12 นักแสดงชายระดับหัวแถว ที่ใครๆ ก็คิดว่าได้ออสการ์ไปแล้ว แต่ ‘ยัง’
ตลอดการจัดงานประกาศรางวัลออสการ์ที่ผ่านมากว่า 90 ครั้ง มีนักแสดงชายมากมายที่คว้ารางวัลไปครอง และมีมากกว่านั้นที่ได้ชื่อแค่เข้าชิง ที่หลายๆ คนไม่ใช่แค่หนเดียว แต่ยังวืดซ้ำซาก แถมเข้าชิงเป็นประจำ จนคนคิดว่าได้ไปแล้ว หรือบางคนก็เล่นหนังดีเหลือเกิน ดูหนังที่เล่นกี่ทีก็ "อืมม… ได้รางวัลออสการ์อีกแหงๆ" แต่เปล่าเลย เคยชิงก็ไม่กี่ครั้งแถมยังไม่ได้อีก และนี่คือนักแสดงชาย 12 ราย ที่เชื่อว่า มีคนไม่น้อยเลยที่คิดว่าได้ออสการ์ไปแล้ว!!!
เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน จาก Primal Fear ที่เขาเข้าชิงออสการ์ครั้งแรก
เข้าชิง: 3 ครั้ง สมทบชาย - Primal Fear (1997) และ Birdman (2015), นำชาย - American History X (1999)
ยอดฝีมือที่มอบการแสดงระดับออสการ์ในหนังแทบทุกเรื่องที่เล่น แต่ไม่เคยกลับบ้านพร้อมลุงออสการ์เลย ชิงสมทบชายหนแรกพลาดให้ คิวบา กูดดิง จูเนียร์ (Jerry MaGuire) หนสองแพ้เจ.เค. ซิมมอนส์ (Whiplash) ส่วนครั้งที่ชิงดารานำ โรแบร์โต เบนิญี่ (Life is Beautiful) ได้ไป ซึ่งจะว่าไป นอร์ตันควรได้ออสการ์ตั้งแต่ครั้งนี้ เพราะการแสดงใน American History X ของเขาไม่ด้อยกว่าเบนิญีเลย รวมทั้งน่าจะได้เข้าชิงมากกว่าที่เห็น เช่น จาก Fight Club ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าเข้าชิงก็ยังไม่ได้เข้า
เช่นเดียวกับที่ไม่น่าเชื่อว่าตู้โชว์ที่บ้านของเขายังไม่มีออสการ์
ทอม ครูซ กับบทที่เป็นชื่อเรื่องใน Jerry Maguire ซึ่งหลายคนคิดว่าเขาได้ออสการ์
เข้าชิง: 3 ครั้ง นำชาย - Born on the Fourth of July (1990) และ Jerry Maguire (1997), สมทบชาย – Magnolia (2000)
แม้จะไม่ใช่นักแสดงขายฝีมือเบอร์ต้นๆ แต่ก็อยู่ในหนังรางวัลเป็นประจำ บางทีก็ถึงขั้นชิงออสการ์เอง ซึ่งบางคนคงคิดว่าเขาได้ไปแล้วจาก Jerry Maguire แต่ยัง เพราะปีนั้นรางวัลเป็นของจอฟฟรีย์ รัช (Shine) ส่วนครั้งชิงจาก Born of the Fourth of July ก็แพ้ให้แดเนียล เดย์-ลิวอิส (My Left Foot) พอชิงสมทบชายก็พ่ายรุ่นใหญ่ไมเคิล เคน (The Cider House Rules) ที่ดูชื่อนักแสดงและหนังที่พวกเขาเล่นจนได้รางวัล ก็ต้องยอม
แต่เชื่อเถอะ คนตั้งเยอะคิดว่าเขาได้รางวัลจาก Jerry Maguire
แจ็ก สแปร์โรว์ บทสร้างชื่อ และบทที่ทำให้จอห์นนี เด็ปป์ เข้าชิงรางวัลออสการ์
เข้าชิง: 3 ครั้งจากสมทบชาย - Pirates of the Caribbean: The Curse of the Black Pearl (2003), Finding Neverland (2004) และ Sweeney Todd: The Demon Barber of Fleet Street (2007)
