หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

(มาอ่านนิยายกัน) รัตมายอดรัก โดย...กัมพู

เนื้อหาโดย nok19800

 

นิยายเรื่อง รัตมายอดรัก (นามปากกา กัมพู) แนวนิยายรัก 
วางจำหน่าย ในรูปแบบนิยายออนไลน์ (ebook) 
แพลตฟอร์มที่วางจำหน่าย : Meb ธัญวลัย นายอินทร์ Ookbee 
สามารถ เข้าอ่านเนื้อหา ฉบับเต็มได้ตาม แพลตฟอร์มนิยายชั้นนำทั่วไป อาทิเช่น...
( Dek-d , readAwrite , ธัญวลัย , Hongsamut , fictionlog )
--------------------------------------

อารัมภบท...

 

“ถ้าไม่นั่งลงดีๆ เธอก็เตรียมตัวเก็บกระเป๋าเสื้อผ้า แล้วออกจากไร่ของฉันไปตอนนี้ได้เลย”

ทิวาขึ้นเสียงแข็ง ตวัดสายตาเอาจริงขึ้นมองใบหน้านวล เขาผิดเองที่ใจอ่อนให้เจ้าหล่อนเรื่อยมา นี่คงเหลิงจนได้ใจ ถึงได้กล้ากลั่นแกล้งเขาโดยไม่คิดยำเกรงกันสักนิดเดียว...

รัตมาถอนหายใจหนัก กระแทกตัวลงนั่งตามคำสั่ง...

ขอบตาร้อนผ่าว เพราะทั้งโกรธทั้งน้อยใจ...

เอะอะก็ไล่ออก นึกว่าอยากทำงานด้วยนักหรือไง...

 

ลิงค์สำหรับดาวน์โหลด นิยาย รัตมายอดรัก ฉบับเต็ม (Meb ) -

https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTA5NTcwOSI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjE3NDAzNCI7fQ

 

(กรรมนั้นคืนสนอง)

 

รัตมาไม่เข้าใจแม่สักนิด เหตุใดท่านถึงอยากให้เธอย้อนกลับเข้ามาทำงานในไร่กุลวารีอีกครั้งนัก ทั้งที่เมื่อครั้งอดีต เธอเคยก่อเรื่องราวน่าอับอายต่อทิวา เจ้าของไร่แห่งนี้เอาไว้เสียใหญ่โต...

ชนิดเรียกได้ว่าต้องหาปี๊บมาคุมหัวตอนเดินก็ว่าได้...

และถึงแม้วันเวลาจะผ่านมานานนับแปดปี แต่ทว่าหัวข้อสนทนาลับหลังของพวกคนงานในไร่ ยังคงหนีไม่พ้นเรื่องของเธออยู่เลย...แต่ก็นะ ปากคนยื่นยาวกว่าปากของกานั้นคงเห็นจะจริงแท้...

กว่าเธอกับเขาจะผ่านพ้นช่วงทุกข์หนักมาได้...ต้องใช้เวลาอดทนอย่างแสนสาหัส เธอนั้นยอมแม้กระทั่งอกตรมขมไหม้ ยอมถูกตราหน้าว่าเป็นผู้หญิงไร้ยางอาย เที่ยวแย่งคนรักของคนอื่น ยอมทุกข์ทรมานจิตใจอยู่กับคำติฉินนินทาเหล่านั้นอยู่แรมปี กว่าจะได้สติกลับมาเป็นผู้เป็นคน...

ส่วนฝ่ายทิวาเอง...เขาก็ถูกคนรักตัดขาดตามระเบียบ แน่นอนว่าสาเหตุนั้นมาจากเธอโดยตรง

 ดังนั้นแน่นอนว่าทิวายิ่งรู้สึกเกลียดขี้หน้าเธอหนักขึ้นมากกว่าเดิมอีกไม่รู้กี่เท่าตัว...

ไม่รู้ตอนนั้นรัตมา ทนต่อสายตาเหยียดหยามปนเย้ยหยันอยู่ได้ยังไง...พอมีเวลามานั่งนึกย้อนดู ยังอดนึกแปลกใจตัวเองไม่หาย...

 โดยเฉพาะท่าทีปั้นปึ่งของคนที่ได้ขึ้นชื่อว่ากำลังจะเป็นคู่หมั้นคู่ชีวิตในอนาคตของตัวเอง การแสดงออกของทิวายิ่งกว่าแน่ชัดเสียอีก...

เขาเกลียดเธอเข้าไส้ แต่เธอกลับรักเขาจนสุดหัวใจนี่สิ มันน่าขำดีไหมล่ะ...  

แต่นั่นมันคือความรู้สึกเมื่อครั้งอดีต เลยผ่านมายาวนานถึงแปดปีเต็มด้วยกัน...

หลังจากเกิดเรื่องน่าอัปยศ รัตมาไม่เคยมองหน้าทิวาติดสักครั้ง เขาเอาแต่โกรธเธอหน้าดำหน้าแดง เธอไม่เคยเข้าใกล้เขาได้นานเกินนาทีด้วยซ้ำ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นรัตมาอาศัยลูกตื๊อ ดื้อแพ่งต่อต้านพ่อเสมอ ส่วนใหญ่เธอจะขอพ่อมาคอยเฝ้าวนเวียนอยู่ใกล้ชิดกับเขา โดยไม่คิดแคร์สายตาเฉยชาที่ส่งมาให้ทุกทีที่เจอหน้ากัน...รัตมาคิดแบบเด็กๆ ไม่เคยมองให้ลึกลงกว่านั้น ก็ตอนนั้นเธออายุเพียงแค่สิบเจ็ดปีเองนี่นา ตะกอนความคิดเลยยังไม่ตกผลึกดีนั่นเอง...

