เราต่างก็คือคน
ผลงานเขียนชิ้นนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากประโยคหนึ่งของเพื่อนในเฟซ จึงขออนุญาตนำมาแต่งร้อยเรียงขึ้นมาจากประโยคนั้น หวังว่าจะชอบกันนะคะ
*** เป็นงานชิ้นที่รักอีกชิ้นของตัวเองค่ะ ***
....
เราต่างก็คือคน
โดย อักษราลัย
มะลิ ดอกไม้สีขาว กลิ่นหอมละมุน สัญลักษณ์วันแม่ ถูกนำมาใช้ตั้งชื่อเด็กหญิงอันเป็นที่รัก ด้วยความหวังที่อยากให้เธอเติบโตมาเป็นคนที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง มีแต่คนรัก
มะลิลอบมองชายตรงหน้าอีกครั้ง ผู้ชายคนนี้อายุน่าจะเกินห้าสิบ ดูจากการไม่ดูแลรักษาหุ่น พุงที่กลมโตล้นหลาม ผมที่มีสีขาวแซม หนวดเคราไม่สนใจจะโกน เสื้อผ้าที่ใส่ก็ยับย่น กลิ่นเหงื่อไคลที่โชยออกมาจากร่างนั้น ทำเอาชะงักไปชั่วครู่ กลิ่นแบบนี้เคยทำให้คลื่นเหียนในครั้งแรก แต่ครั้งต่อ ๆ มาเธอก็เริ่มชิน เพราะปากท้องย่อมสำคัญกว่าการตั้งแง่รังเกียจ อย่างน้อยคนเหล่านี้ก็ทำให้เธอมีชีวิตดำรงอยู่ได้ และแน่นอนเขาคงจะมีเมียนอนรออยู่บ้านแล้ว แต่เขากลับเลือกมาหาเธอแทนการกลับบ้าน พวกเขาคงมาเพื่อปลดเปลื้องบางอย่าง อาจจะมากกว่าแค่อารมณ์ใคร่ที่เขาอยากปล่อยมัน การมีเซ็กซ์กับหญิงขายบริการที่ยอมทำทุกอย่าง คงตอบสนองความพึงพอใจให้ได้ พวกเขาจึงยินดีจ่ายเพื่ออิ่มเอมกับอารมณ์เหล่านั้น อารมณ์ที่อาจหาไม่ได้จากคนที่บ้าน หรืออาจแค่ชายเปล่าเปลี่ยวที่ไขว่คว้าความสุขเพียงครู่ เพื่อรับรู้ถึงการยังมีตัวตนอยู่ของตนเอง
ตั้งแต่จำความได้มะลิก็อยู่กับยายเพียงสองคน ยายเล่าว่าแม่ตายจากไปด้วยอุบัติเหตุรถชนตั้งแต่มะลิมีอายุได้เพียงห้าขวบ แม่ของมะลินั้นสวย เป็นเทพีสงกรานต์ประจำอำเภอ และกำลังจะลงประกวดนางงามประจำจังหวัด หากแต่มีเรื่องเสียก่อน เรื่องเล่าถูกค้างไว้เพียงเท่านั้น จากรอยยิ้มบนริมฝีปากและดวงตา กลับมีน้ำเอ่อคลอ มะลิจึงไม่กล้าถามต่อ ปล่อยให้ยายนั่งนิ่งเงียบซึมอย่างซึมเซา
ยายเฝ้าเลี้ยงดูฟูมฟักมะลิด้วยความรัก แต่ความยากจนทำให้ยายส่งมะลิเรียนได้เพียงชั้นมัธยมปีที่สามเท่านั้น แม้จะไม่ได้เรียนต่อเธอก็ไม่เดือดร้อน ร้านขายผักหน้าบ้านคืออาชีพที่เข้ามาทำแทนยาย ผักที่ขายจะมีชาวบ้านนำมาส่ง เพราะเพิงขายผักของยายอยู่ในทำเลทางผ่าน ติดถนน คนขายผักที่ไม่ได้ปลูกผัก เพราะไม่มีที่ดินจะปลูกแบบยาย ก็ขายผักเลี้ยงดูมะลิมาได้จนโต
