ประชาธิปไตยในร้านข้าวมันไก่
ประชาธิปไตยในร้านข้าวมันไก่
โดย อักษราลัย
ประชาธิปไตย คือ อะไร? ผมผู้ซึ่งเติบโตมากับนักเรียกร้องประชาธิปไตยในบ้านถึงสองคน แต่ทำไมผมกลับงวยงงและยังสงสัยอยู่เสมอว่าแท้จริงแล้ว คำว่าประชาธิปไตย คำว่าสิทธิเสรีภาพ คำว่าความเสมอภาค นั้นมันล่องลอยอยู่ในที่ใดกัน
บ้านของผมมีกันอยู่ห้าชีวิต ยาย แม่ พ่อ น้องสาว และ ผม ยายผมเป็นคนที่เรียกตัวเองว่า ‘คนตุลา’ ส่วนแม่กับพ่อนั้นพบรักและสานสัมพันธ์จนมาแต่งงานหลังเจอกันในเหตุการณ์ที่เรียกว่า ‘พฤษภาทมิฬ’ ส่วนผมปีนี้กำลังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยปีสอง น้องสาวเองก็กำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก และปีนี้กำลังจะมีเหตุการณ์สำคัญที่สุดในชีวิตของผมกับน้อง นั่นคือการได้มีโอกาสไปเลือกตั้งครั้งแรกในชีวิต
‘บ้านรักประชาธิปไตย’ คือป้ายหน้าบ้านที่ผมเดินผ่านเข้าออกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ป้ายนี้ทำจากแผ่นไม้ที่ฉลุขอบด้านข้างลวดลายงดงามทาสีเคลือบเนื้อไม้เงาวับ จากฝีมือของช่างร้านรับทำกรอบรูปที่แม่จ้างทำมานานหลายปีแล้ว บัดนี้ด้วยความที่มันตากแดดผ่านร้อนฝนหนาวมาหลายฤดูกาล ความเงางามของป้ายจึงจืดซีดจาง ความงดงามหายไป แต่ตัวอักษรยังคงเห็นได้เด่นชัดทุกตัว เพราะแม่มองการณ์ไกลสั่งให้ช่างแกะสลักเป็นตัวอักษรนูนขึ้นมาบนพื้นไม้ ฉะนั้นไม่ว่าจะผ่านไปกี่ฤดูกาล ตัวอักษร ‘บ้านรักประชาธิปไตย’ นี้ก็ยังคงชัดโดดเด่นนูนขึ้นมาอยู่อย่างนั้นเสมอมา เสมือนความรักในประชาธิปไตยของแม่และยายที่เข้มข้น จนสื่อออกมาเป็นป้ายแผ่นนั้น
เย็นวันนั้นฝนตกลมแรง ใบไม้ที่พื้นหมุนคว้างเป็นเกลียวตามแรงลม ท้องฟ้าเป็นสีเทาปนดำ เมฆครึ้มดูทะมึน น่ากลัว ผมลงจากรถเมล์ เดินตัวเซไปตามแรงของลมลอดผ่านซุ้มประตูเข้าบ้านมา หางตาเหลือบมองความซีดจางของป้ายอย่างเคยชิน ก่อนจะรีบผลุบเข้าไปในตัวบ้านอย่างเร็วกระนั้นก็ยังไม่ทันกับฝนที่ตกกระหน่ำลงมาอย่างแรง เพราะผมมีอคติกับการพกร่มไปเรียนแม้แม่จะเพียรหามาตั้งไว้ให้ในห้องของผมหลาย ต่อหลายครั้ง ผมก็เอามันลงไปเก็บไว้ที่เดิม เพราะผมคิดว่าคนที่ถือร่มนั้นจะดูไม่สมชายชาตรี และผมไม่ต้องการให้ใครมามองผมแบบนั้น หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำเรียบร้อย ผมก็เดินไปนั่งเล่นโทรศัพท์มือถือรอกินข้าวที่โต๊ะกินข้าวก่อนใคร ด้วยวันนี้ท้องไส้ของผมมันปั่นป่วนด้วยความหิวกว่าทุก