ประเทศที่นิยมการบริโภคเนื้อสุนัขมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก
วัฒนธรรมการกิน เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์มาตลอดประวัติศาสตร์ ผู้คนทั่วโลกล้วนมีการกินที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเอง มีความหลากหลายของวัตถุดิบที่ใช้ทำอาหารแตกต่างกันไป ตามแต่ละพื้นที่ ที่มีเงื่อนไข ข้อจำกัด และค่านิยมที่แตกต่างกัน
'เนื้อหมา' หรือเนื้อสุนัข ก็เป็นเนื้อสัตว์อีกชนิดหนึ่งที่มีคนนิยมนำมาประกอบอาหารกันนานแล้ว เท่าที่มีการบันทึกไว้ การกินเนื้อหมาถือเป็นเรื่องปกติในหลายๆวัฒนธรรม ที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ เช่นในประเทศจีน เกาหลี เวียดนาม และอีกหลายประเทศในทวีปแอฟริกา บางช่วงในยุคสงคราม การกินเนื้อหมาอาจเกี่ยวข้องกับเรื่องของการขาดแคลนอาหาร ส่วนในปัจจุบันก็ยังมีหลายส่วนของโลกที่ยังคงนิยมการกินเนื้อชนิดนี้อยู่ ถึงแม้จะมีหลายประเทศที่ไม่ห็นด้วย หรือกระทั่งมีกฏหมายห้าม
เนื้อหมาให้พลังงาน 262 กิโลแคลลอรี ไขมัน 20.2 กรัม โปรตีน 19 กรัม และมีแร่ธาตุหลายชนิด ทั้ง แคลเซียม เหล็ก ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และโซเดียม (ต่อน้ำหนักเนื้อสด 100 กรัม)
ในปัจจุบัน ประเทศที่มีการบริโภค 'เนื้อหมา' ในปริมาณมากที่สุด ก็คือประเทศจีน ประมาณ 10 ล้านตัวต่อปี (ยังไม่รวมเนื้อแมวอีกราวๆ 4 ล้านตัว) ประเทศจีนเป็นหนึ่งในชาติที่เก่าแก่ที่สุด ที่มีบันทึกเกี่ยวกับความนิยมของเนื้อชนิดนี้ ในหมู่บ้าน 'หยูหลิน (Yulin)' ยังมีการจัดเทศกาลกินเนื้อสุนัขทุกปี ในงานที่ชื่อ 'เทศกาลลิ้นจี่และเนื้อสุนัขประจำปีของหยูหลิน' แม้จะมีแรงต่อต้านจากหลายๆประเทศก็ตาม ล่าสุดทางการจีนประกาศให้ 'เซินเจิ้น และ จูไห่' เป็นสองเมืองแรกของจีนที่ห้ามกินเนื้อสุนัขและแมว พร้อมกันกับที่กระทรวงเกษตรของจีนได้ประกาศเปลี่ยนสถานะของสุนัขและแมว จาก 'สัตว์เพื่อการปศุสัตว์' กลายเป็น 'สัตว์เลี้ยง'
ประเทศที่มีการบริโภคเนื้อหมามากเป็นอันดับที่ 2 ของโลก คือประเทศเวียดนาม ที่ราวๆ 5 ล้านตัวต่อปี ที่เวียดนามนิยมนำไปทำเป็นซุป หรือเสียบไม้ย่าง ตลาดการค้าเนื้อหมาของที่นี่ถือเป็นตลาดใหญ่ ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก แม้จะตามมาด้วยปัญหาการนำเข้าที่ผิดกฏหมายก็ตาม