ความสวยของมะลิเองก็คงไม่น้อยไปกว่าแม่ เพราะก่อนสงกรานต์ปีนั้น เพิงเล็ก ๆ ก็ได้ต้อนรับผู้ใหญ่บ้าน
“ยายครับ ผมจะมาขออนุญาตให้มะลิไปประกวดเทพีสงกรานต์ ในนามของตำบลเรา”
คำขอจากผู้ใหญ่หาได้นำความปลื้มปีติยินดีมาให้ยายเลยสักนิด สีหน้านั้นเคร่งเครียดขึ้น แววตามีความกังวลปนความหนักใจ แต่ในฐานะลูกบ้านที่ดีทำให้ยายรับปากไปโดยขอข้อแม้ข้อเดียวว่า
“ขอแค่เวทีนี้ แค่ครั้งเดียวนะพ่อผู้ใหญ่”
“ครับยาย” ผู้ใหญ่รับคำก่อนจะกลับไปด้วยรอยยิ้ม
มะลิไม่ได้ยินดียินร้ายอะไรกับการประกวดนี้หรอก ที่เคยเห็นในโทรทัศน์ก็พอจะรู้มาบ้างว่านอกจากความสวยแล้ว เดี๋ยวนี้สาวสวยยังต้องมีสมอง การตอบคำถามของกรรมการต้องฉาดฉานแหลมคม บางคำถามนั้นยากไปถึงปัญหาระดับโลก แล้วคนจบแค่ชั้นมัธยมสามอย่างเธอจะเอาอะไรไปแข่ง สาว ๆ สวย ๆ มากมายทั้งต่างตำบล ไหนจะในอำเภออีก คงมีไม่น้อยกว่าสามสิบสี่สิบคน สำหรับการเฟ้นหาเทพีสงกรานต์ประจำปีของอำเภอ หากแต่เมื่อผู้ใหญ่พาเธอไปฝึกซ้อมท่วงท่าการเดิน การหัดใส่รองเท้าส้นสูงครั้งแรก ได้แต่งหน้าทาปาก ก็ทำให้มะลิรู้สึกเหมือนกันว่าตัวเองสวย มีความสุขอยู่ลึก ๆ ส่วนจะได้ตำแหน่งหรือไม่นั้นมะลิไม่ได้หวังอะไรทั้งสิ้น คิดเพียงแค่ขอเก็บเกี่ยวช่วงเวลาอันน่ารื่นรมย์นี้ไว้เป็นความทรงจำของช่วงชีวิตก็ไม่เลวนัก
ใช่ว่าทุกอย่างจะสวยสดงดงาม ผู้ใหญ่ส่งคนประกวดร่วมด้วยอีกคน ชื่อ ตรีฉัตร เธอเป็นลูกสาวของพนักงานอบต. ผู้มีท่วงท่าสง่างาม สายตาที่สอดประสานยามเธอมองมะลิเมื่ออยู่กันสองต่อสองนั้นเต็มไปด้วยแววตารังเกียจ แถมยังเบะปากใส่ เพราะคิดว่ามะลิไม่เห็น หากแต่เมื่อผู้ใหญ่มาร่วมดูการฝึกซ้อมอยู่ด้วยคราใด รอยยิ้มหวานเย็นเจี๊ยบกลับมีออกจากใบหน้านั้น จนทำให้มะลิงงในตอนแรก กว่าจะเริ่มรู้ว่าอะไรเป็นอะไร มะลิก็เข้าใจแล้วว่าโลกภายนอกนั้นไม่ได้งดงามไปกว่าโลกของมะลิกับยาย ขนาดโลกของความสวยความงามยังฉาบความงามแค่เพียงเปลือกนอก ภายในนั้นกลับซุกซ่อนอารมณ์ริษยา อันเป็นสิ่งพื้นฐานเอาไว้อย่างแนบแน่น มะลิเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมยายจึงมีสีหน้าแบบนั้นในวันที่พ่อผู้ใหญ่ไปหาเพื่อขอให้มะลิร่วมเข้าประกวด
