ผีปะกำอาจีง หรือ ผีปะกำ เป็นเทพเจ้าสูงสุด หรือ เป็นผีดี สิงสถิต ใน บ่วงบาศคล้องช้าง ในคติความเชื่อของชาวกูยหรือส่วย
👻ผีปะกำอาจีง หรือ ผีปะกำ เป็นเทพเจ้าสูงสุด หรือเป็นผีดี สิงสถิต ใน บ่วงบาศคล้องช้าง ในคติความเชื่อของชาวกูยหรือส่วย
😁วันนี้จะมานำเสนอบทความเกี่ยวกับเรื่องผีๆที่เราไม่ค่อยจะรู้จักกันของชาวกูยหรือส่วยกลุ่มชาติพันธุ์ในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนใต้ของประเทศไทย โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีอาชีพเลี้ยงช้าง ผีหรือเทพที่ชาวกูยหรือส่วย นับถือ
😲เราเข้ารายละเอียดของบทความกันเลยดีกว่านะครับ
👻ผีปะกำอาจีง หรือ ผีปะกำ เป็นเทพเจ้าสูงสุด บ้างว่าเป็นผีดีในคติความเชื่อ ของชาวกูยหรือส่วย กลุ่มชาติพันธุ์ในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนใต้ของประเทศไทย โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีอาชีพเลี้ยงช้างเท่านั้น
👻โดยชื่อเป็นภาษากูย ประกอบด้วยคำว่า "ปะกำ" แปลว่าบ่วงบาศ กับ "อาจีง" แปลว่าช้าง รวมกันจึงแปลว่า "บ่วงบาศคล้องช้าง" ชาวกูยเชื่อว่าผีปะกำจะสิงสถิตอยู่ในหนังปะกำ ซึ่งทำจากหนังวัวหรือหนังควาย และเครือไม้ (ภาษากูยเรียกอะวาลแปรง) นำมาฟั่นเป็นเกลียวเชือกยาว 40 เมตรขึ้นไป ปลายเชือกข้างหนึ่งทำปลอกคู่เป็นบ่วงบาศ มีไว้สำหรับคล้องช้าง
🧝♀️ชาวกูยเชื่อว่ามีวิญญาณสองประเภทสถิตอยู่ในปะกำ อย่างแรกคือ "พระครู" เป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เทียบเท่าเทพยดา และอย่างหลังคือ "ผีบรรพชน" ในสายตระกูลที่เคยเป็นหมอช้าง
👉🏿พวกเขาเชื่อว่าผีปะกำให้คุณหรือโทษแก่มนุษย์ได้ จึงต้องทำการเซ่นสรวงบูชาอยู่เสมอ ชาวกูยจะไหว้ผีปะกำก่อนออกไปคล้องช้าง และเมื่อคล้องช้างได้แล้วก็จะทำการเซ่นไหว้อีกครั้ง ในกรณีเมื่อจะนำช้างออกไปนอกหมู่บ้าน หรือมีลูกหลานเจ็บป่วย ก็จะมีการเซ่นหรือแก้บนกับผีปะกำกันอยู่บ่อยครั้ง
👉🏿โดยชาวกูยจะทำการสร้างศาลผีปะกำให้ผีปะกำประทับอยู่ โดยมากสร้างอยู่ทางทิศตะวันออกของเรือน เป็นศาลมุงหลังคา มีสี่เสา สูงราวสองเมตร เพื่อกันไม่ให้เด็กและผู้หญิงเอื้อมมือถึง ภายในมีปะกำ หมอนใบเล็ก กรวยขันธ์ 5 แก้วบรรจุน้ำ และเครื่องเซ่นไหว้
🔱คติพราหมณ์ไทย
🖼️จิตรกรรมฝาผนังรูปพราหมณ์พฤฒิบาศกับช้างเผือกปัจจัยนาเคนทร์จากเรื่อง มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์หิมพานต์
🇹🇭ในราชสำนักไทย มีพราหมณ์จำพวกหนึ่งประกอบพิธีคชกรรมซึ่งเกี่ยวข้องกับช้าง เรียกว่าพราหมณ์พฤฒิบาศ
