“3 เหตุผล” ที่ยืนยันได้ว่า โควิด19 ไม่ใช่หายนะที่จะนำจุดจบมาสู่มนุษย์ชาติ!
โควิด 19 หายนะที่แท้จริงของมนุษย์ชาติหรือไม่ อนาคตของมนุษยชาติต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร? หากวิเคราะห์จากปัจจัยต่างๆที่ปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน.
นับตั้งแต่การอุบัติขึ้นของไวรัสโควิด 19 ในประเทศจีน เมื่อปลายปี พ.ศ. 2562 ที่ผ่านมา และแพร่กระจายไปทั่วโลก จนตอนนี้มีคนติดเชื้อไปแล้วหลายล้านคน มีผู้เสียชีวิตไปแล้วกว่า 307,000 คน แม้จะผ่านมาครึ่งปีที่ต้องเผชิญกับภัยการแพร่ระบาดของไวรัสที่รุนแรง หลายคนสามารถปรับตัวได้บ้างแล้ว แต่ก็ยังหวาดกลัวไวรัสตัวนี้เป็นอย่างมาก
ถ้าหากถามว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะเป็นหายนะของมวลมนุษย์ชาติเลยหรือไม่ ก็สามารถบอกได้เลยว่ายังห่างไกลจากจุดนั้นมาก ในทางเศรษฐกิจ แม้ IMF ประเมินว่าผลของความเสียหายทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด 19 ทั่วโลก นั้นประมาณ 30TM หรือ 30 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ อาจจะดูเป็นตัวเลขที่มหาศาลแต่ทั้งหมดนี้ส่งผลถึงในระดับการเติบโตของเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ ไม่ได้กระทบถึงระดับโครงสร้าง ซึ่งความเสียหายทั้งหมดนี้มาจากการหยุดชะงักของสังคมที่รัฐบาลในแต่ละประเทศมีคำสั่งให้ประชาชนอยู่ในบ้านเพื่อควบคุมโรค และรับการเยียวยาจากรัฐบาล. จากการประเมินของสถาบันฮอบสกิน การปิดประเทศจะใช้เวลามากสุด 5 เดือน ในการเพียงพอที่จะหยุดการแพร่ระบาด
ในด้านความเสียหายจากทรัพยากรมนุษย์การที่ตอนนี้ทั่วโลกมีคนเสียชีวิตจากโรคนี้ไปแล้วกว่า 3 แสนคน ซึ่งถือว่า เยอะมากๆ สำหรับตัวเลขนี้ถ้ามองในมุมของมนุษย์ธรรม แต่เมื่อเทียบกับจำนวน ประชากรทั่วโลกที่มีประมาณ 7,500 ล้านคน ถือว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก และจากสถิติหลายๆที่ได้เผย ผู้คนที่เสียชีวิต ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นคนที่ มีภูมิคุ้มกันที่ไม่ดี รวมถึงผู้สูงวัย ดัวนั้นเมื่อมองในมิตินี้แยกจาก มุมมองมนุษย์ธรรม ก็ถือได้ว่ากระทบน้อย
ในอีกด้านคือ มุมมองทางวิทยาศาสตร์ ที่ตอนนี้มีความก้าวหน้ามาก มีนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่หลายๆท่าน ที่ยังมีชีวิตอยู่ เชื่อว่าสรรพสิ่งทั้งหลายไม่ได้ตั้งอยู่บนความบังเอิญ. นั่นเพราะความก้าวหน้าทางฟิสิกส์ จักรวาลวิทยา ในปัจจุบัน และทฤษฏีที่คนให้ความสนใจ ที่มาแรงมากตอนนี้ นั่นก็คือ ทฤษฎีสตริง ที่พูดถึง ทุกอนุภาคในจักรวาลมาจากการสั่น อนุภาคต่างๆจะถูกกำหนดด้วยการสั่นที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตามทฤษฏีถึงแม้จะมีความสมเหตุสมผลมาก แต่ยังไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้เนื่องจาก ระดับของการสั่นมีขนาดเล็กมากในระดับของ แพลงแรงค์(เล็กกว่าสิ่งที่เล็กที่สุดที่เราพิสูจน์ได้หลายล้านเท่า). อย่างไรก็ตามหากทฤษฎีนี้ถูกต้อง สิ่งหนึ่งที่ทฤษฎีนี้ได้อธิบายใว้นั่นก็คือ จักรวาลต้องมีอย่างน้อยมี 11 มิติ และอาจมีได้มากถึง 26 มิติ.
ความหมายของทั้ง 11 มิติ ที่มีผลต่อจักรวาลของเรา อาจจะฟังดูเหลือเชื่อ แต่มีอยู่มิติหนึ่งที่สูงในระดับ มิติที่ 8 ที่พูดถึงความเป็นจริง การทำงานของสิ่งนี้คือ เจตจำนงค์ของสิ่งที่จะต้องเป็นตามเจตจำนงของจักรวาล ยกตัวอย่างเช่น หากการมีอยู่ของสรรพสิ่งรวมถึงมนุษย์ชาติคือเจตจำนงค์ดังกล่าว ดังนั้นต่อให้เมื่อสามวินาทีก่อนเกิดระเบิดนิวเคลียร์ทำให้คนทั่วโลกตาย เราในตอนนี้ก็จะไม่รับรู้อะไรเลยเพราะมันไม่ใช่ความเป็นจริงของเราอีกต่อไป มันจะกลายเป็นเพียง 1 ในความเป็นจริงที่นับไม่ถ้วนในพหุมิติ. เพราะมันขัดต่อความเป็นจริงของจักรวาล
การทำงานของมัน คล้ายกับเงื่อนไข ของทฤษฎีสัมพัทธภาพ ที่เราไม่สามารถเดินทางด้วยความเร็วแสงได้ แต่เปลื่ยนจากความเร็วแสงมาเป็นความเป็นจริงที่ไม่อาจถูกเปลื่ยนแปลงได้. อาจจะฟังดูเหลือเชื่อแต่มันสามารถเกิดขึ้นได้ เพียงแต่มันต้องการ การได้รับการพิสูจน์ในสักวันหนึ่ง.
บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อวิเคราะห์ในเชิงสถิติและความเป็นไปได้เท่านั้น ไม่ได้ชี้นำถึงการละเลยในเรื่องของการมองข้ามความเดือดร้อนของทุกๆคนที่เพราะเผชิญกับวิกฤตินี้แต่อย่างได