ยิ่งใกล้วันประกวดมะลิยิ่งเบื่อหน่าย เธอคิดถึงยาย คิดถึงเพิงขายผัก คิดถึงหนังสือที่นอนอ่านเล่นระหว่างรอคนมาซื้อ ชีวิตเรียบง่ายแบบนั้นต่างหากที่มะลิว่ามันคือความสุข ไม่ต้องปั้นหน้ายิ้ม แม้จะเมื่อยแสนเมื่อย การต้องอยู่บนส้นเข็มเล็ก ๆ นั้น วันละไม่ต่ำกว่าแปดชั่วโมง ทำเอามะลิอดคิดถึงอีแตะหูคีบคู่ใจไม่ได้ ยิ่งตอนนี้ต้องเก็บตัวไม่ได้กลับไปหายาย ก็ยิ่งรู้สึกทุกข์มากกว่าสุข มะลิคิดไปถึงแม่ ไม่รู้ว่าแม่ชอบไหมกับการเข้าร่วมการประกวดแบบนี้ และหากมะลิจะไม่ได้ตำแหน่งอะไร จะน่าขายหน้าไหมเพราะแม่เคยได้ตำแหน่งนี้มาแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าความสนุกตื่นเต้นในตอนแรก ๆ นั้นหายไปจนแทบไม่มีเหลือ ตอนนี้เหลือเพียงคำว่าหน้าที่ เธอจะต้องทำตามที่ได้รับมอบหมายมาจากผู้ใหญ่ให้ดีที่สุด อีกแค่เพียงห้าวันเท่านั้น มะลิก็จะเป็นอิสระแล้ว จะไม่ต้องฝืนปั้นหน้ายิ้มแม้จะเบื่อแสนเบื่อ เมื่อยแสนเมื่อย
มะลิได้เป็นเทพีสงกรานต์ท่ามกลางเสียงโจษจันว่าใช้เส้นของผู้ใหญ่ ไม่ต่างจากแม่ที่ใช้เต้าไต่ในคราวนั้น และผู้ใหญ่ได้วิ่งเต้นจนได้ตำแหน่ง ครั้งนี้คนลูกก็คงไม่ต่างกัน นี่คือเสียงที่มะลิได้รับกลับมา หาใช่ดอกไม้หรอกที่ได้รับหากแต่เป็นก้อนหินที่โยนมาจากทุกทิศทุกทาง นั่นยิ่งทำให้มะลิรู้ดีว่าที่ตรงนี้ไม่เหมาะกับตัวเอง
มะลิกลับมาอยู่กับยายเหมือนเดิม และพยายามถามหาความจริงเรื่องแม่ อยากรู้นักว่าเสียงโจษจันที่ได้ยินมานั้นมันคือความจริง หรือคำลวงเพื่อทำลายผู้หญิงคนหนึ่งเพราะความริษยา ยายนิ่งเงียบไม่ตอบ ไม่เคยมีคำตอบออกจากปากนั้นแม้จนถึงวันที่ยายจากไป เมื่อถึงวันที่หมดยาย มะลิมีเงินเก็บก้อนหนึ่งกับความคิดอยากไปไกล ๆ ให้พ้นคำนินทา ไปให้พ้นสายตาที่ไม่เป็นมิตร ตำแหน่งที่เธอได้มานำพาความเกลียดชังมาให้สาว ๆ ในละแวกบ้าน มะลิกลายเป็นคนที่ถูกกันออกจากสังคม เธอรู้สึกแปลกแยก ในวันที่เก็บของเธอได้พบกล่องเก่า ๆ ใบหนึ่ง ในนั้นมีจดหมายเก่ากรอบกระดาษเปลี่ยนจากสีขาวเป็นเหลือง เมื่อเปิดอ่านเธอจึงรู้ว่าคือจดหมายจากแม่ ที่เขียนถึงยายว่าขอยกลูกในท้องที่จะเกิดมาให้ยาย เพราะไม่อาจทนเห็นลูกคนนี้ได้ ในวันที่ได้ตำแหน่งเทพีสงกรานต์ด้วยความอ่อนต่อโลกเมื่อมีการพาไปเลี้ยงและถูกคะยั้นคะยอให้ดื่มเหล้า เช้านั้นแม่ตื่นมาในห้องที่มีผู้ชายอยู่ในนั้นสามสี่คน คนที่เคยแสดงท่าทรงภูมิว่าคือกรรมการคัดเลือกสาวสวยเมื่อคืน นั่นทำให้แม่ขยะแขยงและไม่อาจทนเจอหน้าใครได้อีก แม่หนีไปอยู่กรุงเทพฯ และเมื่อรู้ตัวว่าท้อง จึงรู้ว่านี่คือผลพวงของคืนเลวร้ายนั้น จดหมายในมือทำให้มะลิรู้ว่าตัวเองคิดถูกที่จะย้ายจากไป
....................