ยิ่งมาช่วงหลังเกิดเรื่อง ทิวายิ่งทำตัวน่ากลัว เขาไม่แม้แต่จะมองหน้า ไม่แม้แต่จะชายตาแล เขา มองเธอเป็นเพียงอากาศธาตุ ไร้ตัวตน และที่ทำให้เธอทุกข์ใจ หนักอกจนแทบหมองไหม้ เมื่อคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าจะมาใช้ชีวิตร่วมทุกข์ร่วมสุขกันจนแก่เฒ่า...เขาไม่เคยลุกขึ้นมาปกป้องศักดิ์ศรีของเธอเลยสักครั้ง...ไม่เคยแม้กระทั่งพูดจาดีๆต่อกัน เวลาทั้งหมดของเขาส่วนใหญ่ คงหนีไม่พ้นเรื่องงานในไร่ กับวิ่งคอยเอาอกเอาใจเกศแก้วอดีตคนรักของเขานั่นเอง...

ถ้าเธอต้องดำเนินชีวิตแบบอกตรมขมไหม้ต่อไปเรื่อยๆ เห็นที...อกเธอคงเต็มไปด้วยหนองเป็นแน่แท้....ดังนั้นสถานการณ์ที่ย่ำแย่ลงทุกเวลา จึงเกิดจุดแตกหักระหว่างเธอกับทิวาจนได้...เมื่อเธอทนรับสภาพแบบนั้นไม่ไหวอีกต่อไป...อาจจะด้วยวัยที่ยังเด็กเหลือเกิน รัตมาจึงคิดหันหลังให้กับสิ่งผิดพลาดแบบหัดดิบ...

 จำได้ว่าพ่อกับแม่ลากเธอมาคุยกันอย่างเปิดอก...ท่านทั้งสองต้องการให้เธอเริ่มต้นชีวิตใหม่ โดยให้มองอนาคตและความสุขของตัวเองเป็นหลัก น้ำตาที่เกิดจากความผิดหวังของแม่ ช่วยเรียกสติของรัตมา เป็นตัวชี้ขาดสำหรับใช้เป็นเครื่องตัดสินใจหนนั้น ตอกย้ำให้คนผิดพลาดยิ่งเสียใจ รับรู้ได้ในบัดดล คนที่รักเธอมากที่สุด ยอมอดทนต่อเธอมากที่สุดไม่ใช่ใครไหนอื่นเลย นั่นคือคนที่อยู่ตรงหน้าเธอทั้งสองคนนั่นเอง...

รัตมาจึงให้คำมั่นสัญญากับตัวเอง ต่อจากนี้ต่อไป...เธอ รัตมา ลูกสาวของพ่อประพากับแม่รานิล จะไม่ขอข้องแวะหรือมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องอันใดต่อคนในไร่กุลวารีอีกแล้ว โดยเฉพาะเจ้าของไร่ที่ชื่อ ทิวา เธอจะขอตัดขาดจากเขา ด้วยการไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ...

แต่การตัดใจจากคนที่เรารักใช่ว่าจะทำกันได้ง่าย แต่ทว่ารัตมาก็ทำได้ และทำมาแล้ว...

นึกมาถึงตรงนี้ รัตมาได้แต่ถอนหายใจหนักหน่วง แม้ว่าวันเวลาจะผันผ่านมาถึงแปดปี เธอกลับต้องพาชีวิตเข้ามาพัวพันกับคนในไร่นี้อย่างกับหลีกหนีชะตาตัวเองไม่พ้นจนได้...

เวลาอาจทำให้คนเราเปลี่ยนลักษณะนิสัย ความคิด แล้วลืมเลือนบางสิ่งที่ไม่น่าจดจำได้ก็จริง หรือแม้กระทั่งปรับเปลี่ยนนิสัยในบางมุม ให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมรอบตัว รัตมาเองพอตัดขาดจากความล้มเหลวด้วยวัยที่ยังด้อยประสบการณ์มาได้ เธอก็กลายเป็นหญิงสาวอีกคนอย่างไม่น่าเชื่อเลยละ...ว่านี่จะเป็นรัตมา เด็กสาวก๋ากั่นที่วิ่งเข้าหาผู้ชายวันนั้น แต่เปลี่ยนมาเป็นหญิงสาวที่มีความมั่นคงในอารมณ์ ใช้สติแก้ไขปัญหามากว่าใช้อารมณ์ตัดสิน...

ต่างกับทิวา เขายังคงเป็นชายหนุ่มใจร้ายคนเก่า คนเดิมสำหรับเธอ...คนที่ตั้งแง่รังเกียจ ชิงชังเธอยิ่งกว่ากิ้งกือไส้เดือน...

 ตอนนี้รัตมาชักเริ่มสงสัยขึ้นมาครามครันแล้วสิ...ในเวลานั้นเธอหลงรักผู้ชายแบบหมอนี้ได้ลงคอยังไงกันนะ...

นั่นอาจเป็นเพราะวัยที่ยังขาดประสบการณ์...มักมองชายหนุ่มถูกตาต้องใจยกให้เป็นรักแรกของตัวเองได้ไม่อยาก เทิดทูนเขา เปรียบเขาเสมือนชายในฝัน จนแอบฝันว่าสักวัน เธอกับเขาจะสร้างครอบครัวเล็กๆอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า...

ทว่าพอเธอเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่เต็มวัย รัตมาจึงค้นพบอีกมุมหนึ่งของทิวา เขาจะเป็นผู้ชายคนสุดท้ายที่เธอต้องการเข้าใกล้เชียวละ...

ด้วยเหตุผลที่ว่าเขาเป็นผู้ชายขวางโลกตัวฉกาจ หน้าตางอหงิกบอกบุญไม่รับอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังชอบพูดจาขวานผ่าซากชนิดมะนาวไม่มีน้ำ ฟังกี่ทีก็ไม่เคยระรื่นหูเลยสักครั้ง...

