สิ่งที่เราไม่มีวันหนีพ้น
เป็นผลงานที่เขียนขึ้นจากอีกมุมของคนที่กลัวโรค "โควิด" อยากให้อ่านกันค่ะ
...........
สิ่งที่เราไม่มีวันหนีพ้น
โดย : อักษราลัย
“ตาการู้ไหม ไอ้เมฆมันติดโควิดนะ” ยายหอมเพื่อนข้างบ้านตะโกนบอกข่าวนี้กับผมขณะกำลังนั่งกินข้าวอยู่ในบ้านที่เปิดหน้าต่างออกไปเห็นบริเวณรั้วด้านข้างที่ติดกับบ้านข้างเคียง
ผมสะดุ้งเฮือกทันทีที่ได้รู้ข่าว ก็ชุมชนของเรานี้มีอยู่กันแค่สามสิบหลังคาเรือน แม้บ้านของไอ้เมฆมันจะอยู่ด้านสุดปลายของชุมชน แต่เราก็เฉียดกันไปมาจากการร่วมกิจกรรมต่าง ๆ นี่ก็เพิ่งจะผ่านงานบุญปีใหม่มาไม่นาน ข่าวนี้ทำเอาผมสะเทือนไปทั้งใจ หวั่นไหวไปทันที เพราะความกังวลกลัวไอ้เมฆจะเป็นตัวแพร่เชื้อให้กับทุกคน โดยเฉพาะผม ที่กลัวไอ้โรคบ้า ๆ นี้มากกว่าใคร
ผมชื่อการุณ อาศัยอยู่ในชุมชนนี้มานานกว่ายี่สิบปีแล้ว ตอนที่ผมย้ายมาอยู่นั้นผมมีปัญหาสุขภาพเรื่องโรคภูมิแพ้ หมอแนะนำให้ผมย้ายจากกรุงเทพฯ ลองไปอยู่ต่างจังหวัดดูบ้าง ผมเลยตัดสินใจขายบ้านมรดกใจกลางเมืองแถวสุขุมวิท แล้วแบ่งเงินซื้อคอนโดให้ลูกกับเมียอยู่เพราะลูกสาวยังต้องเรียนหนังสือ แล้วตัวผมก็มาซื้อที่อยู่ในตำบลที่ผมเคยอาสามาสร้างโรงเรียนตอนเรียนมหาวิทยาลัย ที่นี่อากาศดี คนน้อย เหมาะกับคนชอบความเงียบอย่างผม อาชีพนักเขียนทำให้ผมอยู่ที่ไหนก็ได้ ยิ่งเงียบยิ่งดี แถมเงินเก็บที่มียิ่งทำให้ผมอยู่สบายยิ่งขึ้นโดยไม่มีแรงกดดัน
ปีนี้ผมอายุเฉียดหกสิบมีโรคความดันสูงเป็นโรคประจำตัว แถมเบาหวานก็เริ่มปริ่ม ๆ จนต้องงดของหวานหลายชนิดทั้งที่เป็นสิ่งที่ผมนิยมชมชอบมากกว่าอาหารเสียอีก แต่หมอบอกผมว่า
“ตอนนี้คุณก็เหมือนติดคุกจะมามัวตามใจตัวเองแบบเดิมไม่ได้แล้ว หากอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปนาน ๆ ก็ต้องควบคุมตัวเอง”
ดังนั้นผมจึงกลัวไอ้โรคอุบัติใหม่นี้มากกว่าใคร ตั้งแต่รู้ข่าวว่ามีโรคนี้ ผมระมัดระวังตัวเองถึงขีดสุด ด้วยตัวเองจัดอยู่ในกลุ่มผู้ป่วยความเสี่ยงสูง หากได้รับเชื้อเข้าไปผมอาจจะพ่ายแพ้มันจนถึงขั้นตายได้ ผมสร้างมาตรการเข้มงวดให้ตัวเอง ห้ามลูกเมียมาหา ห้ามเพื่อนบ้านเข้าใกล้ ให้ตะโกนคุยได้จากนอกรั้ว ดีที่เราอยู่บ้านนอก รั้วบ้านผมก็เป็นรั้วไม้มีตำลึงพันเกี่ยวไว้พอให้เด็ดมาต้มกินได้ เลยตะโกนคุยกันได้ในระยะหลายเมตรพอได้ปลอดภัย
“แล้วมันเป็นอะไรมากไหม มันติดมาจากใคร แล้วได้เอาไปรักษารึเปล่า” ผมถามกลับไปรัวเร็ว ก็เมื่อต้นปีนี้ เขาว่ามันคลี่คลายแล้ว ให้จัดงานปีใหม่ได้ ผมก็เลยไปร่วมทำบุญปีใหม่ที่วัด ที่นั่นเราเจอกันทุกคน มันเป็นประเพณีกันมานานแล้ว การไปทำบุญในวันเริ่มต้นปี เพื่อรับสิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิต แล้วนี่มันอะไรกัน!