สมชาย ชายหนุ่มที่เคยมีร่างกายแข็งแรงกำยำ แม้หน้าตาจะไม่หล่อเหลา แต่เขาก็ดูสมชายชาตรีทั้งร่างกายและจิตใจ เขาเคยรับจ้างแบกข้าวสารแถวสถานีรถไฟหัวลำโพง นานจนจำไม่ได้แล้วว่าเริ่มทำงานตั้งแต่อายุเท่าไหร่ จำได้แต่ว่าพ่อพาเขามาฝากไว้ให้ทำงานอยู่กินที่นี่ ก่อนจะกำเงินค่าจ้างล่วงหน้าของเขาจากไป พ่อว่าจะไปเป็นลูกเรือประมง ถ้าได้ดีจะกลับมารับ แล้วเราจะกลับมาเป็นครอบครัวอีกครั้ง นั่นก็หลังจากที่บ้านของเขาโดนไฟไหม้ ไม่สิ...มันแค่เถียงนาน้อยต่างหาก มีข่าวลือว่าเถ้าแก่นายทุนเจ้าหนี้มายืนมีลับลมคมในแถวบ้านบ่อย ๆ บ้างก็ว่าแม่ทำตัวขัดดอก เขาจำเรื่องราวเหล่านั้นไม่ได้ แม่ที่เขาจำได้ดีคือผู้หญิงสวยยิ้มอ่อนหวานใจดี ทำงานหนักเคียงคู่พ่อในทุกงาน วันที่ไฟไหม้นั้นเขากับพ่อออกไปหาปลาที่คลองอีกฝั่ง เมื่อเห็นกลุ่มควันพวยพุ่งขึ้นบนท้องฟ้า แม้จะรีบกลับมาเพียงใด เถียงนาน้อยนั้นก็เหลือเพียงเถ้าถ่านปลิวว่อน กลายเป็นซากผุผัง กับร่างที่ดำเป็นตอตะโกของแม่กับน้อง พ่อทรุดตัวลงร่ำไห้ ก่อนจะพาเขาหนีจากมาหลังเสร็จงานศพ และไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย ตัวเขาเองก็จำได้เพียงลางเลือน เขาจำความทุกข์ของการเสียแม่ไม่ได้แล้ว แต่เขาจำรอยยิ้มและอ้อมกอดของแม่ได้เสมอ ไม่ว่างานจะหนักเพียงใด ร่องรอยความสุขในอดีตยามที่นึกถึงช่วยให้ความเหน็ดเหนื่อยหายไปได้เป็นปลิดทิ้ง
เขาไม่กล้าย้ายไปที่ไหน แม้จะทำงานใช้หนี้ค่าจ้างจนครบหมดแล้ว เพราะกลัวพ่อจะกลับมาหาไม่เจอ สมชายเฝ้ารอ รอการกลับมาเป็นครอบครัวอีกครั้ง หลายคนว่าเขาฝันเฟื่อง ป่านนี้พ่อคงมีครอบครัวใหม่ไปแล้ว หรือไม่ก็ตายจากไป ก็มันนานเกินสิบปีมาแล้ว แต่เขาก็ยังคงเฝ้ารอ การกลับมาเป็นครอบครัวเป็นอีกหนึ่งกำลังใจที่หล่อเลี้ยงให้เขามีชีวิตรอดมาได้ในทุกวัน โดยมีความหวังและความฝันนั้นเป็นเครื่องหล่อหลอมจิตใจให้กล้าแกร่งมีพลังในการทำงานหนักไปวันต่อวัน วันแล้ววันเล่าอย่างรอคอย