แถมเขายังไม่เคยรู้จักรักษาน้ำใจคนกันเองเสียบ้าง...อย่างน้อยๆเธอก็ได้ขึ้นชื่อเป็นถึงลูกสาวของผู้มีพระคุณ พ่อของเธอเคยให้ความรู้ เคยอบรมสั่งสอน ชี้นำแนวทางการทำมาหากินให้เขามาก่อน จะพูดไปก็เปรียบพ่อของเธอเป็นดั่งครูคนหนึ่งในชีวิตของเขาเลยก็ว่าได้...

เขาไม่สำนึกบุญคุณของพ่อเธอยังพอทน แต่นี่เขายังตั้งแง่รังเกียจ คอยจับผิดหาเรื่องเธออยู่ตลอดเวลา...นั่นเป็นเพราะทิวายังคงผูกใจเจ็บกับเรื่องเมื่อปีมะโว้นั่นเอง เหตุผลนี้เธอเองก็จนใจจนปัญญาจะแก้ไข...ก็คนมันกลับไปแก้ไขข้อผิดพลาดในอดีตไม่ได้นี่นา...

ขนาดตอนเธออ้าปาก หมายอธิบายเหตุผลให้เขาฟัง ทำไมถึงเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นในไร่...เขากลับไม่ยอมรับฟัง เอาแต่ตั้งท่าปฏิเสธ ส่ายหน้าจนหัวสั่นหัวคลอน เตรียมเดินหันหลังให้เธออยู่เรื่อย แค่นั้นยังไม่พอ เขายังชอบขับไล่ไสส่ง ต้องการให้เธอออกไปให้พ้นหูพ้นตา หรือไม่ก็ให้เธอยอมถอดใจ เขียนใบลาออกจากไร่นี้ไปเลยยิ่งดี...

 ถ้าเธอหมดความอดทนแล้วยื่นใบลาออกให้เขาจริง คงสมใจเขาที่สุด รัตมารู้ดี...

แม้ถึงกระนั้น อย่านึกว่าเขาจะยอมใจดี โดยการปล่อยผ่านทุกอย่างให้จบเรื่องจบราว พอลับหลังเธอเข้าหน่อย เขากลับเรียกคนของเขา เข้ามาสอบถามเอาแต่ความเท็จ และมันเป็นเช่นนั้นตลอดเรื่อยมา นับตั้งแต่เธอย้อนกลับเข้ามาทำงานในไร่กุลวารี สุดท้ายคนผิดก็คือเธออยู่วันยังค่ำ คนของเขาไม่เคยผิดเลย คิดแล้วมันน่าน้อยใจชะมัด...

เธออยากกลับบ้าน อยากกลับไปทำงานตามที่ตัวเองร่ำเรียนมา แต่แม่กลับยื่นคำขาด ห้ามเธอลาออกจากไร่ของนายทิวา...จนกว่าเธอจะล้างมลทิน พิสูจน์ตัวเองให้พวกชาวบ้านปากสว่างได้เห็น รัตมาคนนี้ไม่เหมือนกับรัตมาคนก่อนนู้น...

เพราะความผิดในครั้งนั้น ตัวเธอได้ถูกตัดสินจากปากของชาวบ้านไปแล้วว่าเป็นผู้หญิงไม่ดี เป็นผู้หญิงไร้ยางอาย เที่ยวตามไล่จับผู้ชาย...

ดังนั้นเวลารัตมาเป็นทุกข์ เธอจึงใช้คำสั่งของแม่เป็นหลักยึดเหนี่ยว เธอต้องการพิสูจน์ตัวเอง แล้วลบคำสบประมาทกล่าวร้ายเหล่านั้นให้ได้...

นึกย้อนดูแล้วนายทิวาตอนนี้ ไม่เห็นจะมีอะไรน่าพิศวาสสักนิด ถ้าจะมีดีอยู่สักหน่อย เห็นคงมีเพียงเรื่องเงินกับหน้าตาของเขากระมัง...

นายทิวา เจ้าของไร่กุลวารี เขาหล่อเหลาเอาการ รูปร่างสูงสง่า อกผายไหล่ผึ่ง ยิ่งมาตอนนี้อายุย่างเข้าเลขสาว เขากลับยิ่งดูหล่อเข้ม ทรงพลังมากกว่าเมื่อตอนแปดปีก่อนเสียอีก และเพราะไอ้ความหน้าตาดีของเขานี่แหละ มันเป็นตัวต้นเหตุทำให้เกิดปัญหามากมายตามมา...

เพราะว่ามันทำให้เธอตัดสินใจทำเรื่องบ้าๆลงไปนั่นไง ก็ใครใช้ให้ยายหน้าสวยมายุเธอให้ดื่มเหล้าแก้วนั้นจนหมดกันล่ะ คนแบบเธอยุส่งได้ที่ไหนกัน...พอดื่มหมดแก้วปุ๊บสติเธอเลยหลุดปั๊บ คราวนี้ละเขายุให้ทำอะไรเธอก็ทำหมด...ทำแม้กระทั่งยอมแก้ผ้าขึ้นไปนอนเตียงเดียวกับทิวา

 จนทุกวันนี้ เธอยังไม่คิดให้อภัยตัวเองเลยด้วยซ้ำ...ไม่รู้ผีห่าซาตานตัวใด ดลจิตดลใจ กล้าให้เธอทำเรื่องน่าอับอายเช่นนั้นขึ้นมาได้...

พอหวนย้อนนึกถึงมันทีไร พานทำให้หัวใจเธอมันรู้สึกคันยุบยิบ เหมือนคนจับไข้เสียทุกทีสิน่า...

“ฉันบอกให้เธอกิน...ทำไมยังทำนั่งเฉยอยู่อีก ไม่เชื่อฟังคำสั่งกันแบบนี้ ฉันจะเสียเงินจ้างเธอไว้ทำไมให้เสียข้าวสุก”

 เขาย้ำและมองตาหญิงสาวอย่างจริงจัง อารมณ์ยิ่งโมโหเดือดดาลหนักขึ้น เมื่อคำสั่งของเขายังคงถูกเจ้าหล่อนเพิกเฉย ดั่งคล้ายเขากำลังถูกเจ้าหล่อนท้าทาย ถือดีจนน่าจัดการขั้นเด็ดขาดเสียให้เข็ด...