“ก็ญาติมันที่มาจากกรุงเทพฯ น่ะสิ ที่มันพามาร่วมงานบุญที่วัดด้วยนั่นแหละ” เขาว่าเป็นคนเอามาติดใส่ไอ้เมฆ
“งั้นพวกเราก็อยู่ในกลุ่มเสี่ยงทุกคนสิเนี่ย”
“ก็คงงั้น เห็นว่าวันนี้เขาจะเอาชุดตรวจมาให้ทุกคนตรวจ แกก็ดูอาการตัวเองด้วยแล้วกันนะ”
ยายหอมเดินกลับเข้าไปในตัวบ้านไปแล้ว แต่ข่าวที่ได้ยินเหมือนลูกระเบิดโครมใหญ่ มันสั่นสะเทือนความรู้สึกผมอย่างมาก เกิดอาการผะอืดผะอม มองจานข้าวตรงหน้าด้วยความรู้สึกคลื่นไส้ ลุกออกไปนั่งที่ระเบียงข้างบ้าน พลางรดน้ำไม้ดอกและผักสวนครัวที่ปลูกไว้อย่างเลื่อนลอย ถ้าติดโควิดจะทำยังไง ประกันที่ทำไว้ เจอ-จ่าย-จบ ตอนนี้บริษัทก็เจ๊งปิดหนีไปแล้ว กลายเป็น ไม่จ่าย-เจ๊ง-ปิดหนี ไปแล้ว ยิ่งคิดยิ่งเครียด ผมเดินกลับไปกลับมาด้วยความกังวล คิ้วขมวดย่น แล้วผมก็เกิดความคิดขึ้นมา จึงเดินกลับเข้าไปในบ้านแต่งตัวด้วยเสื้อแขนยาว กางเกงขายาวเพื่อความมิดชิด ไม่ใช่จะให้เรียบร้อยอะไรหรอก หยิบหน้ากากอนามัยสีขาวที่ลูกส่งมาให้ขึ้นมาสวมไปสามชั้น เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในระดับการป้องกันแบบสูงสุด เดินลงจากบ้านหยิบเอาสเปรย์แอลกอฮอล์ขึ้นมาฉีดพ่นไปทั้งตัวทั่วด้านหน้าและด้านหลังจนแทบอาบ ฉีดพ่นไปบนรถมอเตอร์ไซค์คู่ชีพจนทั่วทั้งคัน ขึ้นคร่อมขี่ออกไปโดยมีจุดหมายอยู่ที่อบต.