จวบจนวันนั้นที่เขาวิ่งเข้าไปช่วยผู้หญิงคนหนึ่งจากการโดนรถเฉี่ยว เขาผลักให้เธอพ้นไปได้ แต่ตัวเขากลับไม่พ้นระยะการชน บาดแผลที่ขายาวจนขาข้างนั้นไม่อาจยืดตรงได้แบบเดิม เขากลายเป็นคนขาเป๋เดินกะเผลก งานแบกข้าวสารจึงไม่ใช่งานที่เขาจะทำได้อีกต่อไป
จากชายรูปร่างแข็งแรงบึกบึนมีมัดกล้ามจากการทำงาน กลายเป็นชายขาเป๋ ร่างกายผ่ายผอม เขาต้องออกมาหาที่อยู่เองเพราะไม่อาจทำงานให้เถ้าแก่ได้ เมื่อเงินเก็บหมดลง เขาก็หมดหนทาง วันที่เขาเดินออกไปหางานทำก่อนจะทรุดตัวเป็นลม หมวกฟางใบเก่าที่ใส่ปลิวตกมาอยู่ด้านหน้า และเมื่อเขามีสติกลับมาในหมวกนั้นก็มีเศษเหรียญอยู่แล้วยี่สิบห้าบาท เขามีเงินกินข้าว จากที่เป็นลมเพราะอดและไออันร้อนระอุจากเปลวแดด กลับกลายมาเป็นทางออกให้ชีวิต
หลังจากวันนั้นเขาเลือกการออกมานั่งริมถนนในช่วงเย็น นั่งไปจนรถเมล์เลิกวิ่ง หมดคนจึงค่อยกลับห้อง อาจเป็นเพราะความเหงา ที่ทำให้เขาไม่อยากรีบกลับไป ตอนยังทำงานอยู่เขาพักรวมกับเพื่อนลูกจ้างด้วยกัน แต่นี่เขาต้องนอนตามลำพัง กว่าจะข่มตาหลับลงได้ในแต่ละคืนเขานอนครุ่นคิดถึงแต่พ่อ แม่และน้อง ทุกคนจากไป และคำว่าครอบครัวก็ดูเลือนรางลงไปทุกที
ตอนกลางวันเขาหมั่นกลับไปเฝ้ารอคอยพ่ออยู่ที่เดิม ที่เคยทำงานรับจ้าง เพียงเพื่อจะพบกับความว่างเปล่า ในทุก ๆ วัน เขาจะเดินโขยกเขยกไปจากห้องเช่า ออกเดินไปทุกเช้าเพื่อถามไถ่เถ้าแก่ว่าพบเจอพ่อของเขาบ้างไหม หลัง ๆ เมื่อเถ้าแก่เห็นหน้าเขาก็ส่ายหน้าโดยไม่ทันได้เอ่ยถาม เขามายอมรับความจริงว่าครอบครัวในฝันของเขาไม่มีวันจะกลับมาอีกแล้วเอาในปีที่สิบห้าของการจากลาของเขากับพ่อ สามปีเต็มที่เขาโขยกเขยกร่างกายอันพิการเดินจากห้องพักเพื่อพบกับความว่างเปล่า ในวันที่เขาตัดสินใจยุติการรอคอยคือวันที่เถ้าแก่ของเขาจากไป เถ้าแก่น้อยตัดสินใจเลิกกิจการค้าขายข้าวสาร และประกาศขายที่ตรงนั้น ความผูกพันอาลัยอาวรณ์ของเขาจึงสิ้นสุดลงเมื่อเห็นคำว่า “ขาย” บนประตูเหล็กที่ปิดสนิทบานนั้น มันเหมือนม่านชีวิตของการรอคอยของเขาได้ถูกปิดฉากลงพร้อมกับประตูเหล็กสนิมเขลอะที่ปิดป้ายคำว่าขาย
....................