“คะ? เมื่อกี้คุณวาพูดว่าอะไรนะคะ...ขอโทษที พอดีฉันมีเรื่องต้องใช้สมองคิดเยอะแยะเต็มหัวไปหมด” รัตมาสะดุ้งเพราะมัวแต่คิดอะไรเพลินอยู่จริงๆ เรื่องนั้นก็หนีไม่พ้นเรื่องเกี่ยวกับเขาทั้งนั้นนั่นแหละ

ก่อนจะย้อนถามว่าเมื่อสักครู่ทิวาพูดว่าอะไร...

คนถูกขอร้องให้พูดซ้ำชักสีหน้าโมโหจัด ทิวากัดฟันกรอด พยายามระงับอารมณ์พลุกพล่านภายในอย่างสุดกำลัง...

 “งั้นเธอช่วยกรุณาตั้งใจฟังให้ชัดๆ อีกรอบ...ฉันขอสั่งให้เธอกินแกงบนโต๊ะนี้ให้หมด”

รัตมาปรายตามองชามแกงบนโต๊ะ พร้อมกับส่ายหน้าหวือ...

 “ไม่ค่ะ ฉันไม่กิน...และฉันขอยืนยันตามคำเดิม...ฉันไม่ได้เป็นคนทำแกงจืดหม้อนี้”

คนถูกใส่ร้ายหน้าด้านยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จริงจัง พลางดันถ้วยแกงหน้าตาดูน่ากินอยู่หลอก แต่ทว่ารสชาติสุนัขไม่รับประทานออกห่าง...

“แต่พี่พิกุล บอกว่าเธอเป็นคนทำ และฉันก็เห็นเธอยืนอยู่ในครัว ก่อนฉันขึ้นไปอาบน้ำ...” เสียงแหบห้าวแย้งกลับมา สีหน้าดูดุดันไม่หาย ในมือเขายังถือแก้วเปล่ากับเหยือกน้ำที่หมดเกลี้ยง...

กว่าจะดับรสเค็มจนเหมือนกลืนเม็ดเกลือทั้งกำมือลงคอ เล่นเอาเขาแสบคอแสบจมูกเป็นบ้า แกงจืดไม่ได้จืดดั่งว่า หากกลับเค็มจนเหมือนกลืนน้ำทะเลทั้งมหาสมุทรลงคอเลยทีเดียว...

“แล้วคุณก็เชื่อ...เพียงแค่คนของคุณบอกให้ฟังอย่างงั้นเหรอคะ...”

รัตมาย้อนถามเสียงสูง ตวัดนัยน์ตากรุ่นมองเจ้าของเรือนร่างสูงใหญ่ ผิวเขาคล้ำแดดเพราะต้องทำงานหนักอยู่ในไร่ทั้งวัน ผมดำหยักศก แต่ก็รับกันดีกับนัยน์ตากลมสีดำสนิท...

“พี่พิกุลครับ ช่วยเติมน้ำให้ผมเพิ่มอีกสักเหยือก” ทิวาเรียกหาน้ำเพิ่ม คอเขายังรู้สึกเค็มจนขมปร่า แม้จะกลืนอาหารจานอื่นตาม ทว่ารสชาติกลับไม่ได้ต่างกันเลยสักนิด...

รัตมานึกสมน้ำหน้าชายหนุ่มในใจ ขอให้เขาป่วยเป็นโรคไตตายไปเลยยิ่งดี ยิ่งเห็นสีหน้าเบิกบานใจของแม่สาวใช้จอมมารยา พานให้ยิ่งนึกหมั่นไส้เจ้านายของแม่นั่นหนักยิ่งขึ้นกว่าเดิม...

ดูท่าทางก็ฉลาดทันคน แต่ไหงกลับโง่ มองสันดานคนหน้าไหว้หลังหลอกไม่ออกเสียอย่างนั้น...

ถึงเธอจะไม่ชอบขี้หน้าเขาเป็นทุนเดิม ด้วยเหตุผลเมื่อครั้งอดีตเป็นเหตุสำคัญ แต่เธอคงไม่สิ้นคิด ถึงขั้นลุกขึ้นกลั่นแกล้งเขาด้วยวิธีปัญญาอ่อน เหมือนตัวละครโง่ๆสักตัวในทีวีเขาทำกันหรอกนะ...

 เขาคงลืมเรื่องสำคัญไปหรือเปล่า เธอเองก็ต้องกินอาหารร่วมโต๊ะเดียวกันกับเขา...แกงทุกชนิดตรงหน้า เธอไม่ได้สั่งทำพิเศษเฉพาะตัวเองสักหน่อย...ถ้าคนคิดได้จะไม่มีวันหลงเชื่อคำโกหก แต่นายทิวากับคิดไม่ได้ หรือว่าแกล้งคิดไม่ได้เสียก็ไม่รู้...

เขากลับหลงเชื่อคำพูดของแม่บ้านคนโปรดไปหมดซะทุกคำ...ไม่รู้นะถ้ายายพิกุลบอกว่าเธอบินได้ นายทิวายังจะเชื่อคำพูดของเจ้าหล่อนอยู่อีกหรือไม่...

วิธีแกล้งเขาน่ะเหรอ มีให้ทำอีกตั้งหลายวิธี อาทิเช่น...รัตมาเหลือบตามองไปยังทิวทัศน์ด้านนอก ก่อนแอบหัวเราะคิกคักในใจ นึกถึงภาพฝูงวัวกว่าห้าสิบตัวของไร่เพื่อนบ้าน เดินมาด้อมๆมองๆหาหญ้าอ่อนกิน ก่อนพวกมันจะพากันพังรั้วกั้น เข้ามาในเขตพื้นที่ไร่กุลวารี เพราะว่าอีกฝั่งมีของกินล่อตาล่อใจ น่ากินกว่าฝั่งตนเองเป็นกอง...