ขายฝีมือตั้งแต่เริ่มมีชื่อใหม่ๆ มีงานดีๆ ให้พูดถึงเยอะ เช่น What’s Eating Gilbert Grape?, Benny & June, Donnie Brasco แต่แค่เข้าชิงก็ไม่ได้เข้า จนเล่นเป็นแจ็ค สแปร์โรว์ เด็ปป์ถึงได้เข้าชิงรัวๆ อีกสองครั้ง แต่ก็พลาดหมด ดูคนที่ได้และหนังที่เล่น ฌอน เพ็นน์ (Mystic River), เจมี ฟ็อกซ์ซ์ (Ray) และแดเนียล เดย์-ลิวอิส (There Will be Blood) ไม่ยอมก็ต้องยอม
จะว่าไปบทที่เด็ปป์ควรได้ออสการ์ ไปอยู่ในหนังที่ไม่ได้เข้าชิงมากกว่า เช่น Ed Wood หรือ Donnie Brasco ที่ไม่รู้ว่าพลาดเข้าชิงได้ยังไง
เรล์ฟ ไฟนส์ จากหนังที่ทำให้ชิงออสการ์เป็นหนที่สอง English Patient
เข้าชิง: 2 ครั้ง สมทบชาย - Schindler’s List (1993) และนำชาย - The English Patient (1996)
ไม่ได้ก็ไม่ว่า แต่ไฟนส์เป็นอีกคนหนึ่งที่ได้เข้าชิงรางวัล ‘น้อย’ กว่าที่ควรจะเป็น กับสองครั้งที่ได้เข้าชิง หนแรกพ่ายให้กับ ทอมมี ลี โจนส์ จาก The Fugitive ที่จะว่าไปแล้ว เอาหนังกลับมาดูกันอีกทีในตอนนี้บทนายทหารนาซีจอมโหด ที่ดุดันอย่างกับสัตว์ประหลาด สมควรได้รางวัลมากกว่า ขณะที่การเสียรางวัลดารานำชายให้จอฟฟรีย์ รัช จาก Shine ก็ยอมรับกันได้
แต่ก็ไม่คงมีใครคิดไปว่า ไฟนส์เคยได้ออสการ์จากบท คนที่คุณก็รู้ว่าใคร หรอกนะ
เลียม นีสัน เข้าชิงออสการ์เพียงครั้งเดียวจากเรื่องนี้ Schindler’s List
เข้าชิง: 1 ครั้ง นำชาย - Schindler’s List (1993)
ไม่น่าเชื่อที่นีสันจะเข้าชิงออสการ์แค่หนเดียว แต่ถึงจะชิงหลายครั้ง เชื่อเถอะ คนมักจะคิดว่าเขาได้รางวัลแล้วจาก Schindler’s List แต่ปีนั้นคนที่ได้คือทอม แฮงค์ส จาก Philadelphia ก็ถือว่าสมควรอยู่ หากบทชินด์เลอร์ที่นีสันเล่น ได้รางวัลก็ไม่ถึงกับน่าเกลียด จัดว่าเป็นปีที่สูสี นอกจากนี้การแสดงใน Nell ก็น่าจะทำให้เขาไปไกลกว่าที่เห็น อย่างน้อยได้เข้าชิงก็ยังดี
เมื่อดูผลงานในทุกวันนี้ นีสันที่กลายเป็นดาราบู๊ตอนแก่ ดูจะไกลออสการ์ไปเรื่อยๆ จนคนลืมไปแล้วว่า นี่คือนักแสดงสายเวทีละครอีกคนที่มาแจ้งเกิดบนจอภาพยนตร์
พ่อมดแกนดาล์ฟ คือบทหนึ่งที่ทำให้เอียน แม็กเคลเลนเข้าชิงออสการ์
เข้าชิง: 2 ครั้ง นำชาย - Gods and Monsters (1998), สมทบชาย The Lord of the Rings: The Fellowship of the Ring (2001)
ไม่น่าเชื่อว่าแม็กเคลเลนไม่เคยได้ออสการ์ และไม่น่าเชื่อยิ่งกว่าว่า จะเข้าชิงแค่ 2 หน ครั้งแรกเป็นบทนำ เขาแพ้ให้กับเบนิญี (Life is Beautiful) พอเข้าชิงสมทบ จิม บรอดเบนต์ (Iris) ก็คว้ารางวัลไป ดูใหม่ในวันนี้ การแสดงของแม็กเคลเลนใน Gods and Monster ดีพอสำหรับรางวัล หรือแพ้ให้กับนอร์ตัน ไม่ใช้เบนิญี จากการประเมินค่าใหม่ในช่วงปีหลังๆ