ๆ วัน จากการร่วมกิจกรรมของคณะในมหาวิทยาลัยจนเพลิน วันนี้คุณครูจัดให้มีการรณรงค์เรื่องการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง โดยการจัดโต้วาทีเล็ก ๆ ในหัวข้อ “เลือกตั้งคือความหวัง หรือเรื่องน่าเบื่อ” ทำให้ผมนั่งฟังเพลินจนลืมหิว ในหัวเอนเอียงไปทางโน้นทีทางนี้ทีอย่างเห็นด้วยกับทุกถ้อยคำของคนพูด ฝ่ายว่าการเลือกตั้งคือความหวังก็ให้เหตุผลกว้างไกลลึกซึ้ง ทำให้เห็นภาพในมุมกว้างของความสำคัญในการออกสิทธิ์ใช้เสียง ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของทุกคะแนนเสียง ที่จะเป็นตัวชี้ชะตาว่าใครจะได้มาเป็นผู้บริหารประเทศ ใครจะได้เป็นนายก และคะแนนจากเสียงเพียงเสียงเดียวของเรานั้นอาจสำคัญที่สุด สามารถพลิกได้เลยว่าใครจะแพ้หรือชนะในการเลือกตั้ง เสียงบริสุทธิ์จากการไปลงคะแนนของเราอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้มากกว่าที่คิด
ฝ่ายว่าคือเรื่องน่าเบื่อก็พูดได้โดนใจพวกเราหลายคนว่าการออกไปทำหน้าที่ใช้สิทธิ์ของเราที่เฝ้ารอคอยมานาน จะคุ้มค่ากับการต้องอุตส่าห์ฝ่าเปลวแดดร้อนออกไปหรือ เพราะมันแทบไม่เคยมีความหมาย ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นต่างไปจากเดิมที่เคยเป็นมา แล้วยังจะออกไปทำไม ต่างฝ่ายต่างผลัดกันให้เหตุผลไปมา สุดท้ายการโต้วาทีนั้นก็จบลงแบบไม่มีฝ่ายใดชนะ มีเพียงเหตุผลที่ชี้ให้เห็นให้คนฟังนำไปคิดต่อเองว่าจะทำอย่างไรในฐานะพลเมืองผู้มีสิทธิ์อันชอบธรรมอันเป็นพื้นฐานที่เรามี และควรใช้มันอย่างรู้คุณค่า ผมตัวพองตระหนักถึงอำนาจในหนึ่งคะแนนเสียงของตัวเองอย่างลำพองใจ เฝ้ารอคอยการไปลงคะแนนเสียงที่จะเกิดขึ้นในอีกสองเดือนข้างหน้าอย่างใจจดใจจ่อ
น้องสาวเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะกินข้าว ผมรีบถามเธอในทันที
“คิดว่าจะเลือกใคร พรรคไหน”
“ไม่บอกหรอก เขาไม่ให้คุยเรื่องการเมือง จะได้ไม่ต้องทะเลาะกัน”
ผมหัวเราเบา ๆ กับคำตอบของเธอ จริงสินะกี่ปีมาแล้วที่หลายอย่างแปรเปลี่ยนไปจากเดิม จากเหลือง มาแดง มาหลากสีที่โดนล้อกันว่าคือ ‘สลิ่ม’ สิ่งเหล่านี้เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของคนในสังคมไปมาก จากเพื่อนรักกันกลายเป็นคู่อริ จากพี่น้องร่วมสายเลือดก็กลับไม่มองหน้า หรือบางบ้านอาจถึงขนาดลั่นวาจาว่า “ตายก็ไม่ต้องมาเผาผีกัน” ทุกการกล่าวถึงแนวความคิดเห็นทางการเมืองกลายเป็นเหมือนสิ่งต้องห้ามหากไม่อยากผิดใจกัน ผมอยากรู้จริง ๆ ว่าเหตุการณ์เหล่านี้มันจะมีวันสิ้นสุดลงไหม จะมีวันวานแบบในอดีตที่เราไม่ต้องทะเลาะกันเพียงแค่เพราะความเห็นไม่ตรงกัน กับการเลือกยืนอยู่คนละฝ่ายของสีในดวงใจหรือไม่