 เป็นหญ้าขึ้นใหม่ กลิ่นหอมชวนน้ำลายสอ จะบอกว่าฝูงวัวเหล่านั้นพังรั้วทั้งหมด คงไม่ใช่เสียเต็มร้อย ก็เพราะเธอแอบช่วยเปิดประตูรั้วไม้อีกฟาก ก่อนฝูงวัวเหล่านั้นจะพากันเดินย้ำลงบนแปลงผักกาดแปลงใหญ่ จนเกิดเหตุการณ์โกลาหลย่อมๆขึ้นตรงท้ายไร่ เธอเห็นทิวาวิ่งจนหัวหมุน คอยตะโกนสั่งการณ์คนงานไร่กุลวารี คนงานหลายคนต่างคนต่างวิ่งจนเหนื่อยหอบ คอยต้อนฝูงวัวกลับเข้าเขตไร่ของเพื่อนบ้าน

 กว่าเหตุการณ์จะเข้าสู่โหมดปรกติ เล่นเอานายทิวาเหงื่อตก เหนื่อยแทบขาดใจ ตอนเขาย้อนกลับเข้าบ้าน สีหน้ายังดูบูดบึ้งเหมือนโกรธใครมาสักชาติ...เขาเดินลงน้ำหนักเสียงดังปึงปังขึ้นบันได ไม่ยอมพูดยอมจากับใครทั้งนั้น แม้กระทั่งแม่บ้านคนโปรดเขายังไม่ชายตาแล ก่อนปิดประตูห้องเสียงดังโครม แล้วไม่ลงมาทานอาหารเย็นด้านล่างอีกเลย...

พิกุลเดินหน้าบานพร้อมรินน้ำเย็นใส่เหยือกให้ตามคำสั่ง...

คิดกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ ยังไงวันนี้มารหัวใจเธอมันต้องถูกลงโทษ...

“พี่ไม่ได้ใส่ความนะคะคุณวา”

สาวใช้ที่มีศักดิ์เป็นญาติห่างๆของเกศแก้ว หรือที่รัตมาแอบเรียกว่ายายหน้าสวย ยังมีการพูดทิ้งท้ายก่อนเดินใบหน้ายิ้มแป้นย้อนกลับเข้าห้องครัว...

ทิวาพยักหน้าส่งสัญญาณว่าเขาเชื่อในคำพูดของเจ้าหล่อน และจะไม่มีวันหลงเชื่อคำพูดของผู้หญิงนิสัยตลบตะแลง ปลิ้นปล้อนจนติดเป็นนิสัยเด็ดขาด...

ทำไมน่ะเหรอ...ก็เพราะเขาเคยถูกเจ้าหล่อนสร้างเรื่องโกหก ทำลายความสุขทั้งชีวิตมาก่อนหน้านั้นแล้วน่ะสิ โดนมากับตัวเอง ให้เชื่อก็โง่เต็มที... 

“พี่พิกุลไม่มีเหตุผลอะไรต้องพูดโกหก...ไม่เหมือนอย่างกับ...” ทิวาจงใจทิ้งคำพูดตรงคำว่า ‘เธอ’ แล้วเปลี่ยนเป็นเหลือบสายตาฉุนเฉียวมาทางด้านเธอผู้นั้น ดังคำสุภาษิตโบราณ สันดอนนั้นขุดได้ แต่สันดานมนุษย์นั้นช่างขุดยากเย็นสิ้นดี...

 กี่ครั้งต่อกี่ครา รัตมาก็ไม่เคยเปลี่ยนนิสัยตัวเอง นับวันยิ่งดูเหมือนจะยิ่งเลวร้าย หนักขึ้นกว่าแต่ก่อนเสียด้วย...

ความจริงถ้าเป็นสมัยก่อน เขาเองก็เคยนึกเอ็นดูรัตมาไม่น้อย ยังเคยพูดจาเล่นหัวตามประสาคนรู้จักมักคุ้น ก่อนจะเกิดเรื่องอัปยศขึ้น ความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันจึงยุติลงแต่เพียงเท่านั้น...

และเพราะเขาเห็นเจ้าหล่อนมาตั้งแต่เล็กนี่เอง เลยทำให้เขาเห็นความร้ายกาจของหญิงสาวมาโดยตลอด จวบจนกระทั่งรัตมาเติบโตเป็นสาวสะพรั่งแล้วย้อนกลับเข้ามาในไร่ของเขา เจ้าหล่อนก็ยังทำตัวเป็นเด็กเลี้ยงแกะ เชื่อถือคำพูดอะไรไม่ได้สักเรื่องเดียวเหมือนเคย...

ก็ไม่เพราะไอ้นิสัยนี้ของเจ้าหล่อนหรือไง ช่วงหนึ่งในชีวิตของเขา ถึงได้ไม่ต่างจากถูกล่ามโซ่ เหมือนวัวเหมือนควายตัวหนึ่ง...ทำให้คนที่เขารัก ก็ไม่อาจรักกันได้ จนตอนนี้เกศแก้วของเขา หันกลับไปแต่งงานกับเพื่อนในรุ่นเดียวกัน และกำลังจะมีลูกคนที่สองด้วยกันอีกต่างหาก...

ย้อนกลับมาดูที่ตัวเขาสิ มีอะไรเหลือบ้าง แม้แต่ความสุขเขายังไม่กล้ามีมันด้วยซ้ำ...

 ทิวาเบือนหน้าหนี ไม่อยากมองให้เสียความรู้สึก...

ลูกไม้ผลนี้เหตุใดถึงได้หล่นไกลต้นนักก็ไม่รู้...

