้างล่างกันพอค่ำก็มีชาวบ้านมาจัดเลี้ยงต้อนรับขณะค่ายอาสากันนัทยังบอกผู้เขียนอีกว่าตอนนั้นรู้สึกดีมากๆที่มีคนมาเลี้ยงต้อนรับ พอถึงตอนดึกงานเลี้ยงก็ได้เลิกกันไปทุกคนก็ไปอาบน้ำและมานอนปรกติเพื่อพรุ่งนี้จะได้เริ่มงานที่วางแผนกันไว้ พอถึงตอนเช้าทุกคนก็ไปล้างหน้าแปรงฟันและก็มาทานอาหารเช้ากันและจัดแจงหน้าที่ๆแต่ละคนต้องไปทำ พอเริ่มสายๆทุกคนก็แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนเองที่ได้รับมอบหมายกันพอถึงเวลาค่ำก็มีผู้ใหญ่บ้านพาชาวบ้านนำอาหารมาส่งพวกค่ายอาสาทุกคนก็ไปอาบน้ำแล้วมากินข้าวแล้วก็แยกย้ายกันไปนอน เรื่องก็เป็นอย่างนี้ตามปรกติจนถึงค่ำของวันที่ 5 เป็นวันสุดท้ายเพราะพรุ่งนี้ทุกคนต้องเดินทางกลับกันแล้วค่ำนั้นชาวบ้านก็มาเลี้ยงส่งแล้วผูกแขนอำลาพวกค่ายอาสา พอดึกๆหน่อยชาวบ้านกินเลี้ยงกันอยู่ก็กลับกันหมด พวกเพื่อนๆของนัทและตัวนัทเองก็ได้มารวมตัวข้างบ้านพักเพื่อประชุมกันว่าคืนนี้เราจะทำอะไรกันดีก่อนพรุ่งนี้เราจะกลับกัน ก็มีเพื่อนคนหนึ่งเสนอความคิดหนึ่งขึ้นมาว่าเราลองเล่นล่าท้าผีกันดีไหมเพื่อนอีกคนก็พูดขึ้นมาว่า ก็ดีนะเรามานอกสถานที่อย่างนี้เพราะในกรุงเทพที่ไหนที่ว่าเฮี้ยนๆเราก็ไปกันมาหมดแล้วว่าแต่เราจะทำอะไรดีนัทเลยเสนอขึ้นว่าเราลองไปเล่นผีถ้วยแก้วที่เมรุข้างๆโรงเรียนกันดีไหม เพื่อนอีกทั้ง 5 คนก็เห็นด้วย เราจะหาอุปกรณ์ที่จะมาเล่นได้ยังไงวะ เพื่อนคนหนึ่งถามขึ้น กูเอามาด้วยเพื่อนอีกคนตอบ จากนั้นนัทเลยเดินนำหน้าเพื่อนๆไปทีเมรุเผาศพ เมื่อไปถึงหน้าเมรุเผาศพ เมื่อกี้ตอนเดินกันมานัทมีความรู้สึกว่ามีสายตาของใครคนหนึ่งมองกลุ่มของนัทอยู่ แต่นัทก็ได้แต่คิดในใจถ้าพูดออกไปกลัวเพื่อนๆจะกลัวกันป่าวๆ ก็มีเพื่อนคนหนึ่งถามขึ้นว่า เฮ้ยเราจะเล่นกันตรงไหนดีว่ะ คนอย่างกูตรงไหนก็ได้เสียงนัทตอบ เพื่อนคนที่ถามมาว่าเราจะเล่นกันตรงไหนดีก็ได้พูดขึ้นมาว่าเราขึ้นไปข้างบนเล่นมันตรงข้างเตาเลยดีไหมวะ เพื่อนอีกคนก็ได้พูดขึ้นมาอีกว่า ใจเย็นๆไอ้เสือเราเล่นกันตรงข้างๆก็ได้มั้ง ทุกคนเลยเห็นด้วยนัทไม่รู้นะว่าคนที่เห็นด้วยนั้นรู้สึกเหมือนนัทหรือป่าวจากนั้นเพื่อนๆเลยกลางตารางที่จะเล่นออกแล้วเอาแก้วออกมาวางจากนั้นเลยให้เพื่อนอีกคนทำพิธีตอนนั้นทุกคนได้ถามสิงที่ตนอยากรู้แล้วพากันหัวเราะบ้างเมื่อทุกคนกำลังเล่นกันอย่างสนุกอยู่นั้นทุกคนจึงเงยหน้ามองบนเมรุเผาศพนั้นก็ได้ปรากฏร่างของหญิงสาวชุดขาวพร้อมกับเด็กตัวเล็กๆยืนอยู่ซึ่งเขากำลังมองกลุ่มของนัทและพูดขึ้นดังว่า เล่นอะไรกัน เมื่อทุกคนเห็นจึงไม่รอช้าพวกของนัทจึงได้พากันวิ่งหนีกลับไปที่โรงเรียนที่เต้นนอนกัน พอดีกับผู้ใหญ่บ้านมาถึงเพื่อตรวจความเรียบร้อยพอดี เมื่อผู้ใหญ่บ้านเห็นอาการของนัทและเพื่อนจึงถามพวกของนัทว่าไปทำอะไรกันมา พวกของนัทเลยบอกผู้ใหญ่บ้านไปว่า ไปเล่นผีถ้วยแก้วที่เมรุข้างๆโรงเรียนกันมา ผู้ใหญ่บ้านเลยได้แต่พูดขึ้นว่าเอาแล้วไงพวกมึงเล่นที่ไหนไม่เล่นไปเล่นที่เมรุข้างๆโรงเรียนแล้วผู้ใหญ่บ้านจึงพาพวกของนัทไปที่อาคารปูนที่มีพระใหญ่ตั้งอยู่และกำชับให้นัทกับเพื่อนๆนอนอยู่ที่อาคารนั้นจนสว่างค่อยออกไปถึงใครจะมาเรียกหรืออะไรก็ตาม คืนทั้งคืนนั้นนัทกับเพื่อนก็นอนที่อาคารพระใหญ่กันจนถึงสว่าง เมือคืนนี้นัทกับเพื่อนก็ได้ยินเสียงฝีเท้ามาเดินวนรอบอาคารจนถึงเช้า เมื่อผู้ใหญ่บ้านมาถึงจึงได้ถามนัทและเพื่อนว่าเมื่อคืนเป็นไงบ้าง นัทและพวกก็ได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ผู้ใหญ่บ้านฟัง ต่อจากนั้นผู้ใหญ่บ้านจึงได้พานัทและเพื่อนไปที่วัดข้างๆโรงเรียน เมื่อตอนที่นัทและเพื่อนเดินผ่านเมรุพวกของนัทถึงกับต้องสะดุ้งแล้วรีบเดินตามหลังกันไปที่วัดเมื่อผู้ใหญ่บ้านพานัทและเพื่อนไปพบพระครูผู้ใหญ่บ้านก็เล่าเรื่องอย่างที่นัทและเพื่อนเล่าให้ท่านฟังและถามท่านว่าควรจะทำยังไงต่อดี ท่านพระครูจึงพาพวกของนัทไปที่เมรุนั้นอีกครั้งเพื่อไปขอขมาต่อสิ่งต่างๆที่นัทและเพื่อนได้ล้วงเกินไป ต่อจากนั้นนัทและเพื่อนก็ได้เดินทางกลับกรุงเทพพร้อมกับค่ายอาสากัน
ขอขอบคุณรูปภาพจาก: Pixar