มนตราวายสะ ตอนที่ 1 รอยปริศนา (5)
ดาวโหลด Ebook คลิ๊กที่ภาพด้านล่างนี้ได้เลยนะคะ
++++++++
“พูดเหมือนตัวเองไม่หลงเสน่ห์มันงั้นแหละ” สกุณาแซวคนที่เอาแต่พูดเหมือนอิจฉาสัตว์เลี้ยง ทั้งที่ก็รักทะนุถนอมมันอย่างกับอะไรดี ที่พูดมานี้ไม่ใช่แค่อิจฉา ที่โดนมันแย่งความสนใจจากหลานหรอก แต่คงเพราะคิดถึงมันด้วยมากกว่า ก็ตั้งแต่เห็นเลี้ยงกันมา แก้วตาเคยห่างจากเจ้าปิงปองซะเมื่อไหร่ ไปไหนก็เอาไปด้วยตลอด
“แฮะ ๆๆ บอกเลยว่ามาก...” แก้วตายอมรับพร้อมกับยิ้มเขิน ๆ เมื่อโดนจับได้ ก่อนจะถามในสิ่งที่ตัวเองข้องใจมานาน แต่ก็ไม่มีโอกาสถามเสียที “ว่าแต่เธอเถอะ รักสัตว์แต่ไม่เห็นเลี้ยงอะไรเลยสักตัว หมาก็น่ารัก แมวก็ขี้อ้อนดี หรือจะเลี้ยงเจ้าแฮมสเตอร์เป็นเพื่อนฉันก็ได้นะ” แก้วตาแนะนำ
“สัตว์ที่ฉันชอบ มันได้โบยบินอย่างเป็นอิสระ คงมีความสุขมากกว่าอยู่ในกรงน่ะ ที่สำคัญฉันก็ชอบพวกมันที่เป็นแบบนั้นมากกว่า แค่ได้ยืนมอง ได้ให้อาหารพวกมันบ้างฉันก็มีความสุขแล้ว” สกุณาบอกพลางมองออกไปข้างนอก
“เธอชอบนกใช่ไหม” แก้วตาเดายิ้ม ๆ
“ใช่ ฉันชอบนกทุกชนิดเลยละ”
“รวมถึงอีแร้งอีกาด้วยเหรอ” แก้วตาเอ่ยถึงสัตว์ตระกูลนกที่ผู้คนมีความเชื่อในด้านลบ และเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบเธอจึงหัวเราะแห้ง ๆ คิดว่าเพื่อนอาจจะไม่ชอบใจที่ไปถามอะไรอย่างนั้น ถึงจะเป็นคนรักสัตว์ แต่ใช่จะรักสัตว์ทุกชนิดไม่เลือกนี่นา “เธอคงไม่ชอบ”
“เปล่าหรอก ตรงกันข้ามต่างหาก ตั้งแต่วันนั้น อีกาเป็นสัตว์ที่ฉันชอบมากที่สุดเลยล่ะ” สกุณายิ้มเศร้า ๆ ให้กับเพื่อนแล้วอดคิดถึงวันนั้นเมื่อหลายสิบปีก่อนไม่ได้
หลังจากทำการบ้านรวมไปถึงงานบ้านที่ได้รับมอบหมายเสร็จ สกุณาเด็กน้อยวัยสิบสองขวบก็วิ่งมาออกมาหน้าบ้านเพื่อจะขออนุญาตคนเป็นพ่อแม่ ออกไปเล่นข้างนอกกับเพื่อน เมื่อไม่เห็น เด็กน้อยจึงวิ่งไปหลังบ้าน แล้วเปิดยิ้มเมื่อเห็นคนทั้งคู่กำลังยืนทำอะไรบางอย่างอยู่ โดยอีกฟากของรั้วบ้านมีป้าข้างบ้านที่สนิทกันยืนคุยด้วย
“แม่หนูขอไปเล่น...แม่จะทำอะไรคะ” สกุณาที่กำลังจะเอ่ยปากขออนุญาตคนเป็นแม่ถามขึ้น เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือของท่าน ขณะที่คนเป็นพ่อกำลังสุมไฟในถังความสูงระดับเอว