ทิวาจำได้...บิดาของเจ้าหล่อนช่างแสนดีกับเขาเหลือเกิน

ท่านมีชื่อว่าคุณลุงประพา เป็นผู้ใหญ่ที่น่าเคารพนับถือ ตัวเขาเองก็นับถือและรักท่านอย่างสุดหัวใจ ถ้าจะว่าไปเขารักท่านพอๆกับรักในตัวของบิดาตนเองเลยก็ว่าได้ ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะความคุ้นเคย หรือความสนิทเชื่อใจกันมาช้านานนั่นเอง...

 แม้ช่วงเวลานั้น...เขายังเป็นเพียงหนุ่มน้อย คอยวิ่งตามก้นผู้เป็นบิดาไปเรียนรู้งานการเกษตร อาจด้วยใจรักและมันเป็นความใฝ่ฝันของเขาตั้งแต่เริ่มก้าวเข้าสู่ชั้นวัยมัธยมต้น การได้เห็นพื้นดินกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา โดยปราศจากสิ่งกีดขวางที่เป็นตัวตึกทรงประหลาด ได้เห็นใบไม้สีเขียวขจีตัดกับขอบฟ้าสีคราม รวมทั้งกลิ่นโชยของดินชุ่มน้ำ มันทำให้เขารู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก...

จำได้ว่าตอนนั้นคุณลุงประพา เป็นเพียงเกษตรกรตัวอย่าง ก่อนผันตัวเองมาเป็นวิทยากร คอยแนะนำเกษตรกรรุ่นใหม่ของจังหวัด จวบจนเวลาล่วงผ่าน ทำให้เขาสนิทสนมกับท่านมากขึ้นตามลำดับ ก่อนท่านมาเสียชีวิตไปเมื่อสามปีก่อน จากโรคมะเร็งร้าย...

 “คุณกำลังจะบอกว่าไม่เหมือนกับฉันสินะ...” รัตมาชี้นิ้วเข้าหาตัว ทำเสียงหึในลำคอ

ทิวากลอกตา เรื่องแบบนี้ไม่เห็นต้องตอกย้ำเลยนี่นา เจ้าตัวย่อมรู้จักนิสัยตัวเองดีกว่าใคร...

“จันทร์...ไปหยิบหม้อแกงจืดมาให้ฉันที”

“คุณวาให้เอามาทำอะไรหรือคะ...” สาวใช้ที่มีชื่อว่าจันทร์ย้อนถาม เลยถูกดุเสียงดังลั่น...

“ไม่ต้องถามให้มากความ...แค่เดินไปเอามาตามคำสั่งฉันก็พอ”

“ค่ะ...คุณวา”

สาวใช้รับคำเสียงสั่น ใจชัก ตุ๊มๆ ต่อมๆ รีบหลบตาลงวูบ ใครบ้างในไร่กุลวารี ไม่เกรงกลัวคุณทิวากันหัวหดบ้าง ร้อยวันพันปีถึงจะได้เห็นเจ้าของไร่ยิ้มแย้มแจ่มใสสักครา ถ้าจำไม่ผิด คงตั้งแต่ปีมะโว้นู่นกระมัง ตอนนั้นคุณทิวากำลังคบหาดูใจอยู่กับคุณเกศแก้ว...

เหตุผลต้องทำให้เลิกรากันก่อนถึงวันมงคล ก็นั่งหน้ามุ่ยอยู่ตรงนี้นี่ไง...

จันทร์เจ้าเหล่มองต้นตอของปัญหามือที่สาม...พร้อมกับถอนหายใจหนัก ดึงสายตากลับลงมองแค่มือตัวเอง ร่างผอมเริ่มยืนไม่เป็นสุข...

สงสารมันก็สงสารอยู่หรอก แต่เธอยังไม่อยากเสี่ยงหางานทำใหม่ตอนนี้เสียด้วย...

งานดี เงินดีแบบในไร่กุลวารี ใช่ว่าจะหากันได้ง่ายๆ เสียหน่อย...

เอาเถอะ...คนฉลาดอย่างคุณส้ม คงเอาตัวรอดกับปัญหาหนนี้ได้ไม่ยาก เห็นได้ชัดที่แล้วมา คุณส้มของเธอ สามารถแคล้วคลาดหลุดพ้นเงื้อมมือของคุณทิวามาได้ทุกครั้งซะะด้วย ถึงใครจะมองว่าคุณทิวาดุ ใจร้ายใจดำกับคุณส้มต่างๆ นานา หากเอาเข้าจริงก็ไม่เคยเห็นคุณทิวา กล้าทำร้ายคุณส้มจริงจังสักครั้ง มีแต่ฟาดงวงฟาดงา ปั้นปึ่งเข้าใส่ไปตามประสาผู้ชายใจร้อนแค่นั้นเอง...

สาวใช้วัยยี่สิบชำเลืองมองผู้ชายขี้ใจร้อนสลับกับใบหน้าของผู้หญิงหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู รู้สึกคันปากยิกๆเหมือนกัน อยากเล่าความจริงถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า ติดตรงที่ตนนั้นถูกข่มขู่เอาไว้ ด้วยคนที่เทถุงเกลือลงในหม้อแกงจืดตัวจริงไม่ใช่คนที่ถูกกล่าวหาสักหน่อย...

แต่เป็นคนที่กล่าวหาเขาเองต่างหาก แล้วยังมีหน้ามาขู่ฟ่อ ห้ามตนปากสว่าง เล่าบอกความจริงกับใครทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นครอบครัวเธอจะลำบาก...

จันทร์เจ้ากลืนน้ำลายขมปร่า แอบมองผู้หญิงตัวเล็กข้างกายเจ้านายอย่างสำนึกผิด...

จันทร์ขอโทษนะคะคุณส้ม...เธอทำปากขมุบขมิบ แววตาสลดลด เธอไม่กล้าเสี่ยงปากสว่างบอกความจริง เพราะตนนั้นเป็นเพียงคนงานธรรมดา น้ำหนักปากคงสู้ญาติห่างๆของคุณเกศแก้วอดีตคนรักของคุณทิวาไม่ได้แน่ รายนั้นชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้อยู่ด้วย...