“ไม่ทะเลาะหรอกน่า พี่ไม่ได้อินกับสีไหนขนาดนั้น หรือเราอิน” ผมถามน้องกลับไป พลางจ้องเข้าไปในดวงตาของเธอ และรอฟังคำตอบ
เธอชะงักนิ่งไปอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดออกมาเบา ๆ อย่างกลัวใครจะได้ยิน
“พี่อย่าบอกแม่กับยายนะ ฝนชอบพรรคสีส้ม” ผมเบิกตากว้างเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ รู้แล้วว่าทำไมเธอถึงไม่อยากพูดออกมา ก็พรรคนี้แม่กับยายผลัดกันบ่นในโต๊ะกินข้าวอยู่เสมอ พร้อมกับประกาศก้องอยู่เรื่อยว่าห้ามเราสองพี่น้องเลือกพรรคนี้เด็ดขาด
“ทำไมล่ะ ก็แม่กับยายพูดออกจะบ่อยไปว่าไม่ดีอย่างโน้นอย่างนี้”
“แต่ฝนว่าเขาเข้าใจพวกเราดีนะว่าอยากได้อะไร และเขาก็เท่ทันสมัยกว่าคนอื่นที่ดูออกจะโบราณ เราไม่ควรลองกับคนใหม่ ๆ ดูบ้างเหรอพี่ต้น” คำตอบของเธอก็ดูมีเหตุผลในความรู้สึกของผม การเลือกคนใหม่ ๆ ก็ทำให้ดูมีความหวังว่าอาจจะดี คนที่เข้าใจว่าเด็กอย่างพวกเราต้องการอะไร น่าจะดีกว่าคนอีกรุ่นที่ถีบระยะความเข้าใจหรือความต้องการออกไปจนต่อกันแทบไม่ติด
“แล้วพี่ต้นล่ะจะเลือกใคร?” ผมยังไม่ทันเอ่ยปากออกไป ฝนก็ขยิบตาบุ้ยใบ้ให้รู้ว่าแม่กับยายกำลังเดินมา และนั่นทำให้ผมหุบปากลงทันที
“ป้ายหน้าบ้านน่ะสีเก่าซีด ไม้ก็เริ่มจะผุแล้วนะแม่อร” เสียงยายเอ่ยขึ้นทันทีที่นั่งลง
“อรก็เห็นอยู่เหมือนกันค่ะแม่ เดี๋ยวมีเวลาอรจะปลดเอาไปให้ช่างเขาซ่อมละกัน”
“ฮ้า อะไรกันจะปลดมันไปทำไม? ก็จ้างเขาทำป้ายใหม่ไปเลยไม่ดีกว่ารึ?” ยายทำหน้าไม่เห็นด้วย
“แต่ป้ายนี้มันเก่า ขลัง และอยู่คู่กับบ้านเรามานานแล้วนะแม่ อรไม่อยากได้ของใหม่ ของใหม่ ๆ น่ะมักจะฉาบฉวย สวยแต่ทีแรก ไม่ทนทาน ไม่ดีเหมือนของเก่า ๆ หรอก” แม่ตอบกลับขณะที่พ่อเดินเข้ามาพอดี การพูดคุยจึงหยุดชะงักลงแต่เพียงเท่านั้น หลังมื้ออาหารแม่เรียกผมกับน้องไว้ยังไม่ให้ขึ้นห้องส่วนตัว ผมใจเต้นตึกตัก ยอมรับว่ามีความกังวลในน้ำเสียงของแม่ แม่ของผมเป็นผู้หญิงทำงาน สวย ทันสมัย แต่ชอบของเก่า ๆ แบบที่เขาเรียกกันว่า ‘หัวอนุรักษ์นิยม’ ส่วนพ่อนั้นเป็นคนง่าย ๆ สบาย ๆ นอกเหนือเวลางานกลับบ้านมาพ่อก็มักจะขลุกอยู่กับสวนต้นไม้เล็ก ๆ ข้างบ้าน พูดน้อย และเมื่อออกเสียงเสนอความคิดอะไร มักไม่เคยผ่านประชามติของแม่กับยายเลยสักครั้ง