Carbon Credit คืออะไร ? หน้าตาเป็นยังไง ?
คาร์บอนเครดิต หมายถึง สิทธิที่เกิดจากการลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือก๊าซเรือนกระจกสู่สิ่งแวดล้อม อันเนื่องมาจากการที่บุคคลหรือองค์กรได้ดำเนินโครงการหรือมาตรการที่มีเป้าหมาย เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือก๊าซเรือนกระจกสู่สิ่งแวดล้อม ซึ่งสิทธิดังกล่าวนี้สามารถวัดปริมาณและสามารถนำไปซื้อขายในตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตได้ หากจะให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ก๊าซต่างๆ ที่ทำให้ปฏิกิริยาเรือนกระจก (จำนวนคาร์บอน) ที่แต่ละองค์กรสามารถลดได้ต่อปี และหากปล่อยคาร์บอนน้อยกว่าเกณฑ์จะถูกตีราคาเป็นเงิน ก่อนจะถูกขายเป็นเครดิตให้กับองค์กรอื่นได้
ตามข้อตกลงในพิธีสารเกียวโตได้กำหนดกลไกต่างๆ ให้ประเทศพัฒนาแล้วต้องลดปริมาณการปล่อยก๊าซที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาเรือนกระจก ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะโลกร้อน หนึ่งในกลไกคือ การซื้อขายมลพิษ หรือ คาร์บอนเครดิต กับประเทศที่กำลังพัฒนา เพราะประเทศที่พัฒนาแล้วกำลังอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถลดก๊าซที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาเรือนกระจกลงตามที่กำหนดไว้ได้
สำหรับประเทศไทย ได้เข้าร่วมให้สัตยาบันในพิธีสารเกียวโต เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2545 โดยอยู่ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่ไม่ถูกบังคับให้มีพันธกรณีในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่สามารถร่วมดำเนินโครงการได้ในฐานะผู้ผลิตคาร์บอนเครดิตจากการดำเนินโครงการ และในปี พ.ศ. 2550 คณะรัฐมนตรีได้มีการประกาศพระราชกฤษฎีกาให้จัดตั้งองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. หรือ Thailand Greenhouse Gas Management Organization (Public Organization :TGO) ภายใต้กระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีวัตถุประสงค์หลักในการวิเคราะห์ กลั่นกรอง และทำความเห็นเกี่ยวกับการให้คำรับรองโครงการที่ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามกลไกการพัฒนาที่สะอาด รวมทั้งติดตามประเมินผลโครงการที่ได้รับคำรับรอง ส่งเสริมการพัฒนาโครงการ และการตลาดซื้อขายปริมาณก๊าซเรือนกระจก (คาร์บอนเครดิต) ที่ได้รับการรับรอง เป็นศูนย์กลางข้อมูลที่เกี่ยวกับสถานการณ์ดำเนินงานด้านก๊าซเรือนกระจก จัดทำฐานข้อมูลเกี่ยวกับโครงการที่ได้รับคำรับรอง และการขายปริมาณก๊าซเรือนกระจก (คาร์บอนเครดิต) ที่ได้รับการรับรอง ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพ ตลอดจนให้คำแนะนำแก่หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนเกี่ยวกับการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก โดยจะเป็นศูนย์กลางในการประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์การระหว่างประเทศ
ตลาดคาร์บอนเครดิต เป็นตัวกลางที่ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่สิ่งแวดล้อม โดยการนำสินค้าที่เรียกว่าคาร์บอนเครดิตมาทำการซื้อขายแลกเปลี่ยน ที่ทำให้เครื่องมือทางการตลาด (Market Mechanism) สำหรับการแก้ไขปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่สิ่งแวดล้อมสามารถบรรลุผลได้จริง กล่าวคือ การจัดตั้งและดำเนินการตลาดคาร์บอนเครดิต ส่งผลทำให้มีการกำหนดราคาสินค้าบนพื้นฐานของการคำนึงถึงปริมาณการปล่อยมลภาวะสู่สิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังช่วยให้เกิดการตระหนักและให้ความสำคัญกับต้นทุนทางสังคม
ที่เกิดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งประชาชนควรแบกต้นทุนเหล่านี้ด้วย ท้ายที่สุดแล้วตลาดคาร์บอนเครดิต