ไหนจะยังเป็นห่วงเรื่องปากท้องของคนทั้งครอบครัว...ยังไงเธอยังคงเป็นเสาหลัก ยังต้องคอยเลี้ยงดูอีกหลายปากหลายท้อง...

จันทร์ขอเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ก่อนนะคะคุณส้ม เอาไว้จันทร์จะแก้ตัวให้คราวหลังก็แล้วกัน...

จันทร์เจ้าสะดุ้งเมื่อรัตมาปรายตามองมายังตน ก่อนหลบตาวูบ เร่งหันหลังเดินเข้าห้องครัว พร้อมฉวยเอาหม้อแกงเจ้าปัญหา นำมาวางไว้บนโต๊ะอาหารตามคำสั่งของทิวา...

“นี่ค่ะคุณวา...ให้หนูเอาไปเททิ้งหรือคะ...” จันทร์เจ้าหลับหูหลับตาถาม ช่วยโดยตรงไม่ได้ก็ช่วยมันทางอ้อมนี่แหละวะ...

“ไม่ต้องทิ้งให้เสียดายของ...ตักใส่ถ้วยให้เต็ม...คนไหนทำคนนั้นก็ต้องกินให้หมด”

ทิวาออกคำสั่งเสียงเครียด จันทร์เจ้ารีบทำตามคำสั่งทันที คราวนี้ไม่คิดอิดออด รีบทำจะได้รีบออกจากตรงนี้สักที บอกตามตรง มันรู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ทั่วท้อง ดังนั้นมือที่กำลังตักแกงในหม้อมาใส่ในชามใบขนาดโตเลยสั่น จนจันทร์เจ้าทำแกงจืดหกเปื้อนนอกถ้วยเซรามิก

“อุ๊ย! ขอโทษค่ะ”

รัตมานั่งเม้มริมฝีปากแน่น พร้อมเหลือบตามองคนใจร้าย...

“ต่อให้ฉันพูดความจริงคุณก็คงไม่เชื่ออีกตามเคยสินะ”

“แล้วมีคำไหน? ที่ฉันสมควรเชื่อเธอได้บ้าง...” เขาย้อนถามกลับทันควัน

“ทุกคำที่ฉันพูดนั่นแหละค่ะ” รัตมาทำเสียงประชด พร้อมลุกขึ้นยืน

“หยุด...แล้วนั่งลงที่เดิมซะ...”

“ไม่ค่ะ...” รัตมาส่ายหน้า ดันเก้าอี้ถอยห่าง ตั้งท่าจะเดินออกจากโต๊ะอาหารมื้อเย็น  

เธอไม่ต้องการทำตามคำสั่งงี่เง่าใดๆของพ่อคนหูเบา ดวงตาสองดวงมีแต่ความมืดบอด...ไม่ใช่เพิ่งมาบอด สายตาของทิวาบอดมานานแล้วต่างหาก...

“ฉันมีธุระต้องทำ...คงอยู่กินแกงจืดน้ำทะเลกับคุณไม่ได้ เชิญคุณนั่งทานคนเดียวตามสบาย”

นั่นคงเป็นเพราะที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งรัตมาแน่ใจ เอาเข้าจริง...ทิวาเอง เขาก็ไม่เคยใจแข็งพอถึงขั้นลงมือทำร้ายเธอจริงดั่งคำขู่ อย่างมากก็แค่โวยวายเสียงดัง ก่อนไล่เธอไปให้พ้นหน้า หรือไม่ก็ตั้งท่าปั้นปึ่ง

 หนักหน่อยเห็นมีเพียงครั้งสองครั้ง...ตอนเขาทิ้งเธอไว้กลางทางขากลับจากดูงานในตัวอำเภอ ตอนนั้นเธอกับเขามีปากเสียงกันในรถ เธอท้าทายเขาเพราะอารมณ์โกรธจัด ใครเล่าจะคิด...นายทิวาดันกล้าทิ้งเธอไว้ข้างทางเปลี่ยวได้จริง โชคดีที่มีรถจากไร่ข้างเคียงวิ่งผ่านมาเห็นเข้า เธอจึงรอดปลอดภัย กลับมาถึงไร่กุลวารีด้วยอาการครบสามสิบสอง...

กับอีกครั้ง เธอถูกเขาลอยแพ ปล่อยให้เดินกลับเข้าไร่จนขาแทบลาก นอนปวดเท้าระบมอยู่ราวอาทิตย์...

“ถ้าไม่นั่งลงดีๆ เธอก็เตรียมตัวเก็บกระเป๋าเสื้อผ้า แล้วออกจากไร่ของฉันไปตอนนี้ได้เลย”

ทิวาขึ้นเสียงแข็ง ตวัดสายตาเอาจริงขึ้นมองใบหน้านวล เขาผิดเองที่ใจอ่อนให้เจ้าหล่อนเรื่อยมา นี่คงเหลิงจนได้ใจ ถึงได้กล้ากลั่นแกล้งเขาโดยไม่คิดยำเกรงกันสักนิดเดียว...

รัตมาถอนหายใจหนัก กระแทกตัวลงนั่งตามคำสั่ง...

ขอบตาร้อนผ่าว เพราะทั้งโกรธทั้งน้อยใจ...

เอะอะก็ไล่ออก นึกว่าอยากทำงานด้วยนักหรือไง...

 

กว่ารัตมาจะล้วงคอ ขย้อนเอาผงเกลือที่ตกหล่นอยู่ในกระเพาะออกมาจนหมด เล่นเอาน้ำหูน้ำตาเธอไหลพราก เม็ดเหงื่อเล็กผุดพราวทั่วใบหน้าขาวใส ตอนโก่งคออ้วกก็นึกแช่งชักหักกระดูกไอ้คนใจดำ ยิ่งเจ็บใจหนักตอนเห็นสายตาสะใจของยายแม่ครัวตัวร้ายนั่น สักวันหนึ่งเถอะกรรมนั้นจะคืนสนองเจ้าหล่อนเอง...