หลัง ๆ มานี้พ่อจึงเงียบขึ้นกว่าเดิม เงียบกว่าที่เคยเป็นมา จนเราแทบไม่เคยได้ยินเสียงพ่อออกความคิดเห็นอะไรในบ้านอีกเลย ทุกอย่างในบ้านพ่อปล่อยให้เป็นเรื่องของแม่ และแม่กับยายก็มักจะโต้เถียงกันอยู่เสมอด้วยเรื่องต่าง ๆ ภายในบ้าน ที่มักจะเห็นแตกต่างกันเสมอ ก็ดูอย่างเรื่องป้ายหน้าบ้านนั่นสิ นี่ดีนะที่คุยกันที่โต๊ะกินข้าว ถ้าเป็นการถกกันที่โซฟาหน้าโทรทัศน์ละก็รับรองยาว
ผมกับน้องเดินมานั่งลงที่โซฟาคนละตัว โดยมีแม่เดินตามมา ผมเดาไม่ถูกเลยว่าแม่จะพูดเรื่องอะไร สีหน้าของแม่ดูมีความกังวล ผมหันไปสบตาน้อง ฝนดูมีสีหน้าเรียบเฉย เธอเป็นเด็กเรียนดี มารยาทเรียบร้อยตามที่แม่อบรมสั่งสอนทุกประการ ส่วนผมนั้นก็เป็นคนเฉย ๆ ง่าย ๆ สบาย ๆ อะไรก็ได้ ไม่เรื่องมาก ไม่วุ่นวายอะไรกับใคร ตั้งแต่โตมาพวกเราจึงไม่มีเรื่องอะไรทำให้แม่ต้องหนักใจ แต่นี่แม่เรียกเราทำไมนะ? ความคิดผมสะดุดลงทันทีที่แม่เอ่ยปากขึ้น
“ปีนี้พวกลูกสองคนมีสิทธิ์ได้เลือกตั้งครั้งแรก” ผมเลิกคิ้วมองหน้าแม่อย่างพินิจพิจารณา แม่กำลังจะสื่ออะไรกับเรากันแน่นะ แม่นิ่งเว้นไปนิดหนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า
“แม่อยากรู้ว่าเลือกตั้งนี้ ลูกจะเลือกใคร” เอาล่ะสิ เหตุการณ์แบบนี้เหมือนฉากเมื่อกี้ก่อนกินข้าว เลย แต่ความกระอักกระอ่วนใจมันต่างกันเพราะคนถามคือแม่ ไม่ใช่การคุยกันของผมกับน้องที่ง่าย ๆ สบาย ๆ ผมหันไปสบตากับน้องเห็นเธอเอามือสองข้างกุมตรงตักแต่สังเกตว่าเอานิ้วมือบิดบีบกันแน่นบ่งบอกถึงความเครียด ก็แน่ล่ะ ขืนเธอพูดออกไปว่าเลือกพรรคสีส้มที่แม่เกลียดนักเกลียดหนา ผมไม่อยากจะจินตนาการต่อเลยว่าอะไรมันจะเกิดขึ้น ขณะที่ผมเองก็มีเหงื่อผุดพรายขึ้นมาที่แนวไรผมตรงหน้าผากทั้งที่อากาศหลังฝนตกแสนจะชุ่มฉ่ำ หากแต่ความรู้สึกในใจขณะนี้กลับร้อนเร่าทุรนทุราย สมองพยายามประมวลผลคิดหาคำตอบ ผมจะเลือกตอบอะไรดีระหว่างความจริงตามสิทธิ์ที่ผมมี กับเลือกตอบสิ่งที่แม่อยากฟัง เพื่อความสงบสุขของบรรยากาศในบ้าน แม่จ้องหน้าผมเขม็งเหมือนรอฟังคำตอบ ก่อนที่ผมจะตัดสินใจพูดอะไรออกไป ฝนก็โพล่งขึ้นมาว่า
“ฝนยังไม่ได้ตัดสินใจค่ะแม่ ก็แม่สอนเราเองนี่คะว่าต้องพิจารณาดูให้รอบด้าน ฝนจึงเก็บรวบรวมข้อมูลอยู่ว่าจะเลือกใครดี” โอว...เรื่องแค่นี้ทำไมผมคิดไม่ได้นะ นี่เป็นทางออกที่สวยทีเดียวบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น แม้จะโกหกไปบ้างเล็กน้อย แต่คงไม่มีใครเดือดร้อนกับคำโกหกนี้