“ท่านนายกอยู่ไหม” ผมเอ่ยถามทันทีที่ก้าวขาขึ้นไปบนที่ทำการอบต.ของตำบล สายตาสอดส่ายไปมาโดยรอบโดยไม่ลืมเว้นระยะห่างจากคนอื่น
“ยังไม่มาหรอกลุง นี่เพิ่งจะเจ็ดโมงเช้าเอง แต่ไม่แน่ด้วยนะว่าท่านจะเข้าไหม อาจต้องเข้าไปประชุมกับจังหวัดเรื่องมาตรการรับมือกับโรคโควิดน่ะลุง”
“มาตรการเรอะ พูดมาก็ดีแล้ว ตอนนี้เรามีขั้นตอนกันยังไงบ้างล่ะ หากมีคนติด เห็นเขาว่าไอ้เมฆมันอาจจะติดจากญาติที่มาจากกรุงเทพฯ” ผมพูดรัวเร็ว
“ก็ต้องรอท่านนายกก่อน ตอนนี้ก็ว่าไปตามสถานการณ์ ใครป่วยก็ส่งไปรักษานะลุง หายป่วยก็กลับไปพักฟื้นที่บ้าน”
“เฮ้ย!! ควรรักษาจนหายสนิท เว้นระยะจนมั่นใจว่าปลอดภัยที่โรงพยาบาลสิวะ ขืนรีบให้กลับบ้านแล้วเอามาแพร่ให้คนอื่น จะไม่ยิ่งแย่ไปกันใหญ่เหรอวะ อย่างไอ้เมฆน่ะ ข้าไม่ยอมนะเว้ยที่จะให้รีบกลับมาอยู่บ้าน เดี๋ยวก็ติดกันตายห่า” ท้ายเสียงผมพูดในลำคอ แต่ก็ยังดังพอที่คนแถวนั้นจะได้ยินกัน หลายคนหันมามองอย่างสนใจ
“อ้าว!! ลุง...ไหงพูดแบบนี้ล่ะ ขืนทำแบบลุงว่า โรงพยาบาลที่ไหนจะพอรักษา แค่นี้หมอ พยาบาล เขาก็ทำงานกันจนแทบไม่เห็นเดือน เห็นตะวันอยู่แล้วนะ” เจ้าหน้าที่วัยคราวลูกขึ้นเสียงใส่ชักสีหน้าขึงขังดวงตาเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว อ้อ...ผมจำได้ละ คนนี้เขามีแม่เป็นพยาบาลนี่นะ เมื่อไม่ได้เรื่องราวอะไร ผมก็เดินออกมาด้วยความรู้สึกที่ครั่นคร้ามในหัวอก
‘แล้วจะเป็นยังไงกันต่อวะที่นี้ กลุ้มจังเว้ย’ ผมคิดอย่างเซ็ง ๆ เมื่อเดินมาจนถึงรถคู่ชีพ ผมก็จัดแจงหยิบแอลกอฮอล์ที่ใส่ไว้ใต้เบาะออกมาฉีดพ่นรอบตัว รอบแฮนด์และเบาะรถ แต่คราวนี้ผมฉีดซ้ำถึงสองครั้ง เพื่อความไม่ประมาท
กลับมาถึงบ้านด้วยอารมณ์ค้างเติ่งสับสน มโนในจิตสำนึกไปว่าตัวเองก็ปวดหัว เจ็บคอ แม้จะฉีดวัคซีน แอสตร้าเซเนก้าไปแล้วทั้งสองเข็ม ก็ยังอดหวั่นไม่ได้ ก็ไอ้เมฆเองมันก็ฉีดไปแล้วเข็มหนึ่งมันยังติดนี่ หยิบที่ตรวจที่ได้รับแจกมาวันก่อน จัดแจงอ่านข้อมูลข้างกล่อง ปั่นแหย่แทงเข้าไปในรูจมูก รออ่านผลด้วยใจที่เต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ
เสียงมือถือจากโปรแกรมแชทดังขึ้น ผมหยิบขึ้นมาจากโต๊ะที่วางไว้ เป็นข้อความจากลูกนั่นเองส่งเข้ามา