ยิ่งไปกว่านั้น เขาสมควรได้ชิงจาก Mr. Holmes ที่เล่นเป็นเชอร์ล็อก โฮล์มส์ในวัยชราได้อย่างเยี่ยมยอด รวมถึง Apt Pupil ก็เข้าท่า แต่ก็อย่างที่เห็น ไม่มีกระทั่งชื่อเข้าชิงออสการ์
ADVERTISEMENT
วิลล์ สมิธ จาก Concussion ที่หลายๆ คนมองว่าเขาน่าจะเข้าชิงออสการ์เป็นอย่างน้อย แต่ไม่ได้จนเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่นำไปสู่กระแส #OscarsSoWhite
เข้าชิง: 2 ครั้ง นำชาย – Ali (2002) และ The Pursuit of Happyness in 2007
บทสมิธใน Ali นั้นแข็งจริง แต่ก็เจอที่แข็งกว่า เดนเซล วอชิงตัน จาก Training Day ส่วนหนที่สองก็แพ้ให้กับอีดี อามิน ที่รับบทโดย ฟอเรสต์ วิเทเกอร์ (The Last King of Scotland) เรียกได้ว่าสมิธเจออาวุธหนักทุกครั้ง แม้จะไม่ได้แต่ก็ทำให้หลายๆ คนคิดว่า เขาคว้ารางวัลไปแล้วจากเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ส่วนบทใน Concussion เมื่อปี 2015 ก็ถูกมองว่า น่าจะทำให้เขาเข้าชิงอีกหนเป็นอย่างน้อย และเมื่อไม่ได้ก็ทำให้เกิดกระแส #OscarsSoWhite ขึ้นมา
เอ็ด แฮร์ริส บุรุษผู้อยู่เบื้องหลังชีวิตของทรูแมน ใน The Truman Show ที่ส่งให้เขาเข้าชิงออสการ์
เข้าชิง: สมทบชาย – Apollo 13 (1995), The Truman Show (1998), The Hours (2002) นำชาย – Pollock (2000)
ช่วงกลางยุค 90 – ต้นยุค 2000 ถือได้ว่าเป็นยุคทองของแฮร์ริส เมื่อมีผลงานที่ชิงรางวัลได้ไม่อายใครอย่างต่อเนื่อง จนน่าจะจูงมือลุงออสการ์กลับบ้านได้สักครั้ง ไม่ใช่มือเปล่าอย่างที่เห็น แต่เมื่อดูชื่อผู้ชนะ ไม่ว่าจะเป็น เควิน สเปซีย์ (1996 – The Usual Suspects), เจมส์ โคเบิร์น (1999), รัสเซลล์ โครว์ (2001 - Gladiator) และ คริส คูเปอร์ (2003) แฮร์ริสเจอของแข็งมาตลอด ที่พอจะสูสีบ้างก็โครว์ แต่เมื่อดูจากกระแส ก็คงต้องยอมกัน
หากด้วยผลงาน แม้จะมือเปล่าแฮร์ริสก็น่าจะได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงด้วยตัวเลขมากกว่านี้
วิลเล็ม ดาโฟ เข้าชิงหนล่าสุดจากการเล่นเป็น วินเซ็นต์ แวน โก๊ะ
เข้าชิง: 4 ครั้ง สมทบชาย - Platoon (1987), Shadow of the Vampire (2001), The Florida Project (2017) และนำชาย At Eternity's Gate (2019)