“ไม่ใช่เรื่องของเด็ก ไฟลุกแล้วเอาใส่ไปเลย” นางทิพย์วรรณบอกปัด ก่อนจะหันไปพูดกับสามีพร้อมกับยื่นสิ่งมีชีวิตในตาข่ายจำนวนนับสิบตัวให้
“นี่อย่าบอกนะคะว่าพ่อกับแม่ไปดักจับมันเพื่อจะเอามาเผาน่ะ” สกุณาถามโดยที่ยังไม่ละสายตาจากถุงตาข่ายพลางกลืนน้ำลาย
“หุบปาก จะไปไหนก็ไปเลยไป”
“อย่าทำเลยนะคะ สงสารมันเถอะ” เด็กน้อยอ้อนวอนเพราะไม่เห็นถึงความจำเป็นในการทำร้ายสัตว์เหล่านี้เลย มีสร้างความรำคาญบ้าง แต่ก็ไม่ได้มากมายถึงขนาดต้องจับเผา มันเป็นวิธีการที่โหดร้ายเกินไป
“โอ๊ย! อีนก มึงจะอะไรนักหนา กะแค่อีกา มันเป็นญาติติโกโหติกามึงหรือไง” นางทิพย์วรรณหันมาตะคอกลูกสาวที่ยื่นเขย่าแขนอย่างรำคาญ
“ก็แล้วทำไมพ่อกับแม่จะต้องฆ่ามันด้วยล่ะ” เด็กน้อยถามพาซื่อ
“ก็มันเป็นสัตว์อัปมงคล ชีวิตไม่มีอะไรดีขึ้น ก็เพราะตัวซวยอย่างพวกมันนี่แหละ บินกันให้ว่อน ร้องกา ๆๆ โชคลาภที่ไหนจะมาวะ” นางทิพย์วรรณร่ายยาว มองสัตว์ปีกสีดำในถุงตาข่ายด้วยสายตารังเกียจ ทั้งที่ใช้ชีวิตที่อยู่ที่นี่มานานและน่าจะคุ้นชินกับพวกมัน
นั่นมันอาจจะใช่ แต่ไม่ใช่วันนี้ วันที่มีอะไรที่ต่างออกไป
“ไม่เห็นจะเกี่ยว” เด็กน้อยแย้ง ก่อนจะถูกป้าข้างบ้านที่ย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ประมาณสามเดือน แต่กลับสนิทสนมกับพ่อแม่ของเธอมากแย้งขึ้นทันที “หนูเป็นเด็กไม่รู้หรอกว่า สัตว์พวกนี้มันนำแต่สิ่งชั่วร้ายอัปมงคลมาให้ ฆ่าพวกมันก็ไม่ได้ผิดบาปอะไร นอกจากจะนำแต่สิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิต จริงไหมล่ะ” นางว่าพลางมองไปที่สองสามีภรรยา ที่กำลังเตรียมจะเผาอีกาในถุงตาข่าย ที่ต่างกำลังพยายามกระพือปีกร้องราวกับขอชีวิตชวนให้คนได้ยินหนวกหู
“ใช่ ๆ เมื่อวันก่อนฆ่าไปตัวหนึ่ง เก็บเงินได้ตั้งพันแน่ะ” นายบรรจงพูดถึงความโชคดีในรอบปีของตัวเองด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ฉันก็ถูกหวยตั้งร้อยเหมือนกัน นี่ถ้าฆ่าหมดนี่สงสัยจะถูกรางวัลที่หนึ่งแน่ ๆ เลย” นางทิพย์วรรณรีบเอ่ยเสริมคนเป็นสามีด้วยน้ำเสียงไม่ต่างกัน