“พ่อ แม่มีอาการเหมือนจะติดโควิดนะ นี่กำลังรอผลตรวจอยู่ที่โรงพยาบาล” ผมอ่านข้อความนั้นด้วยใจที่เต้นรัวเร็ว ถ้าเมียกับลูกของผมเกิดติดไอ้เชื้อบ้า ๆ นี่ผมจะทำยังไง
“ได้ผลยังไงส่งข่าวพ่อด้วยนะ” ผมรีบพิมพ์ตอบกลับไปมือไม้สั่น
“แค่นี้ก่อนนะพ่อเขาเรียกแล้ว”
ผมมองข้อความนั้นสลับกับมองดูผลจากแท่งตรวจของตัวเอง ขีดเดียวที่ขึ้นมานั้นไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด ด้วยตอนนี้ใจผมพะวักพะวงไปกับเรื่องของลูกเมียมากกว่า รออยู่นานด้วยใจที่คิดไปต่าง ๆ นานา เดินวนกลับไปกลับมาจนพื้นบ้านแทบสึก เสียงโทรศัพท์ก็กรีดเสียงดังขึ้น ผมผวารีบหยิบขึ้นมารับสาย
“ว่ายังไง เป็นยังไงบ้างลูก” ผมกรอกเสียงรัวเร็ว เมื่อเห็นว่าใครโทรมา
“แม่ติดโควิดจริง ๆ นะพ่อ และหนูเองก็ไม่น่าจะรอด คงจะติดด้วยเหมือนกัน”
“แล้ว...” ผมจุกเข้าไปในลำคอ ปากแห้งผากไม่อาจส่งเสียงอะไรออกมาได้ ในหัวมีแต่คำถามว่าทำไมเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้นกับเมียและลูกผมด้วย ทั้งที่ผมย้ำนักย้ำหนาให้ระมัดระวังตัว อย่าออกไปไหน อาหารการกินก็ให้ทำกินกันเอง
“พ่อ...พ่อฟังอยู่รึเปล่า” เสียงลูกแทรกมา ทำให้ผมได้สติ
“ว่าไงนะลูก...พ่อไม่ทันฟัง”
“หนูถามว่า เราจะทำยังไงกันดี ที่นี่โรงพยาบาลเต็ม และแม่ก็อยากไปรักษาตัวที่โน่น พ่อจัดการได้ไหม หนูจะพาแม่กลับบ้านไปจัดเตรียมของนะ” แล้วลูกก็วางสายไป
ผมยืนนิ่งเหมือนโดนสาบอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะเดินออกไปนอกบ้านเพื่อขี่รถไปโรงพยาบาล คราวนี้ผมไม่มีกะจิตกะใจจะฉีดพ่นแอลกอฮอล์อะไรทั้งนั้น ใจนั้นแล่นไปก่อนหน้า คิดวนเวียนในหัวอยู่แต่ว่าจะทำยังไงให้เมียกับลูกมีที่รักษาตัว
ผมกับเมียเรารักกันตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย เธอเป็นคนเดียวที่เชื่อมั่นในตัวผมเสมอมา แม้ในยามที่ผมลาออกจากการเป็นครู เพื่อจะออกมาเป็นนักเขียนเต็มตัว เธออีกนั่นแหละที่คอยปลุกปลอบให้กำลังใจ และเป็นคนเดียวที่เชื่อมั่นว่าผมจะทำได้ ขนาดพ่อกับแม่ยังหัวเราะหาว่าผมเพ้อฝัน ผมเพิ่งรู้วันนี้เองว่าผมรักเธอขนาดไหน แม้จะอยู่ห่างกันแต่เราก็โทรคุยถามสารทุกข์สุกดิบกันเสมอ ตอนนี้เราเหมือนเพื่อนคู่คิด เพื่อนตายที่รู้ใจกันโดยไม่ต้องเอ่ยคำใด