ก็คงเหมือนกับเธอตอนนี้ไง ทุกข์ร้อนใจไม่เว้นวาย เพราะต้องชดใช้กรรมที่เคยทำไว้กับนายทิวา...

ร่างงามรูดลงกองกับพื้นกระเบื้องห้องน้ำ ยกหลังมือปาดน้ำตาทิ้ง น้ำตาเจ้ากรรมจะไหลทำไมนักหนาก็ไม่รู้ เธอไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนปวกเปียก ชอบร้องไห้ขี้มูกโป่งตอนถูกใครเขารังแกเสียหน่อย มีแต่จะลุกขึ้นสู้ ชนิดตาต่อตาฟันต่อฟันเลยปะไร...

 ก่อนรัตมากัดฟัน ฝืนสังขารอ่อนเปลี้ย คลานเข่าช้าๆออกจากห้องน้ำ เพราะรัตมาไม่ได้เพียงแค่อ้วก แต่เธอยังถ่ายเหลวอีกต่างหาก ถ่ายมาได้สักพัก จนตอนนี้รู้สึกถึงร่างกายมันอ่อนเพลีย ไร้เรี่ยวแรงเหลือเกิน...

ก็ทั้งแกงจืด ผัดผักรวมมิตร หรือแม้กระทั่งบัวลอยไข่หวานที่รสชาติเค็มปี๋ ทุกอย่างบนโต๊ะ ล้วนถูกเธอกลืนลงกระเพาะจนหมดเกลี้ยง ไม่ได้เต็มใจอยากจะกลืน ต้องบอกว่าเธอถูกจับยัดใส่ปาก บังคับให้กลืนต่างหาก...

ทันทีที่ขยับตัวเข้าหน่อย รัตมารู้สึกได้เหมือนลำไส้กำลังถูกบิดด้วยมือที่มองไม่เห็น หญิงสาวนิ่วหน้า ยกมือกุมท้องพร้อมงอตัวลงกับพื้นตามเดิม ร้องเสียงครางโอดโอยที่หากใครผ่านมาได้ยิน คงมีขนลุกซู่กันบ้าง ความเจ็บปวดแสดงผ่านออกทางสีหน้าเหยเก เห็นทีคราวนี้ เธอคงไม่รอดกลับออกจากไร่เฮงซวยนี้เป็นแน่แท้...

เธอยังสาวแล้วก็ไม่ถึงกับขี้ริ้วขี้เหร่จนดูไม่ได้เสียหน่อย เรื่องอะไรต้องเอาชีวิตสวยงามมาทิ้งไว้ที่ไร่ของนายคนใจดำด้วยเล่า เพียงแค่เธอต้องการพิสูจน์ตัวเองให้ชาวบ้านได้เห็น รัตมาสาวน้อยคนนั้นกับรัตมาหญิงสาวในวันนี้ มิได้เป็นคนคนเดียวกันอย่างนั้นหรือ...

รัตมาหลับตาถอนหายใจยาว ยังไงแม่คงไม่ยอมอีกนั่นแหละ และเธอก็ไม่อยากทำให้ท่านเสียใจ...   

พอคลานมาจนถึงเตียง รัตมาถึงกับผ่อนลมหายใจยาวเหยียด ปาดทั้งน้ำตาทั้งเหงื่อทิ้ง เงยหน้าขาวซีดมองขอบเตียง กัดฟันกรอดหมายโหนตัวขึ้นไปนอนบนเตียงนุ่ม พักผ่อนสักหน่อยอาการคงดีขึ้น

 หากเพราะออกแรงมากบวกกับร่างกายที่กำลังอ่อนเพลียหนัก...เกิดจากภาวะเสียน้ำในร่างกายมากผิดปกติ ทำให้รัตมาหน้ามืดแล้วเป็นลมหมดสติในทันที...

 

เข้าอ่านเนื้อหาฉบับเต็มได้ที่   (readAwrite) ตามลิงค์ด้านล่างเลยจ้า -  -  https://www.readawrite.com/a/24ee7b53fdc68bb82fa4c03bcafb4949

 

แฟนเพจ: กนกรส  https://www.facebook.com/กนกรส-1742298989361370/
อ่านต่อได้ที่ https://board.postjung.com/1478445

เนื้อหาโดย: nok19800
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
nok19800's profile


โพสท์โดย: nok19800
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
"กองปริศนา" ปริศนาของเวทมนตร์ที่อาจอยู่ใกล้ตัวเรากว่าที่คิด"ไข่ผำ" พืชจิ๋ว ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
"ไข่ผำ" พืชจิ๋ว ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมากคลังฟันธง! "ดิไอคอน" เข้าข่ายฉ้อโกงประชาชน ต้องครบ 3 เงื่อนไข ร่วมวง DSI สรุปสำนวนคดี"กองปริศนา" ปริศนาของเวทมนตร์ที่อาจอยู่ใกล้ตัวเรากว่าที่คิดใครบอกว่า สัตว์น้ำไม่นอน วาฬนอน พิสูจน์ว่าปลาก็นอนเหมือนเรา8 อาชีพยอดนิยมสำหรับปี 2025
กระทู้อื่นๆในบอร์ด นิยาย เรื่องเล่า
พร่างพราวกลางใจสมเด็จพระราชินีนาถรานาวาโลนาที่ 1 ทรราชย์แห่งมาดากัสการ์พระราชินีองค์สุดท้ายแห่งมองโกเลีย ผู้ถูกประหารชีวิตโดยคอมมิวนิสต์ (สมเด็จพระราชินีเกอเนอพิล)🌲ประตูสู่โลกที่ไม่เคยมีใครรู้จัก✨ตอนที่ 3: แสงแห่งจิตวิญญาณ
ตั้งกระทู้ใหม่