ยามค่ำคืนในจุดที่เขาวางหมวกใบเก่ากับพื้นถนน สมชายมักจะเห็นหญิงสาวคนหนึ่งเสมอ เธอเดินผ่านหน้าเขาแล้วก้าวขึ้นรถยนต์หลายหลากยี่ห้อ ทั้งคันเล็กใหญ่ที่มารับเธอยังป้ายรถเมล์แห่งนี้ เมื่อพบเจอกันบ่อยเข้าจนคุ้นหน้าคุ้นตา วันหนึ่งเธอก็เอ่ยกับเขาว่า
“มองทำไม...ถึงฉันจะขายตัวแต่ก็ถือว่าเอาร่างกายมาทำงาน ไม่ได้นั่งรอความสงสารจากใคร” นั่นจึงทำให้เขารู้ว่าเธอมีอาชีพอะไร คำพูดนั้นทำเอาเขาจุกไปเหมือนกัน แต่เขาก็ตอบเธอกลับไปว่า
“ถึงผมจะหากินกับความสงสาร แต่ผมก็ไม่เคยเอาร่างกายไปให้บริการใคร” เธอเม้มปากไม่พูดอะไร แต่ท่าทีของเธอกลับอ่อนลง ทั้งคู่รู้สึกสนิทชิดเชื้อกันมากขึ้น เมื่อพบเจอกันในแต่ละวันต่างแย้มยิ้มให้กัน ก่อนจะมีใครมารับเธอไป เธอมักจะมานั่งคุยอยู่ใกล้ ๆ กับเขา เหมือนต่างคนก็เหงาลึก ๆ ในจิตใจ บางทีก็นั่งกันเงียบ ๆ แบบนั้น ขอแค่เพียงรู้สึกว่ายังมีใครอีกคนอยู่ข้างกันก็พอ
วันหนึ่งในความเปล่าเดียวดายอยู่ ๆ เขาก็ตัดสินใจบางอย่างขึ้นมา เขาบอกกับเธอว่า
“วันนี้ผมจะซื้อคุณ” แล้วก็ควักเงินออกมาให้ดูว่าเขาพูดจริง เธอนิ่งเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะพยักหน้า แล้วบอกให้เขาเดินตามเธอไปยังห้องพัก
ห้องพักของเธออยู่ไม่ไกลจากห้องพักของเขาเท่าไหร่ หากแต่สภาพนั้นต่างกันอย่างกับฟ้ากับเหว ห้องพักของเขานั้นโกโรโกโส สกปรก ทั้งสภาพแวดล้อมและคนที่อยู่ก็เป็นคนหาเช้ากินค่ำ แต่ห้องเธอนั้นอยู่บนตึกสูง ทางเข้ามีประตูรั้วรอบขอบชิด สะอาดสะอ้าน เขามัวแต่ตะลึงและทำตัวไม่ถูกว่าจะต้องทำยังไง ไม่ใช่ว่าเขาจะทำอย่างว่าไม่เป็นหรอกนะ พวกเพื่อน ๆ เคยพาเขาไปอยู่บ้างเมื่อตอนทำงานรับจ้าง แต่ก็ไม่บ่อยครั้งนัก เพราะเขาเองก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรนัก ใจมัวแต่พะวงคิดถึงแต่พ่อเสียมากกว่า เขามัวแต่เฝ้ารอการกลับมาเป็นครอบครัว เพราะเบื่อความเดียวดาย โดดเดี่ยวของการอยู่ลำพังจนไม่ได้ใส่ใจกับการต้องทำตามธรรมชาติเรียกร้องของพลังแห่งเพศชาย
เธอชี้ห้องน้ำให้เขาเข้าไปทำความสะอาดร่างกาย เขาเดินเข้าไปอย่างว่าง่าย เมื่อความอิ่มเอมนั้นจบลง เขาเห็นน้ำตาและเสียงสะอื้นไห้
“ผมทำอะไรผิดเหรอ” เขาเอ่ยถามด้วยความตกใจ
“เปล่าหรอก เธอดีมากต่างหาก เธอทำให้ฉันรู้สึกว่าเป็นคนเต็มคนอีกครั้งหนึ่ง”
“……....” เขาไม่อาจเอ่ยคำพูดใดออกมาได้ น้ำตาของเธอทำให้เขาคิดไปถึงแม่ ผู้หญิงที่สวยที่สุดในชีวิต เขาได้แต่เอามือโอบกอดเธอให้เข้ามาซุกอก เธอร่ำไห้อยู่อีกครู่ใหญ่ ก่อนจะถาม
“ต้องรีบกลับไปหาใครรึเปล่า” เขาส่ายหน้า เธอเงียบและหลับไปบนอกของเขา จนเขาไม่กล้าขยับตัวลุกจากไป