ความคิดผมสะดุดลงเมื่อถึงที่หมาย เอารถจอดหน้าโรงพยาบาล เดินเข้าไปข้างในอย่างใจไม่เป็นส่ำ ที่นี่แปลกตาไปมากกว่าเดิม มีการกั้นฉากพลาสติกใสรอบเตียงแต่ละเตียง เพราะที่นี่มีห้องผู้ป่วยไม่มากนัก ผมเดินผ่านเตียงเหล่านั้นไปเพื่อจะไปยังจุดลงทะเบียนคนไข้ ที่ตั้งอยู่ตรงกลางห้องโถงผู้ป่วย มองไปทางขวามือเห็นไอ้เมฆนอนอยู่ด้วยสีหน้าแช่มชื่น ผมชะงักกึก พยาบาลหันมาสบตาด้วยสีหน้าซีดเซียว
“อ้าวลุงกา...มาเยี่ยมเมฆเหรอ ไม่ต้องห่วงนะ พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้แล้ว” ผมยังไม่ทันเอ่ยปากถาม เธอก็แจ้งให้ผมรู้ซะก่อนแล้ว
“จะดีเหรอครับ น่าจะเอาให้หายป่วยแน่นอนก่อน แล้วค่อยให้กลับบ้าน” ผมยังอดแสดงความรังเกียจออกมาไม่ได้ แม้น้ำเสียงที่พูดไปจะอ่อนลง ก็ผมกลัวนี่นะ เมียกับลูกก็ติดกันไปแล้ว ถ้าผมติดขึ้นมาอีกคนมันคงจะแย่ไปกันใหญ่
“หายแล้วล่ะ เหลือแค่พักฟื้นให้ร่างกายดีขึ้น เมฆเขาเป็นคนหนุ่มร่างกายฟื้นตัวเร็ว ลุงกาไม่ต้องกังวลไปหรอก บ้านก็ห่างกันตั้งเยอะนี่ มันไม่ติดต่อกันง่ายขนาดนั้นหรอกน่า” พยาบาลสาวพูดตอบกลับมาแม้จะพยายามทำน้ำเสียงให้สดชื่น ดูเหมือนกระเซ้าผม แต่สีหน้าและแววตานั้นอิดโรย ผมมองไปรอบ ๆ ห้อง ขณะนี้ห้องที่เคยว่างโล่ง กลับมีเตียงผู้ป่วยตั้งอยู่เต็มไปหมด พยาบาลเองก็ต้องใส่ชุดคลุมมิดทั้งตัว เหมือนฉากหนังที่ผมเคยดูเมื่อหลายปีก่อนเหลือเกิน มีแต่คนป่วยสุดท้ายหมอพยาบาลก็ต้องรับเชื้อไปด้วย กว่าจะหาทางรักษากันได้ต้องตายกันไปอย่างใบไม้หลุดร่วงปลิดจากขั้ว เคว้งคว้างหมุนปลิวตกลงสู่พื้นดิน นี่ยังดีที่ในหมู่บ้านของเรายังไม่มีใครตายจากโรคนี้สักคน แต่มันจะยังอยู่ในสถานะนี้ได้อีกนานแค่ไหน ก็ไม่มีใครรู้ได้ ผมพยักหน้าให้เธอแล้วตั้งท่าจะเดินต่อไปยังจุดหมายข้างหน้า
“ลุงกา มานี่ทำไมเหรอ” พยาบาลคนเดิมร้องทัก ก่อนที่ผมจะเดินไปถึงจุดหมาย ผมหันกลับมาพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“เมียของผมตรวจเจอเชื้อเมื่อเช้า ส่วนลูกก็ยังอยู่ในกลุ่มเสี่ยงน่าจะติดด้วยเหมือนกันแต่ยังไม่แสดงอาการ” ผมเว้นระยะ มองหน้าเธอที่นิ่งเงียบฟังอย่างสนใจไม่ได้มีทีท่าว่ารังเกียจแต่ประการใด ผมจึงพูดต่อ