ซึ่งมีต้นสายมาจากเมืองเขมร เดิมนักบวชเหล่านี้นับถือศาสนาหนึ่งต่างหาก เรียกว่าศาสนาพระเทพกรรม ดังปรากฏใน จารึกฐานพระอิศวรเมืองกำแพงเพชร เมื่อ พ.ศ. 2053 พวกเขานับถือพระครูประกรรม, เทพกรรม หรือเทวกรรม (คือผีปะกำ)
เป็นใหญ่ ซึ่งเป็นเทพพื้นเมืองก่อนการรับอิทธิพลจากศาสนาพุทธหรือฮินดู แต่ในกาลต่อมา ศาสนาพระเทพกรรมถูกกลืนเข้ากับศาสนาฮินดูในไทย และอาจเป็นไปได้ว่าพราหมณ์พฤฒิบาศนี้อาจเป็นหมอปะกำหรือครูช้างที่เข้ารีตเป็น
พราหมณ์ พราหมณ์พฤฒิบาศจึงถูกเกณฑ์ให้ไปนับถือพระนารายณ์ (คือพระวิษณุ) แทน แต่คงพิธีกรรมเซ่นสรวงบูชาพระเทวกรรมไว้โดยแทรกความเป็นฮินดูไปด้วย
👴พระครูประกรรมมีรูปลักษณ์เป็นบุรุษล่ำสัน นุ่งผ้าเกไล เปลือยอก สวมสายธุหร่ำเฉียงทางอังสะซ้าย โคนแขนสวมวลัย นับถือเป็นพระของหมอและควาญช้าง หลังรับอิทธิพลจากศาสนาฮินดูแล้วจึงสร้างบุคลาธิษฐานด้วยการหยิบยืมรูปลักษณ์ของพระคเณศ
ซึ่งเป็นเทพเจ้าของฮินดูมาใช้ กลายเป็นพระเทวกรรม เทพเจ้าแห่งช้าง และพระโกญจนาเนศวร์ เทพผู้ให้กำเนิดช้าง
📖ในหนังสือ นารายณ์สิบปาง ฉบับโรงพิมพ์หลวง ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2417 มีเนื้อหาที่ไม่ปรากฏในคัมภีร์ใด ๆ ของอินเดีย กล่าวถึงเรื่อง "พระนารายณ์ปราบช้างเอกทันต์" เนื้อหาระบุว่า พระนารายณ์เสด็จลงมาบนโลกเพื่อปราบช้างเอกทันต์ ทรงพบกับชาวนาสี่คน ได้แก่ โภควันดี นางสิระวัง คชสาตร และสาตรกรรม ที่อาสาเป็นผู้นำทางแก่พระนารายณ์ปราบช้างเอกทันต์ และเมื่อพบช้างนั้น พระนารายณ์ทรงประกอบพิธี เชิญพระคเณศมาประทับข้างขวา เชิญพระเทวกรรมมาประทับข้างซ้าย และเชิญพระมหาเมศวคอยต้อนช้างเถื่อนบริวารของช้างเอกทันต์
ต่อมาพระนารายณ์บันดาลให้ช้างเอกทันต์ปวดศีรษะอย่างรุนแรง จากนั้นทรงใช้บาศอุรเคนทร์ซัดไปที่เท้าขวาของอสูรช้าง เอาตรีศูลปักพื้นดินกลายเป็นต้นมะตูม แล้วเอาหางบาศอุรเคนทร์กระหวัดไว้กับต้นมะตูม ใช้พระหัตถ์ขวาทิ้งมะลิวัลย์พับเป็นต้นไม้คล้องคอช้างเอกทันต์ไปกับไม้คูน
จากนั้นทรงเรียกพี่น้องชาวนาทั้งสี่มาประสิทธิ์ประสาทวิชาเป็นประกรรม (คือครูปะกำ) เอาความรู้คชกรรมไปสอนลูกหลานต่อไป ส่วนช้างเอกทันต์ถูกนำไปถวายพระอินทร์
🤔ความเชื่อแต่ละประเพณี วัฒนธรรม มีความเชื่อที่มีความแตกต่างกันไปบ้างก็เชื่อผีเชื่อสาง โดยเฉพาะหมู่ชน ที่อยู่ห่างไกลความเจริญส่วนมากยังนับถือผีแล้วแต่ความเชื่อแต่ละท้องถิ่น หรือบางทีก็มีความเชื่อผสมกลมกลืนไปเทพเจ้าศาสนาอื่นๆ..
อ้างอิงจาก: kipidia google และ YouTube




