เป็นจุดนัดพบระหว่างผู้ซื้อ ผู้ขาย ผู้ลงทุนหรือบุคคลอื่นๆ ที่มีเป้าหมายตรงกันด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่สิ่งแวดล้อม
ตลาดคาร์บอนแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1. ตลาดคาร์บอนภาคบังคับ (Mandatory Carbon Market) ถูกจัดตั้งขึ้นจากผลบังคับในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามกฎหมาย มีกฎหมายและกฎระเบียบที่กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและรายละเอียดเกี่ยวกับการซื้อขายกำกับอย่างชัดเจน ซึ่งต้องมีรัฐบาลออกกฎหมายและเป็นผู้กำกับดูแลปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยผู้ที่เข้าร่วมในตลาดจะต้องมีเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มีผลผูกพันตามกฎหมาย (Legally Binding Target) หากผู้ที่ไม่สามารถปฏิบัติตามเป้าหมายที่ตั้งไว้จะถูกลงโทษ และ/หรือ ผู้ที่สามารถปฏิบัติตามเป้าหมายที่ตั้งไว้จะสามารถได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ หรือไม่ก็ได้ขึ้นอยู่กับการบัญญัติกฎหมาย
2. ตลาดคาร์บอนแบบภาคสมัครใจ (Voluntary Carbon Market) ถูกสร้างขึ้นโดยไม่มีกฎหมายที่เกี่ยวกับการควบคุมก๊าซเรือนกระจกมาบังคับ การจัดตั้งตลาดเกิดขึ้นจากความร่วมมือกันของผู้ประกอบการหรือองค์กรเพื่อเข้าร่วมซื้อขายคาร์บอนเครดิตในตลาดด้วยความสมัครใจ โดยอาจจะมีการตั้งเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนเองโดยสมัครใจ (Voluntary) แต่ไม่ได้มีผลผูกพันตามกฎหมาย (Non-legally Binding Target) กล่าวคือ กรณีที่องค์กรใดที่สมัครใจดำเนินโครงการหรือมาตรการที่มีเป้าหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่สิ่งแวดล้อม คาร์บอนเครดิตที่ได้จากโครงการดังกล่าวสามารถนำมาขายในตลาดคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจ และองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่สิ่งแวดล้อมเกินกว่าปริมาณที่กำหนด สามารถซื้อคาร์บอนเครดิตดังกล่าวเพื่อทำให้ตนเองได้รับสิทธิในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่สิ่งแวดล้อมอีกครั้งในปริมาณที่ไม่เกินกว่าปริมาณที่กำหนด
สถานการณ์ตลาดคาร์บอนในประเทศไทย ปัจจุบันมีโครงการลดก๊าซเรือนกระจกที่มีการขายคาร์บอนเครดิตในตลาดคาร์บอนเกิดขึ้นแล้วตั้งแต่ปีงบประมาณ 2557 อยู่ในรูปแบบตลาดคาร์บอนแบบภาคสมัครใจ (Voluntary Carbon Market) ภายใต้องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์กรมหาชน) หรือ TGO เป็นหน่วยงานที่ให้การรับรองโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction: T-VER) ซึ่งคาร์บอนเครดิตที่ได้รับการรับรองจากโครงการดังกล่าว จะเรียกว่า เครดิต TVERs สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการชดเชยคาร์บอน (Carbon Offsetting) ผ่านปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Carbon Footprint) ทั้งในระดับองค์กร ผลิตภัณฑ์ อีเว้นท์ ซึ่งปัจจุบันการขายคาร์บอนเครดิตยังเกิดขึ้นไม่มาก
หรือ อธิบายง่ายๆ เลยคือ ศักยภาพการหายใจของต้นไม้ หรือ ปริมาณที่ต้นไม้สามารถดูดคาร์บอนไดออกไซด์ เข้าไป 1 ตัน = 1 คาร์บอนเครดิต คนมักจะมองว่าต้นไม้จะมีราคาก็ต่อเมื่อนำไปแปรรูปแล้ว แต่ปัจจุบันนี้ต้นไม้จะมีมูลค่าโดยที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยวิธีนี้ จะทำให้ ต้นไม้จะสามารถอยู่ในพื้นที่นั้น ๆ และสร้างผลประโยชน์ให้กับทั้งเจ้าของที่และโลกไปควบคู่ไปด้วยกัน
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายๆ ดังนี้
บริษัท A ผลิตสินค้า โดยสร้าง คาร์บอนฟุตปรินท์ทั้งกระบวนการ อยู่ที่ 100 หน่วย
ค่ามาตรฐาน คาร์บอนฟุตปรินท์ ของประเภทสินค้า A ที่กำหนดโดยรัฐบาล อยู่ที่ 70 หน่วย
= บริษัท A มีค่าคาร์บอนเครดิต -30 หน่วย