“ที่โน่นไม่มีเตียงรักษา เพราะคนติดเชื้อเยอะ และวารีเองก็อยากมารักษาตัวที่นี่ จะได้ไหมครับ” ท้ายเสียงของผมนั่นแผ่วเบาแทบจะไม่ได้ออกมาลำคอ
“ก็พอดีผมได้ออก เมียลุงก็น่าจะมาแทนที่ได้อยู่นะ” ไอ้เมฆพูดสอดขึ้นมา ‘นั่นสินะ’ ผมคิดตามคำพูดของมัน
“จริง ๆ แล้วตอนนี้สถานการณ์ของที่นี่ก็หนักหนามากนะลุงกา เรามีผู้ป่วยมากเกินโควต้าของการดูแลรักษาพยาบาล หมอกับพวกเราไม่ได้พักกันมานานนับเดือน ทุกคนเหน็ดเหนื่อยอิดโรยด้วยจำนวนคนไข้ที่มากจนล้น” เธอหยุดคำพูดไว้ เงยหน้าจากแฟ้มในมือขึ้นมามองสบตาผม ผมยืนนิ่งท้องไส้ปั่นป่วน ลมในท้องหมุนวน จวนเจียนจะคลื่นไส้เต็มทน
“แต่เราจะทิ้งกันได้ยังไง ลุงบอกให้เมียกับลูกมาเถอะ เราจะไม่ทิ้งใครให้โดดเดี่ยวไร้การรักษาหรอกลุง คนบ้านเดียวกันทั้งนั้น” เหมือนมีแสงวาบสว่างขึ้นตรงหน้าผม เหมือนผมเห็นประกายแสงวับวาวอยู่ข้างหลังตัวเธอ นี่สินะนางฟ้า พวกเธอเป็นนางฟ้าสมกับที่บางคนเรียกขาน คงเป็นเพราะความคิดและจิตใจของพวกเธอนี่เอง ผมดีใจรีบละล่ำละลักพูดออกไป
“ขอบคุณ...ขอบคุณมากนะครับ ผมจะรีบบอกให้พวกเขามาวันนี้เลย” ผมหันไปยิ้มกับไอ้เมฆด้วยเพราะมันเองก็ไม่ได้รังเกียจเมียและลูกของผมเลย แม้ว่าผมจะตั้งป้อมตั้งท่ารังเกียจตัวมันอย่างนั้น
แต่...เชื่อเถอะว่า ทุกสิ่งที่จับต้องได้ล้วนต้องจากเราไปในสักวัน ไม่ว่าเราจะต้องการหรือไม่ การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ตามกรรมตามวาระเป็นสิ่งที่ไม่มีใครฝืนได้ ผมยืนมองควันที่ล่องลอยออกจากปล่องเมรุนั้นอย่างเลื่อนลอย แม้จะพยายามเพียงใดผมก็ไม่อาจยื้อชีวิตของเมียไว้ได้ และผมเองก็ได้สัจธรรมจากเรื่องราวในครั้งนี้ว่า
โรคภัยนั้นอาจยังพอจะหนีพ้น แต่ความตายนั้น คงไม่มีใครหนีพ้นได้ หากป่วยขอให้ป่วยแค่เพียงกาย จงอย่าให้ใจป่วยไปด้วยเลย นี่คือสิ่งที่ผมรู้ซึ้งแล้วในวันนี้ ในวันที่ผมได้เปิดตากว้างแต่ก็ไม่อาจย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว คงได้แต่ทำวันเวลาที่เหลืออยู่ให้ดีกว่าที่ผ่านมา เปิดใจยอมรับทุกอย่างอย่างคนไม่เห็นแก่ตัว เพราะชีวิตจะคงอยู่หรือสูญสลายบางครั้งก็ไม่ใช่ตัวเราหรอกที่จะคือผู้กำหนด มีสติทำดีให้มากที่สุดตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจนั่นคงดีที่สุด…