จะว่าไปการเข้าชิงหนหลังนี่ละ ที่ดาโฟน่าจะคว้าออสการ์ แต่ก็พ่ายเรมี มาเล็กจาก Bohemian Rhapsody ที่ได้กระแสส่ง เพราะบนจอบทวินเซนต์ แวนโก๊ะของเขาดูเข้มข้นกว่าเฟร็ดดี เมอร์คิวรีของมาเล็กอยู่บ้าง ใน Platoon เขาต้องตัดคะแนนกับทอม เบอร์เรนเจอร์ จากเรื่องเดียวกันสาขาเดียวกัน จนไมเคิล เคน (Hannah and Her Sisters) มาหยิบชิ้นปลามัน, Shadow of the Vampire ปีนั้นมีแต่คู่แข่งแข็งๆ และรางวัลเป็นของเบเนซิโอ เดล โทโร (Traffic) เรื่องสุดท้ายถึงแพ้แซม ร็อกเวลล์ จาก Three Billboard Outside Ebbing, Missouri ตรงความจัดจ้านของบท แต่เป็นอีกครั้งที่เขาเข้าใกล้ออสการ์มากที่สุด
จอห์น มัลโควิช แม้ไม่เคยได้รางวัลออสการ์ แต่มีงานเอาศักยภาพของเขามาเล่น เรื่องนี้ Being john Malkovich
เข้าชิง: 2 ครั้ง สมทบชาย - Places in the Heart (1984), In the Line of Fire (1993)
เป็นกระบี่มือหนึ่งของวงการอยู่พักใหญ่ ถึงขั้นมีหนังชื่อว่า Being John Malkovich ออกมา ซึ่งเป็นการล้อกลายๆ ถึงการเล่นหนังเรื่องต่างๆ ได้อย่างถึงกึ๋น ซึ่งน่าสงสัยไม่น้อยว่าตัวตนของมัลโควิชเป็นยังไง ในหัวของเขามีอะไร เมื่อดูคนที่ได้รางวัลในปีที่เขาเข้าชิง มัลโควิชเจอตอเต็มๆ หนแรกเขาแพ้ให้ เฮง เอส. งอร์จาก The Killing Field ครั้งหลัง แม้จะมองว่าทำได้ดีกว่าทอมมี ลี โจนส์ (The Fugitive) แต่ยังมีเรล์ฟ ไฟน์ส ใน Schindler’s List เป็นก้างชิ้นโตอีก
แต่ที่น่าเกลียดกว่าการที่เขายังไม่ได้ออสการ์ ก็คือ มัลโควิชเนี่ยนะ ได้ชิงแค่สองหน!
วิกโก มอร์เทนเซน กับบทเด่นที่ส่งให้ได้ชิงออสการ์ใน Green Book
เข้าชิง: 3 ครั้ง นำชาย - Eastern Promises (2007), Captain Fantastic (2016) และ Green Book (2019)
บางคนคงคิดว่า มอร์เทนเซน คว้าออสการ์ไปแล้ว จากบทอารากอร์นในหนังชุด The Lord of the Rings แต่ความจริงคือ ยังไม่ได้ แถมไม่เคยเข้าชิงจากหนังชุดนี้ด้วย แต่เป็นหลังจากนั้นที่มีบทดีๆ มาถึงมือต่อเนื่อง จนเข้าชิงออสการ์ดารานำถึง 3 หน แต่ก็วืดหมด หนแรกแพ้ให้เทพแดเนียล เดย์-ลิวอิส (There Will be Blood), หนต่อมาเจอเคซีย์ อัฟเฟล็ก (Manchester by the Sea) ที่แรงสุดๆ มีหนสุดท้ายที่เรมี มาเล็กได้รางวัล ซึ่งจะว่าไปบทจาก Green Book ของเขาดูแข็งเนี้ยบกว่าบนจอ แต่ก็ต้องบี้กับบทแวนโก๊ะของเดโฟใน At Eternity's Gate อีกราย
ครั้งเดียวที่ แซมวล แอล. แจ็กสัน เข้าใกล้ออสการ์ที่สุด ก็คือบทนักฆ่าใน Pulp Fiction
เข้าชิง: หนเดียวในสาขาสมทบชายจาก Pulp Fiction (1995)
ปิดท้ายด้วยนักแสดงรุ่นใหญ่ฝีมือดี มีเครดิตการแสดงเป็นร้อยเรื่อง ที่ด้วยลีลาการแสดงน่าจะมีออสการ์ติดบ้านไปแล้ว แต่ไม่ใช่แค่ไม่ได้ หากยังเข้าชิงแค่หนเดียวอีกต่างหาก ในปีที่มาร์ติน แลนเดาได้รางวัลสมทบชายไปครองจาก Ed Wood ซึ่งถือว่าแพ้ได้ไม่น่าเกลียด
GQ