“ต้นก็คิดเหมือนฝนครับแม่” ผมพูดออกไป แม่ยิ้มก่อนจะพยักหน้ารับอย่างอารมณ์ดี ผมกับน้องค่อย ๆ เดินออกมาจากห้องนั้นเพื่อขึ้นไปยังห้องนอนชั้นบน เราสบตากันก่อนที่ผมจะค่อย ๆ พรูลมเป่าออกมาจากปากอย่างโล่งอก ฝนยิ้มให้ผมก่อนจะเดินเลี่ยงเข้าห้องนอนไป
คืนนั้นในหัวของผมมีแต่คำว่า ประชาธิปไตย กับคำว่า เลือกตั้ง จนวุ่นวายสับสนไปหมด การเลือกตั้งครั้งแรกในชีวิตทำไมมันดูช่างวุ่นวายเสียจริง สิทธิ์ในการได้เลือกตามอายุที่ถึงเกณฑ์นำพาเอาความยากลำบากในการดำเนินชีวิตมาด้วยอย่างคิดไม่ถึง ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยต้องสนใจอะไร ใครอยากหาเสียง อยากจะพูดอะไร ก็ไม่จำเป็นที่ผมจะต้องไปใส่ใจ หรือขบคิดตาม แต่ตอนนี้เหมือนสองบ่าของผมมันแบกเอาภาระหน้าที่ในการใช้สิทธิ์และการทำหน้าที่ของพลเมืองเอาไว้จนงุ้มงอห่อลง ผมนอนคิดวนไปวนมาในหัวจนหลับไป ช่วงนี้เหมือนหัวข้อการสนทนาของทุกคนจะมีเพียงประเด็นเดียว คำถามยอดฮิตคือ “จะเลือกใคร” อาจเป็นเพราะประเทศของเราว่างเว้นการเลือกตั้งมาหลายปี ดูทุกคนตื่นตัว ตื่นเต้นที่จะได้ใช้สิทธิ์ในครั้งนี้ ในขณะที่ผมเองก็คิดแบบเดียวกับน้อง พรรคสีส้มนั้นดูจะครองใจพวกเราหนุ่มสาวได้มากกว่า แม้จะรู้ดีว่าแม่อยากให้เลือกพรรคเก่าแก่ที่แม่ชื่นชอบ แต่เรื่องแบบนี้ผมว่ามันควรจะเป็นสิทธิ์ส่วนตัวมากกว่าว่าใครจะเลือกใคร และผมว่าแม่กับยายซึ่งเป็นนักประชาธิปไตยแบบเข้าเส้นเลือดน่าจะเข้าใจ ก็บ้านเรานั้นคือบ้าน ‘บ้านรักประชาธิปไตย’ ยืนยันได้จากป้ายหน้าบ้านที่ผมเดินผ่านเข้าออกอยู่ทุกวันตั้งเด็กจนโตมามีสิทธิ์เลือกตั้งได้ในวันนี้
พ่อเป็นคนเดียวในบ้านที่ดูจะไม่สนใจการเลือกตั้งในครั้งนี้ หรือพ่อไม่แสดงความรู้สึกออกมาผมก็ไม่แน่ใจนัก ส่วนยายนั้นตอนนี้เป็นไม้เบื่อไม้เมากับแม่และปะทะคารมกันแทบทุกวัน เพราะยายเลือกพรรคที่ชูว่านายทหารในดวงใจของยายจะได้เป็นนายก ซึ่งแน่นอนว่าคนละพรรคกับที่แม่ชื่นชอบ บรรยากาศที่เคยอบอุ่นภายในบ้านกลับดูร้อนระอุมากขึ้น ในโต๊ะกินข้าวที่เคยพูดคุยสนุกสนานเฮฮา ตอนนี้ผมกับน้องต่างเร่งรีบกิน เพื่อจะหนีการกระแทกแดกดันกันไปมาของแม่กับยาย ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรแม่กับยายก็สามารถโยงเอามาเหน็บแนมกระทบกระเทียบปะทะคารมกันแทบทุกเรื่อง ผมอยากให้การเลือกตั้งครั้งนี้มาถึงเร็ว ๆ ให้มันจบ ๆ ไปเสียที เพื่อความสงบสุขในบ้านของผมจะได้กลับมา