เมื่อมีครั้งแรกก็ต้องมีครั้งต่อมา พวกเขาเริ่มเสพติดวันเวลาที่อยู่ร่วมกัน มันไม่ใช่แค่การปลดเปลื้องอารมณ์ใคร่ หากแต่มันคือการเติมเต็มความรู้สึกเปลี่ยวเหงา เศร้า แม้เขาจะพิการขาเป๋ เธอเล่าให้เขาฟังว่า เธอชื่อ “มะลิ” มีดีกรีระดับเทพีสงกรานต์จากอำเภอบ้านเกิดในแถบภาคเหนือ วันที่ยายจากไปเธอรู้สึกไม่เหลือใคร สายตาผู้คนที่มองมาอย่างไม่เป็นมิตรทำให้เธอไม่อาจทนอยู่ที่นั่นได้อีกต่อไป เธอระหกระเหินเดินทางมาด้วยรถไฟมาลงที่สถานีหัวลำโพง วันนั้นเธอไม่ได้กินข้าวแดดก็ร้อนจนแทบเป็นลม เธอเดินลงไปยืนบนถนนแบบเก้ ๆ กัง ๆ ทำอะไรไม่ถูก ก่อนสติจะดับวูบเธอเห็นรถวิ่งตรงมา และมีใครบางคนผลักเธอกระเด็นไป เขาเม้มปากแน่น เมื่อได้ยินเรื่องราวนั้นไม่กล้าเอ่ยปากว่าเขาคือชายคนนั้น เพราะเขาเองก็ไม่มั่นใจ อุบัติเหตุแบบนี้อาจไม่ได้มีแค่ครั้งเดียวก็ได้ มันคงไม่บังเอิญขนาดนั้น
เธอเล่าต่ออีกว่าเธอพยายามสมัครงานหลายที่แต่ด้วยวุฒิการศึกษาที่มีแค่ชั้นมัธยมสามทำให้เธอทำงานได้แค่สาวเสิร์ฟ และมักจะโดนลวนลามจากลูกค้าผู้ชายที่มาร้านอยู่เสมอ เมื่อเธอฟ้องเจ้านาย เขาได้แต่มองเธอด้วยสายตาวับวาวจากหัวจรดเท้าแล้วก็พูดขึ้นว่า
“จะอะไรนักหนา ก็แค่จับนิด ๆ หน่อย จะหวงตัวไปทำไม” แล้วคืนนั้นมันก็เข้ามาปลุกปล้ำยัดเยียดความเป็นผัวให้โดยที่เธอไม่ต้องการ เธอจึงหอบข้าวของหนีออกมาเช่าห้องนี้ ด้วยเงินเก็บที่พอมี ออกตะเวนหางานเรื่อยจนไปหยุดยืนริมถนนสายนั้น ขณะที่รถคันนั้นเข้ามาเทียบแล้วถามเธอว่า
“เท่าไหร่” เมื่อเห็นเธอเงียบ เขาก็พูดต่อว่า
“พันห้าไปไหม” เธอเริ่มเดาได้แล้วว่าชายคนนั้นหมายถึงอะไร เธอมีทางเลือกอะไรอีกไหม อย่างน้อยก็ดีกว่าโดนข่มเหงแบบฟรี ๆ และนับจากวันนั้น เธอก็ยึดอาชีพนี้มาโดยตลอด แรก ๆ เธอขยะแขยงทั้งตัวเอง และคนที่มาใช้บริการ จนเธอเห็นเขานั่งขอทานอยู่ตรงนั้น นั่นทำให้เธอรู้สึกถึงความเป็นคนขึ้นมาอีกครั้ง ไม่รู้อะไรดลใจให้เธอพูดไปแบบนั้นในวันนั้น อาจเป็นแรงขับจากภายใน หรืออาจเป็นการเย้ยหยันคนอื่นเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีก็เป็นได้ แล้วเธอก็หันมาถามว่ายังจำคำพูดนั้นได้ไหม
“มองทำไม...ถึงฉันจะขายตัวแต่ก็ถือว่าเอาร่างกายมาทำงาน ไม่ได้นั่งรอความสงสารจากใคร” เขาตอบ
เธอพยักหน้า แล้วพูด
“และเธอก็ตอบฉันกลับมาว่า ถึงผมจะหากินกับความสงสาร แต่ผมก็ไม่เคยเอาร่างกายไปให้บริการใคร คำพูดที่ตอบกลับมาของเธอ นั่นทำให้ฉันรู้ว่าเราต่างก็ใช้ร่างกายหากินเพื่อให้มีชีวิตรอดเหมือนกัน ไม่มีใครสูงใครต่ำกว่าใคร เราต่างก็คือคนที่ต้องดิ้นรนไม่ต่างกัน ดิ้นรน เพื่อให้มีชีวิตรอดไปอีกวัน ... และอีกวัน ... ”
*** เรื่องสั้นนี้ได้รับการเผยแพร่ครั้งแรกที่ นิตยสารทาง ***