“ไม่ใช่เสียหน่อย ที่ครอบครัวเราเป็นอย่างนี้เพราะพ่อกับแม่ขี้เกียจต่างหาก” แต่ทั้งคู่ก็ถูกลูกสาวเพียงคนเดียวแย้ง
“ใครบอกมึงว่าพวกกูขี้เกียจ”
“ใคร ๆ เขาก็พูดกันทั้งนั้น” เด็กน้อยพูดตามที่ได้ยินพ่อแม่ของเพื่อน ๆ หรือชาวบ้านในละแวกนี้พูดกัน พวกเขามักจะบอกว่าพ่อแม่ของเธอนั้นขี้เกียจ ทำงานไม่เป็นชิ้นเป็นอัน มีแต่หวังรวยทางลัดกับหวยและการพนัน เมื่อก่อนขับแท็กซี่ก็บอกว่ารายได้น้อย ตอนนี้มาขับรถโดยสารประจำทาง ก็ไปทำบ้างไม่ทำบ้างแล้วแต่อารมณ์
“มึงไปเลยนะอีนก เดี๋ยวกูจับโยนลงกองไฟพร้อมไอ้พวกนี้เลย” นางทิพย์วรรณขู่ลูกสาวแล้วหันมาด่าสามีต่อ “มึงก็เหมือนกัน ยืนถือให้หนักทำไมโยนมันลงไปสิ”
สิ้นเสียงสั่งของผู้เป็นภรรยา นายบรรจงก็โยนตาข่ายลงไปในถังที่มีเปลวไฟลุกโชนอย่างไม่ลังเล
“อย่า!” สกุณาตะโกนห้าม ไวเท่าความคิด เด็กน้อยวิ่งเข้าไปดึงปลายตาข่ายที่โผล่พ้นขอบถังขึ้น เหวี่ยงมันลงพื้นหวังจะช่วยพวกมันให้พ้นจากความตาย แต่อนิจจาด้วยความแรงของเปลวเพลิง ตาข่ายถูกไหม้ขาด อีกาส่วนใหญ่นอนแน่นิ่งไหม้เกรียมอยู่ในถัง ส่วนตัวที่ติดตาข่ายออกมาก็มีสภาพไม่ต่างกัน ร่างกายถูกเผาไปแล้วบางส่วน แทบจะไม่มีการไหวติง ขยับบ้างก็นิดหน่อย แต่น่าจะเกิดจากการไหม้เลยเกร็งกระตุกมากกว่า
“อีลูกบ้า มึงทำอะไร” นายบรรจงรีบวิ่งไปจับส่วนที่พอจะจับได้ของอีกาบางตัวที่ถูกกระชากออกไปกลับเข้ากองไฟ สกุณาที่จะเข้าไปห้ามก็โดนคนเป็นแม่จับเอาไว้ เด็กน้อยจึงได้แต่มองพวกมันโดนเผาอย่างสิ้นหวัง น้ำตาคลอเบ้า แม้มันจะเป็นแค่สัตว์ แต่การกระทำเช่นนี้มันทารุณเกินไป
“ใจร้าย พ่อแม่ใจร้าย” สกุณาร้องไห้สะอื้น แล้วเธอก็เหลือบไปเห็นอีกาอีกตัว ที่นอนปีกกระตุกอยู่ห่างออกไปพอสมควรก็รีบวิ่งเข้าไปอุ้มและหนีออกไปทางหน้าบ้าน
“อีนกมึงจะเอามันไปทำไม” นายบรรจงตะโกนถามอย่างไม่พอใจ และทำท่าจะตามไป แต่นางทิพย์วรรณก็ห้ามด้วยท่าทางหงุดหงิด
“ช่างเถอะ เดี๋ยวมันก็ตาย”
++++++++
อ่านล่วงหน้าที่เว็บอื่น ๆ
ธัญวลัย : https://bit.ly/3UbaXxJ
Readawrite : https://bit.ly/3Vcevkz
เด็กดี : https://bit.ly/3gBJtUi