ผมคิดถึงรอยยิ้มที่เราเคยมีให้กัน การถามไถ่ถึงเรื่องการเรียนของเราสองคนพี่น้องหายไป แม่มักจะนำนโยบายของพรรคที่ชอบมาเป็นหัวข้อสนทนาในโต๊ะอาหาร เหมือนช่วยหาเสียงให้กับพรรคนั้นกับทุกคนในบ้าน และแน่นอนคนที่แสดงออกว่าอยู่คนละข้างกับแม่ซึ่งก็คือยาย ก็นำข้อมูลของพรรคที่ตนชอบมาคุยทับถมแข่งกัน นี่ยังดีนะที่ผม พ่อ และน้องสาว ไม่ร่วมวงถกประเด็นในเรื่องนี้ไปด้วย เพราะแค่แม่กับยายบรรยากาศในโต๊ะอาหารก็ตึงเครียดจนกินข้าวไม่อร่อย และดีที่แม่ไม่จี้ถามเราอีกว่าจะเลือกพรรคไหน อาจเพราะเราบอกว่ายังไม่ตัดสินใจหรือเปล่าที่ทำให้แม่พยายามหาข้อมูลนโยบายของพรรคนั้นมาป้อนให้เราทุกวัน หากแม่รู้ความคิดของฝนกับผม ไม่อยากนึกเลยว่าบรรยากาศจะเป็นอย่างไร
และแล้ววันสำคัญก็มาถึงจนได้ วันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม 2562 วันนั้นท้องฟ้าปลอดโปร่ง พ่อออกไปเดินสูดอากาศอยู่ในสวนเหมือนเคย ผมเดินลงไปเพื่อจะคุยกับพ่อ ขณะขากำลังจะก้าวพ้นออกนอกประตู ผมก็ได้ยินเสียงแม่กับยายถกเถียงกันเสียงดังอยู่ในครัว บรรยากาศวันนี้คงจะกร่อยซะแล้วล่ะ ผมรีบเดินหนีกลับขึ้นห้อง ขณะขึ้นบันไดไปถึงขั้นสุดท้าย ผมก็เห็นฝนชะโงกออกจากห้องมาเพื่อฟังว่าเกิดอะไรขึ้น
“แม่กับยายทะเลาะกันอีกแล้วพี่ต้น”
“อื่อ” ผมตอบไปพลางยักไหล่อย่างเซ็ง ๆ ส่วนฝนส่ายหน้าไปมา แล้วต่างคนต่างก็ผลุบเข้าไปในห้องส่วนตัว ผมแน่ใจว่าวันนี้แม่จะต้องถามคำถามนั้นอีกแน่ ๆ แค่คิดผมก็รู้สึกป่วนมวนท้อง คลื่นไส้ อยากจะมีอำนาจเสกตัวเองให้หายไปจากโลกนี้สักสามสี่วัน หลังเลือกตั้งค่อยกลับมาน่าจะดีกว่านี้ แต่คงเป็นไปไม่ได้ ผมจึงต้องคิดว่าจะทำอย่างไรดีกับคำถามที่ต้องตอบ
ผมควรตอบไปตามความต้องการของแม่เพื่อความสงบสุขและตามใจแม่ หรือผมจะเลือกการซื่อสัตย์ตั้งแต่การตอบในสิ่งที่ตัวเองเลือก แม้ว่าจะไม่ถูกใจแม่ แต่มันก็เป็นสิทธิ์อันชอบธรรมของผมนี่นะ ขณะที่ผมยังหาข้อสรุปให้ตัวเองยังไม่ได้ เสียงแม่ตะโกนขึ้นมาบอกผมกับน้องให้เตรียมตัวออกไปเลือกตั้ง เป็นอันรู้กันว่าผมจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมภายในครึ่งชั่วโมงเพื่อออกจากบ้าน