ค่าคาร์บอนเครดิต ที่ติดลบ 30 หน่วยนี้ อาจส่งผลให้
- บริษัท A ต้องจ่ายภาษีด้านสิ่งแวดล้อมสูงขึ้น
- บริษัท A อาจไม่สามารถส่งออกสินค้า ไปยังประเทศที่มีมาตรการกีดกันสินค้าที่ไม่ผ่านมาตรฐานสิ่งแวดล้อม
ทางออกของบริษัท A ที่จะแก้ปัญหาเรื่องนี้ จึงได้แก่
- ลงทุนปรับปรุงคุณภาพ ขั้นตอน เทคโนโลยีการผลิต ให้ผลิตคาร์บอน น้อยลง
- เพิ่มศักยภาพ ภาคดูดซับคาร์บอน เช่น ปลูกสวนป่าในพื้นที่ของบริษัท A
- ซื้อคาร์บอนเครดิต จากตลาดการค้าคาร์บอน
ทางออกที่ไวที่สุด ก็คือข้อ 3 นี่ล่ะครับ ที่บริษัท A ต้องใช้เงินแก้ปัญหา โดยการซื้อ Carbon Credit มาชดเชยให้สินค้าของตนเอง ซึ่งคาร์บอนเครดิตที่นำมาจำหน่ายนี้ ก็จะได้มาจากบริษัทอื่นๆ ที่สามารถควบคุมปริมาณคาร์บอนของตนเองให้ต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนด จนมีค่า Carbon Credit คงเหลือ สามารถนำมาขายต่อในตลาดได้ ยกตัวอย่าง เช่น TESLA ซึ่งผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จนมีจำนวน Carbon Credit คงเหลือมหาศาล ก็สามารถนำ Carbon Credit ของตัวเองมาขาย จนสร้างรายได้ไปถึง 3,300 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐ หรือ คิดเป็นเงินไทย ราวๆ 1 แสนล้านบาทเลยครับ
ซึ่งโอกาสในตลาดการค้าคาร์บอนเครดิต จะไม่ตกอยู่กับแค่ กลุ่มทุนใดกลุ่มหนึ่ง ที่มีเทคโนโลยีนวัตกรรมด้านสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังสามารถขยายโอกาสในการสร้างรายได้ไปยัง พี่น้องประชาชนในชนบท ผ่านเครือข่ายป่าชุมชนทั่วประเทศ ที่ปลูกต้นไม้ขยายพื้นที่ป่ากันอยู่แล้วด้วย ฉะนั้น ต่อไปในอนาคต การปลูกและรักษาต้นไม้เอาไว้ มีแนวโน้มที่จะสร้างรายได้และประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมให้พี่น้องคนไทย ได้มากกว่าการตัด
อ้างอิงจาก: https://www.facebook.com/TOPVarawut/videos/1321362245272938/
https://www.tris.co.th/carbon-credit/#:~:text=คาร์บอนเครดิต หมายถึง สิทธิ,%E0%B8%99%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%8B%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94
พบเครื่องบิน "โบอิ้ง 737" ที่หายไป 13 ปี ถูกจอดทิ้งกลางสนามบิน
ชาว เกษตรกร เขมร กดดันไทยเปิดด่าน ควบรถไถเหยียบนาข้าวทิ้ง ราคาตกต่ำสุดขีด
ชาวนาเขมรยกมือไหว้วอนคนไทย “เปิดด่านช่วยด้วย” หลังราคาข้าวทรุดหนัก สวนทางคำพูดในอดีตที่เคยดูแคลนไทย
พืชที่มีพิษร้ายแรงเทียบเท่าพิษงูเห่า
'ฮุนเซน' ควันออกหู หลังลาวฉวยโอกาสขายของตัดหน้า แย่งสัมปทานจีน
🔍 ถอดรหัสปี 2568! คนไทยค้นหาอะไรบน Google มากที่สุด สะท้อนภาพสังคมแห่งปี
เปิดการบ้านภาษาไทย เรียงอักษรให้เป็นคำ แบบนี้ยากไปไหม
เขมรพังเรื่อยๆ ไทยปิดด่าน ทำเอาชาวเขมรโมโห เผานาทิ้ง เนื่องจากขายข้าวไม่ได้
‘ดร.ธรณ์’ แนะนำ ถ้าจะย้ายที่อยู่ จังหวัดไหนเหมาะที่สุด ที่ไม่มีมลพิษของฝุ่นและภัยพิบัติทางธรรมชาติ
แคปซูลกาลเวลา 1,700 ปี การค้นพบหลุมศพโรมันที่ "สมบูรณ์แบบ" ในฮังการี
10 อันดับเมืองที่มีมลพิษสูงสุดกรุงเทพฯ
แบงก์เขมรปิด ฮุน โต! เผ่นหนี ลูกค้าถอนเงินไม่ได้
‘ดร.ธรณ์’ แนะนำ ถ้าจะย้ายที่อยู่ จังหวัดไหนเหมาะที่สุด ที่ไม่มีมลพิษของฝุ่นและภัยพิบัติทางธรรมชาติ
ชาวนาเขมรยกมือไหว้วอนคนไทย “เปิดด่านช่วยด้วย” หลังราคาข้าวทรุดหนัก สวนทางคำพูดในอดีตที่เคยดูแคลนไทย
"ธรรมนัส" สวนดราม่าจัดซีเกมส์ ย้ำไทยพร้อม 100% แต่ขอทำแบบ "พึ่งตัวเองล้วนๆ"
Unseen ไทยแลนด์ เกาะรูปหัวใจ "ทุ่งทะเลหลวง" สุโขทัย
ทำไมต้องหย่ากัน หลังถูกคดีความ? เหตุผลที่ฟังดูดราม่า…แต่จริงกว่าที่คิด
ตรวจพบมะเร็งลำไส้ระยะที่ 3 จากอาการที่หมอเห็น ทำให้หมอรู้สึกว่า "ละเลยมานานเกินไป!"
ทึ่งทั่วโลก : นี่คือสิ่งมีชีวิตที่สูงที่สุดและใหญ่ที่สุดในโลก Redwood และ Sequoia
Unseen ไทยแลนด์ เกาะรูปหัวใจ "ทุ่งทะเลหลวง" สุโขทัย