ผมเปิดประตูห้องออกมาพร้อมกับน้องสาวพอดี วันนี้ฝนใส่เสื้อยืดสีขาวกับเอี๊ยมยีนดูสดใสสมวัย ผมยาวสลวยของเธอถูกมัดรวบเรียบร้อย การแต่งตัวแบบนี้เป็นที่ถูกใจแม่เพราะแม่ไม่ชอบให้เราแต่งตัวฉูดฉาดแม่ว่ามันไม่สมวัยและไม่เรียบร้อย สีหน้าของฝนไม่ต่างจากผมนัก เรามีเรื่องให้ต้องกังวล ผม พยักหน้าให้น้องนิดหนึ่งเหมือนให้กำลังใจ เราเดินเรียงกันลงข้างล่าง ทุกคนแต่งตัวกันพร้อมหมดแล้ว และเดินขึ้นไปนั่งในรถ ส่วนผมมีหน้าปิดประตูรั้วบ้าน ผมชำเลืองมองป้ายกระดำกระด่างนั้นอีกรอบ ป้ายที่เก่าคร่ำคร่าอยู่คู่กับบ้านผมมานานแสนนาน แต่ความหมายของมันสินะที่สำคัญกว่าการเก่าถลอกปอกเปิกของตัวป้าย บรรยากาศในรถเงียบสงบ ทุกคนต่างอยู่ในภวังค์ของตัวเอง เสียงแม่ทำลายความเงียบขึ้นมาเบา ๆ
“คุณ แวะกินข้าวมันไก่หน่อยดีกว่า ทางผ่านอยู่แล้วนี่”
พ่อพยักหน้า แล้วเลี้ยวรถเข้าไปจอดตามคำพูดของแม่ ก่อนจะเดินไปถึงโต๊ะแม่ก็พูดขึ้นมาว่า
“ใครจะกินอะไรสั่งกันเลยนะ เลือกกันตามใจเลย เดี๋ยวแม่ไปเข้าห้องน้ำก่อน” พวกเราต่างคนต่างสั่งอาหารตามที่ตัวเองอยากกิน เพราะร้านนี้นอกจากจะมีข้าวมันไก่แล้วยังมีก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นน้ำใส หมูสะเต๊ะ และอาหารตามสั่งด้วย แม่เดินกลับมาที่โต๊ะ พร้อมขอดูใบรายการที่พนักงานจดรายการสั่งอาหารของพวกเรา ก่อนจะโพล่งขึ้นมาว่า
“แม่ว่าสั่งไก่เป็นจานมา ข้าวเปล่า และเกาเหลามาถ้วยนึงดีกว่านะ” ก่อนที่แม่จะหันไปบอกพนักงาน พ่อจับมือแม่ที่กำลังจะดึงมือพนักงานแล้วพูดขึ้นว่า
“ถ้าแค่ในเรื่องการกินข้าว ผมกับลูกยังไม่อาจสั่งอะไรที่ตัวเองอยากกินได้ จะมีประโยชน์อะไรกับคำว่าประชาธิปไตยที่คุณเคยไปเรียกร้อง และเราจะออกมาเลือกตั้งกันทำไม?” สีหน้าพ่อเรียบเฉยแต่ถ้อยคำที่พ่อพูดออกมานั้น ทำให้ผมเห็นพ่อเป็นเหมือนซุปเปอร์ฮีโร่ของผมเลยทีเดียว
แม่นิ่งไปครู่ใหญ่ ผมมือเย็นเฉียบ นึกหวั่นว่าจะมีการปะทะคารมกันแน่ ๆ แล้ว แต่แล้วแม่ก็ยิ้มออกมาแล้วพูดว่า
“นั่นสินะ ทุกคนควรมีสิทธิ์เลือกสิ่งที่ตัวเองต้องการ ภายใต้ความถูกต้องที่ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน" แล้วแม่ก็หันมายิ้มให้ยาย ผม และฝน
มิน่าล่ะวันนี้ฟ้าถึงกระจ่างกว่าทุกวันผมคิดขณะที่ยิ้มตอบแม่ และหันไปยิ้มกับฝนที่สีหน้าคลายความกังวลและยิ้มตอบผมกลับมาด้วยสีหน้ารื่นเริง บรรยากาศในโต๊ะอาหารของเรากลับมาสดชื่นอีกครั้ง หลังจากวันนั้น แม่สั่งป้ายอันใหม่มาติดที่หน้าบ้านแทนป้ายเดิม เป็นป้ายแสตนเลสสีทองสวยงามติดตัวอักษรสีเงินด้วยคำว่า ‘บ้านรักประชาธิปไตย’ แทนป้ายอันเดิมที่มีมานาน และตอนนี้ผมรู้สึกว่าประชาธิปไตยในบ้านของผมได้เบ่งบานอย่างที่ควรจะเป็น สมกับป้ายที่ติดอยู่หน้าบ้านนี้อย่างสง่างาม...❑